สายตาแหลมคมที่หวังตัวจวี๋ใช้มองมาภายในดวงตาที่เรียวยาวคู่นั้นเปล่งประกายความตื่นเต้นดีใจ ราวกับว่าการได้ฆ่าคนสำหรับเขาแล้วก็เหมือนกับเป็การสร้างความบันเทิงฆ่าเวลาประเภทหนึ่งเขาติดตามอวี๋เคอและเข่นฆ่าผู้คนมาเป็เวลานาน แน่นอนว่าความกระหายเืของอวี๋เคอนั้นเขาเข้าใจอย่างชัดเจนเพราะทั้งสองคนมีนิสัยชั่วร้ายเหมือนกัน แต่เวลานี้ผมข้ามมิติมาอยู่ในร่างของอวี๋เคอถ้าหากไม่แสดงความบ้าออกมาสักหน่อย เดาว่าอีกไม่นานคงจะถูกจับได้อย่างแน่นอน?
ภาพสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของกู้จิ่นเฉิงที่แสดงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อคืนนี้ยังคงติดอยู่ในใจของผมจนถึงตอนนี้…
“ยิ่งไปกว่านั้นนายท่านท่านเล่นสนุกกับเ้าเด็กน้อยนั่นมาตั้งสามเดือนแล้ว หรือว่าท่านยังเล่นไม่เบื่ออีก? ” เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบหวังตัวจวี๋จึงยักไหล่ จากนั้นก็เอ่ยต่อ “ข้าคิดว่า นายท่านน่าจะใช้โอกาสนี้ฆ่าเขาต่อหน้ามนุษย์ธรรมดาๆทั้งหลายที่จะฝึกเป็เซียนไม่ดีกว่าหรือขอรับ ข้าว่าจะต้องทำให้พวกคนที่คิดว่าตัวเองมีคุณธรรมสูงส่งพวกนั้นโกรธแค้นมากอย่างแน่นอนอีกทั้งยังทำให้เกิดความหวาดกลัว เรียกได้ว่าขว้างก้อนหินหนึ่งก้อนโดนนกสองตัว [1] ”
...ให้ตายเถอะเ้านี่คือผู้ที่อยู่เื้ัการกระตุ้นความรู้สึกสินะ?
ผมรับรองได้ว่าโครงเื่นี้ผมไม่เคยเขียนน่าจะเป็สิ่งที่โลกนี้สร้างขึ้นมาเอง หรือพูดได้ว่าโลกใบนี้ได้รับอิทธิพลจากตัวพระเอกจนเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วทำให้โลกหมุนรอบตัวเขาความทุกข์ทรมานที่ซ่งฉียวนควรจะประสบและเส้นทางที่กำลังจะเดินไปนั้นค่อยๆถูกผลักดันให้เป็จริง
ทันใดนั้นผมก็มีการคาดเดาหนึ่งที่ช่างกล้าหาญยิ่งหรือว่าจิตสำนึกของอวี๋เคอตัวจริงจะหายไปั้แ่ตอนที่ผมอยู่ในคุกน้ำแล้วโลกใบนี้จะขาดตัวร้ายที่สำคัญมากที่สุดไปไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงกลายเป็บุรุษในตำนานซึ่งเป็ผู้ที่ถูกเลือกอย่างแน่นอนต้องข้ามมิติมายังโลกใบนี้เพื่อทำภารกิจอันหนักอึ้งให้สำเร็จ...
มารดามันเถอะ ผมไม่สามารถควบคุมความคิดของตัวเองได้แล้ว!ในฐานะนักเขียนผมคิดว่าสมองของตัวเองได้ถูกทำลายอย่างหนักมาตั้งนานแล้ว
สิ่งที่หวังตัวจวี๋พูดมาทั้งหมดนั้นคือ้าบีบให้ผมฆ่าซ่งฉียวนด้วยมือของผมเองทั้งยังจะต้องแน่ใจด้วยว่าผมจะลงมือทำมัน อย่างไรเสียตอนนี้ผมก็คืออวี๋เคอ ผู้ที่เห็นสิ่งมีชีวิตเป็เพียงแค่สิ่งไร้ค่า
“ดีข้าผู้นี้จะพิจารณาสิ่งที่เ้ากล่าวมาเอง”
“เช่นนั้นก็ดีที่สุดขอรับข้าคิดว่านายท่านรู้อยู่แล้ว ว่าสิ่งที่อาณาจักรทั้งเก้าของถ้ำปีศาจ้าก็คือท่านผู้ที่เืเย็นไร้ความปรานีไม่ใช่ผู้ที่ขี้ขลาด เอาแต่ลังเลไม่กล้าตัดสินใจ”
“หุบปาก! ”
คำพูดของเขายิ่งพูดก็ยิ่งหยาบคายราวกับเห็นความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจของผมจริงๆ ผมตำหนิเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเพียงเพื่ออยากจะปกปิดความอับอายของตัวเอง
“เอ๋นายท่านโกรธอะไรหรือขอรับ? ข้าเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้นเอง” น้ำเสียงของบุรุษเหลาะแหละโบกมือขึ้นอีกครั้ง มุมปากยกยิ้ม ทว่าภายในดวงตากลับไม่ปรากฏรอยยิ้ม“ข้าในนามเ้าแห่งแดนความตายเท่านั้น ข้าถวายความจงรักภักดีต่อท่านทว่าอีกแปดดินแดนนั้นกลับไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า
สุดท้ายแล้วข้าอยากจะบอกกับท่านในเื่ส่วนตัวสักหนึ่งประโยคแต่ขอบอกไว้ก่อนว่า นี่เป็เพียงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าหวังตัวจวี๋ผู้เดียวเท่านั้นท่านก็แค่รับฟังไว้ ส่วนจะจริงหรือไม่ ท่านต้องลองคิดดูเอง” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“ข้ารู้สึกว่าภายในเผ่าปีศาจเริ่มจะเกิดความโกลาหลขึ้นมาบ้างแล้ว
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใดแต่ปัจจัยที่ทำให้ไม่มั่นคงกลับมีอย่างต่อเนื่องไม่รู้ว่า่นี้โซ่วหมากานแห่งดินแดนซากกระดูกนั่นขนย้ายอะไร จึงทำให้บนท้องฟ้าของดินแดนหลักส่งกลิ่นเหม็นเป็อย่างมากเมื่อผ่านสถานที่ตรงนั้น กระทั่งตัวข้าก็ยังรู้สึกหนาวเดิมทีข้าเคยคิดว่าจะไปตรวจสอบสถานการณ์สักหน่อย แต่กลับพบว่าที่ดินแดนหลักนั่นปิดไปได้หนึ่งเดือนแล้วและโซ่วหมากานปฏิเสธที่จะพบแขก
สำหรับเื่นี้แล้วข้าเริ่มจะมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมารางๆ ” พูดถึงตรงนี้ เขาก็จ้องมาที่ดวงตาของผมอีกครั้ง แล้วยิ้มอย่างแปลกประหลาด“รวมถึงครั้งนี้ที่ข้ามาที่นี่เห็นนายท่านผู้ยิ่งใหญ่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนมากจริงๆ พลังของท่านนั้นอ่อนแอลงไปสองถึงสามระดับหรือว่ามัวแต่เล่นสนุกกับบุรุษมากไป ร่างกายจึงเริ่มรับไม่ไหวหรือขอรับ? ”
คำพูดหยอกล้อของเขาผมได้ยินแล้วกลับทำให้เหงื่อเย็นหยดลงไปทั่วร่าง หรือว่าถูกเขาจับได้แล้วจริงๆ ...
สัญชาตญาณของหวังตัวจวี๋นั้นสามารถรับรู้ได้ฉับไวจนน่าใ!ผมเหลือบมองกู้จิ่นเฉิงที่ยังยืนอยู่ด้านหลังตลอดเวลาแต่กลับทำตัวราวกับไร้ตัวตนในสายตาของผมเขายังคงทำเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเช่นเคย ไม่พูดอะไรออกมาสักประโยค
หรือว่าเขามองออกตั้งนานแล้ว?
ผมพยายามนึกว่าอวี๋เคอจะมีท่าทีโต้ตอบอย่างไรหากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้...
ฝีมือการแสดง!ฝีมือการแสดง! ฝีมือการแสดง! พระเ้า ได้โปรดประทานฝีมือการแสดงให้ผมเหมือนเรียนจบมาจากวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งด้วยเถอะ!
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินจะบรรยายตอนนี้ผมเหมือนถูกาานักแสดงเข้าสิง ผมใช้หลังมือเท้าคางอย่างเป็ธรรมชาติ มุมปากข้างหนึ่งยกขึ้นสามสิบองศาทำสีหน้าหยอกล้อให้เห็นเต็มสองตา น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นตั้งใจปรับเป็พิเศษ ทั้งเยือกเย็นทั้งยังล่อลวงผู้คน“แกล้งทำเป็จริงจังนี่น่าเบื่อจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกเ้ามองออกเสียแล้ว? สิ่งที่เ้าพูดข้าผู้นี้เข้าใจหมดแล้วเ้าเด็กตระกูลซ่งนั่นข้าเล่นจนเบื่อตั้งนานแล้ว กำลังคิดว่าจะให้เขาตายอย่างไรดี ถ้าอย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้ทำให้เขาตายอย่างมีประโยชน์สักหน่อย”
ผมหยุดเพื่อไตร่ตรองสักเล็กน้อยแล้วมองไปที่กู้จิ่นเฉิงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “จิ่นเฉิง ประกาศออกไปหลังจากนี้สิบวันที่ริมแม่น้ำแห่ง์ ให้ทุกคนในอาณาจักรทั้งเก้าของถ้ำปีศาจจะต้องไปรวมตัวกันที่นั่น”
เอ่ยประโยคนี้จบไปอย่างกล้าหาญสุดท้ายผมแกล้งทำเป็บิดี้เีแล้วลุกขึ้นยืน ปล่อยมือขวาแล้วมาหมุนแหวนสีเขียวมรกตที่อยู่บนนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายเอ่ยเสียงเย็น “หากถึงเวลานั้นแล้วไม่เห็นผู้ใด... จงฆ่าทิ้งให้หมด” ผมหันไปมองหวังตัวจวี๋ แล้วเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้งใช้สายตาตอนที่ดูหนังแนวสิบแปดบวกมองเขาั้แ่หัวจรดเท้าพลางยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น“หวังตัวจวี๋ เมื่อสักครู่นี้เ้าพูดว่าร่างกายของข้ารับไม่ไหวแล้วไม่ใช่หรือ? หากเ้าอยากรู้ว่าไหวหรือไม่ คืนนี้ก็ลองมาพิสูจน์ที่ตำหนักบรรทมของข้าดูก็รู้แล้วไม่ใช่รึ? ”
เดิมทีผมคิดว่าเมื่อเขาได้ยินประโยคนี้แล้วจะแกล้งผมต่อสมองจึงประมวลผลอย่างรวดเร็วเพื่อหาข้ออ้างต่อไปแต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าคนผู้นี้จะตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของผมจากนั้นใบหน้าขาวนวลที่มีหนวดสั้นก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างทันทีและยังแดงลามไปจนถึงลำคอ...
ทันใดนั้นผมก็เริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา
สองมือของเขาดึงชายเสื้อของตัวเองแล้วลูบอยู่นานผ่านไปสักพักหนึ่ง นานจนผมแทบอยากจะอาเจียนออกมาเพราะท่าทางของเขาที่ทำให้รู้สึกเสียสายตาจากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยความเขินอาย “หากว่านายท่านไม่รังเกียจข้าก็ยินดีขอรับ”
...ให้ตายสิ!!
......
เชิงอรรถ
[1] ขว้างก้อนหินหนึ่งก้อนโดนนกสองตัว อุปมาถึงการกระทำเพียงครั้งเดียวแต่ได้ผลประโยชน์สองอย่าง