ภาพที่สองเป็ภาพชั้นห้าของเจดีย์ซึ่งมีแท่นทรงกลมสิบแท่นกระจายอยู่ทั่ว ซึ่งตรงกับจุดทั้งสิบที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ทุกประการ
“แท่นหินเคลื่อนย้ายมวลสาร ต้องใช้กุญแจในการเปิด”
ภาพที่สามเป็ภาพเจดีย์สี่ชั้น
มีจุดสีแดงอยู่ที่ชั้นบนสุด ชั้นล่างมีจุดสีฟ้าสองจุด ในชั้นถัดไปมีจุดสีเขียวสามจุด และชั้นล่างสุดเป็จุดสีขาวสี่จุด
“โอกาสที่ยิ่งใหญ่สิบประการ กุญแจสิบดอก สามารถได้มาโดยโชคชะตา ไม่สามารถได้ซ้ำ”
เ้าไม่สามารถได้ซ้ำ นี่หมายความว่าทุกคนสามารถรับโชคได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นใช่หรือไม่?
ฉู่จินหงเหลือบมองชิวอีเซี่ยน จากนั้นจึงหันมองหนิงเทียนด้วยแววตาที่ฉายแววตื่นเต้น
“หนิงเทียน?”
“ว่าอย่างไร?”
ประสาทััทั้งหกของหนิงเทียนนั้นเฉียบคม หมื่นสรรพสิ่งในใจััได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของฉู่จินหงได้ในทันที แต่เขาไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบมากนัก
ฉู่จินหงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาจากศิษย์น้องซูว่าเ้าเป็คนไม่ดี...”
“ก็เลยอยากฆ่าข้า”
หนิงเทียนไม่กลัวเลย แต่กลับแสดงรอยยิ้มที่น่าสงสัยแทน
ฉู่จินหงกล่าวอย่างสง่างาม “ข้าเพียงทวงความยุติธรรมแทนฟ้าดิน”
ชิวอีเซี่ยนสาปแช่ง “เสแสร้ง อยากฆ่าคนก็แค่พูดมาตามตรง ยังจะกล่าวว่าทวงความยุติธรรมแทนฟ้าดิน น่ารำคาญยิ่งนัก”
ฉู่จินหงเยาะเย้ยและพูดว่า “ด่าข้าต่อหน้า จงระวังว่าตัวเ้าอาจถูกฆ่า”
“ใครมันจะบ้าขนาดคิดโจมตีน้องของข้า”
ที่้าสุดของขั้นบันได อูเหรินเจี๋ยปรากฏตัวขึ้นโดยมีเืไหลนองออกจากปากและจมูก อาการาเ็ของเขาค่อนข้างสาหัส แต่ดวงตากลับเ็าอย่างยิ่ง
หยางวั่นอวิ๋นล้มเหลวในการทะลวงด่าน แต่อูเหรินเจี๋ยปีนขึ้นมาบนชั้นสี่ของเจดีย์ได้ตามที่้า
สีหน้าของฉู่จินหงเปลี่ยนไปด้วยความใ เขายังไม่มีเวลาแม้แต่จะฆ่าหนิงเทียน ไม่คาดคิดว่ายอดฝีมือจื๋อซิวจะมาเสียแล้ว
“ศิษย์พี่ เป็เขา เขาขู่ฆ่าหนิงเทียนกับข้า ท่านต้องตัดสินเื่นี้ให้พวกเรานะ”
ชิวอีเซี่ยนชี้ฉู่จินหงอย่างไม่ยินยอม แล้วพูดด้วยความโกรธ
อูเหรินเจี๋ยเดินไปหาหนิงเทียน ดวงตาคมราวกับมีดสบเข้ากับฉู่จินหง ก่อนจะพูดอย่างเ็า “เ้าจะลงมือเอง หรือให้ข้าลงมือให้?”
ฉู่จินหงเป็ยอดฝีมือหยวนซิวในขั้นเจ็ดของขอบเขตเปลี่ยนผ่าน เป็ศิษย์คนที่ห้าของปรมาจารย์หานอวี้ เป็ไปได้อย่างไรที่จื๋อซิวจะข่มเขาได้?
“คิดว่าข้าจะกลัวเ้าหรือ?”
อูเหรินเจี๋ยกล่าวอย่างเ็า “ถ้าเ้าไม่กลัว เช่นนั้นจะถามทำไม?”
อูเหรินเจี๋ยเริ่มโจมตีอย่างรวดเร็วทั้งที่เสียงของเขายังดังก้องอยู่ในหู มือเปล่งประกายด้วยแสงสีม่วงอมฟ้า อาวุธิญญาจื๋อซิวที่ยอดเยี่ยมสองชิ้นถูกเรียกใช้ในเวลาเดียวกัน
หอกม่วงประกายทองมีเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัว มันเล็งเข้าที่หน้าอกของฉู่จินหง
แส้สีฟ้ายาวแผ่กลิ่นอายสายฟ้า ก่อนจะฟาดเข้าที่หัวของฉู่จินหง
อีกฝ่ายทำได้เพียงขบกรามอย่างโกรธเกรี้ยว การเคลื่อนไหวหลบหลีกเร็วมากจนร่างกายของเขาเหมือนกับจุดเล็กๆ คลื่นเสียงในปากกลายเป็มีด และทันใดนั้นแสงน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว เจาะเข้าไปในความว่างเปล่า
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ทันทีที่พวกเขากล่าวว่าจะทำ ด้วยการเคลื่อนไหวที่เลวร้ายและไม่มีการสงวนใดๆ
ฉู่จินหงอยู่ขั้นเจ็ดของขอบเขตเปลี่ยนผ่าน ในขณะที่อูเหรินเจี๋ยอยู่ขั้นแปดของขอบเขตเปลี่ยนผ่าน แม้โดยทั่วไปแล้ว พลังการต่อสู้ของหยวนซิวจะสูงกว่าจื๋อซิว แต่อูเหรินเจี๋ยเป็ผู้โดดเด่นจากสำนักกายา อาวุธิญญาจื๋อซิวบนร่างกายของเขาช่างน่าสะพรึงกลัว
ชิวอีเซี่ยนะโด้วยความตื่นเต้น พร้อมทั้งร้องเรียกให้กำลังใจอูเหรินเจี๋ย ในขณะที่หนิงเทียนเดินมาเบื้องหน้าภาพวาด จ้องมองทิวทัศน์ในภาพด้วยความสนใจ
“ถ้าไม่อาจคว้าซ้ำสองได้ เช่นนั้นก็แค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น”
ดวงตาของหนิงเทียนหันไปมองอู๋เยวี่ยฮุย
“ชิวซานอวิ๋นและเจียงซั่งอีขึ้นไปแล้วหรือ?”
อู๋เยวี่ยฮุยคำรามอย่างเ็า สีหน้าของเขาน่าเกลียดมาก
หนิงเทียนไม่สนใจเช่นกัน ทันทีที่เขาหันกลับไป ร่างกายของเขาก็พุ่งไปราวกับิญญา ราวกับสายรุ้งที่ทลายท้องฟ้า ทักษะคุมวาโยผสมผสานกับทักษะเคลื่อนย้ายมวลสาร แส้เกล็ดมรกตัทมิฬในมือเจาะทะลุจุดอ่อนของฉู่จินหง ก่อนจะแทงทะลุเอวในคราวเดียว
ในขณะเดียวกันน้ำเต้าเจ็ดสีก็หมุนตัวและร่อนลงมา ก่อนจะโจมตีอาวุธิญญาที่ฉู่จินหงเรียกใช้ เป็ผลให้อาวุธิญญาของฉู่จินหงถูกทำลายลงด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว
อูเหรินเจี๋ยคำราม และยามที่ฉู่จินหงกรีดร้องด้วยความโกรธ หอกคมก็แทงเข้าที่หว่างคิ้วของเขา ทำให้เขาาเ็สาหัส
หนิงเทียนใช้วิชาแปลงิญญาเพื่อดึงิญญาของฉู่จินหงออกมาโดยตรง ก่อนจะปรับแต่งให้เป็แสงิญญา แล้วใส่ลงในขวดหยกขาวดำ
หนิงเทียนถอดแหวนมิติของฉู่จินหงออก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อันนี้เป็ของข้า”
ชิวอีเซี่ยนรีบไปข้างหน้าและพูดอย่างกระตือรือร้น “แบ่งให้ข้าสักหน่อยสิ”
หนิงเทียนมอบหินิญญาให้เขาสิบก้อน จากนั้นก็เดินไปที่บันได
“ให้ข้าไปก่อน”
ดวงตาของชิวอีเซี่ยนเป็ประกาย เขารีบขึ้นบันไดก่อน แต่เขากลับถูกดีดออกไปในพริบตา
หนิงเทียนปีนขึ้นบันได หอคอยพลังทั้งสองสั่นะเืในเวลาเดียวกัน ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่จนร่างกายของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีทองราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา จากนั้นเขาจึงเดินอย่างมั่นคงและราบรื่นไปยังชั้นห้าของเจดีย์
ดวงตาของอู๋เยวี่ยฮุยมืดมน เขาเคยลองแล้ว แต่น่าเสียดายที่มันล้มเหลว
การทะลุผ่านด่านต่างๆ ในสถานที่แห่งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับความแข็งแกร่งด้านขอบเขต การมีขอบเขตสูง ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถผ่านมันไปได้
บนชั้นห้าของเจดีย์มีแท่นหินทรงกลมจำนวนสิบแท่น มีเส้นผ่านศูนย์กลางสามจั้ง สูงหนึ่งจั้ง แท่นหินแต่ละแท่นมีรูที่มีรูปร่างต่างกันซึ่งเป็รูของกุญแจ
บนพื้นผิวของแท่นหินมีการสลักลวดลายต่างๆ ไว้ ซึ่งก่อให้เกิดความผันผวนที่เป็อันตราย
หากไม่มีกุญแจอยู่ในมือ การเข้าใกล้อย่างไม่ตั้งใจจะเป็อันตรายและไม่อาจคาดเดาได้
มีรอยเท้าบนพื้นบางส่วนทิ้งไว้โดยคนที่มาก่อนหน้า
หนิงเทียนคำนวณแล้วพบว่ามีคนอยู่ในเจดีย์มีทั้งหมดสิบแปดคน ในหมู่พวกเขามีสามคนบนชั้นสามและสี่ ซึ่งหมายความว่ามีคนสิบเอ็ดคนที่นำหน้าหนิงเทียน
นอกจากเจียงซั่งอีและชิวซานอวิ๋นแล้ว หนิงเทียนยังไม่รู้ว่าอีกเก้าคนคือใคร
สิบสองคนพยายามแย่งชิงโชคลาภสิบประการ และมีคนถูกลิขิตให้ล้มเหลว ใครจะเป็หนึ่งในสองคนที่โชคร้าย?
หนิงเทียนไม่รีบร้อนที่จะจากไป เขากำลังรอผู้มาใหม่
ตอนนี้ตัวตนของเขามีความอ่อนไหว และขอบเขตไม่สูงส่ง
หากอูเหรินเจี๋ยขึ้นมาได้ เขาสามารถให้การป้องกันพิเศษแก่หนิงเทียนได้
หากอูเหรินเจี๋ยไม่สามารถบุกทะลวงมาได้ และเหลือหนิงเทียนเพียงคนเดียว เมื่อเขาต้องปะทะกับยอดฝีมือที่อยู่เหนือขั้นห้าของขอบเขตเปลี่ยนผ่าน เขาคงต้องหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต
หนิงเทียนรออยู่ที่ชั้นห้ากว่าครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจากไปในท้ายที่สุด
อูเหรินเจี๋ยบนชั้นสี่พยายามสามครั้ง แต่ล้มเหลวทั้งหมด
“เราลงไป แล้วหาทางออกอื่นกันเถอะ”
อูเหรินเจี๋ยตัดสินใจอย่างรวดเร็ว แล้วดึงชิวอีเซี่ยนลงไปชั้นล่าง
ชั้นหกของเจดีย์ประกอบด้วยโชคอันยิ่งใหญ่สี่ประการ แต่การเข้าสู่ชั้นห้านั้นไม่ได้หมายความว่าจะสามารถปีนขึ้นไปชั้นหกได้เสมอไป ยังคงมีข้อจำกัดในการขึ้นบันได หนิงเทียนเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงเมื่อเขาปีนบันไดขึ้นไป้า
พื้นที่บนชั้นหกเล็กกว่าบนชั้นห้าเล็กน้อย หลังจากหนิงเทียนขึ้นมา ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
มีแผ่นศิลาตั้งขึ้นในแต่ละทิศทาง ทั้งทางทิศอาคเนย์และทิศพายัพ มันมีรูปร่างใกล้เคียงกัน และมีความสูงประมาณสองจั้ง
นั่นไม่ใช่แผ่นศิลาที่อยู่นอกสุดทั้งสี่แผ่นบนแผนที่หรอกหรือ?
แม้ว่าจะไม่ใช่สี่แผ่นนั้นอย่างแน่นอน แต่มันก็คล้ายกันเกินไป
“มีความเชื่อมโยงระหว่างแผ่นศิลาทั้งสี่นี้กับแผ่นศิลาทั้งสี่นั้นหรือไม่?”
นี่เป็สิ่งแรกที่หนิงเทียนคิด จากนั้นเขาก็มุ่งความสนใจไปที่คนอื่นๆ บนชั้นหก
มีหกคนอยู่ที่นี่ หนึ่งในนั้นคือชิวซานอวิ๋นด้วย
แต่คนผู้นี้มีโชคไม่น้อย ทันทีที่หนิงเทียนขึ้นมา เขาก็เข้าใจความลึกลับบนแผ่นศิลาและเข้าสู่โลกภายในแผ่นศิลาไปเสียแล้ว
แผ่นศิลานั้นส่องแสง ซึ่งบ่งบอกว่ามันถูกโดยบุคคลที่ถูกกำหนดไว้
อีกห้าคนเต็มไปด้วยความอิจฉา บางคนพยายามจะทะลวงบันได และ้าขึ้นไปในชั้นเจ็ด ในขณะที่บางคนกำลังศึกษาแผ่นศิลาโดยหวังว่าจะได้อะไรบางอย่าง
เจียงซั่งอีมองหนิงเทียน ร่องรอยจิตสังหารแวบขึ้นมาในดวงตาของเขา แต่มันก็หายไปในวินาทีต่อมา
ตอนนี้หนิงเทียนอยู่เพียงลำพังแล้ว นับว่าเป็่เวลาที่ดีในการสังหารเขา
แต่เจียงซั่งอีนั้นมีขอบเขตที่สูงมาก ทั้งยังมีความหยิ่งยโส เขาจะอยากรังแกผู้อ่อนแอต่อหน้าทุกคนให้ถูกเยาะเย้ยได้อย่างไร?
นอกจากนี้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดที่จะฆ่าหนิงเทียน หากหนิงเทียนได้รับโอกาสและคว้ากุญแจออกมาได้ จากนั้นค่อยสังหารเขา และแย่งชิงกุญแจไป เช่นนี้เขาจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้ใช่หรือไม่?
หนิงเทียนมองไปรอบๆ แต่เขาจำใครไม่ได้เลยในสี่คนที่เหลือ มีคนสองคนอยู่ข้างในกำลังนั่งสมาธิบนแผ่นศิลา และอีกสองคนอยู่ที่้าสุดของบันไดที่ยังอยากไปยังระดับต่อไป
ตามการอนุมาน ยิ่งไปสูงเท่าไรโอกาสก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีทางเลือก ทุกคนย่อมหวังที่จะคว้าสิ่งที่ดีที่สุด
แต่มันยากมากที่จะขึ้นจากชั้นหกไปบนชั้นเจ็ด ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านทั้งสองพยายามและล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเขายังไม่คิดจะยอมแพ้
หนิงเทียนเก็บงำตัวตน ทั้งห้าคนที่นี่ล้วนอยู่เหนือขั้นห้าของขอบเขตเปลี่ยนผ่าน และเขาไม่้าดึงดูดความสนใจของผู้ใด
หนิงเทียนอยากไปชั้นเจ็ด เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่เป็เวลานานได้ ในกรณีที่มีคนคิดจะทำร้ายเขา เขาคงไม่มีโอกาสหลบหนีด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้เจตนาฆ่าที่ฉายแววในดวงตาของเจียงซั่งอีถูกจับััจากหมื่นสรรพสิ่งในใจของหนิงเทียน
ในขณะนี้ยังมีเจตนาฆ่าที่รุนแรงอีกครั้งที่มุ่งเป้ามา เขาจึงตัดสินใจรีบวิ่งไปที่บันไดราวกับหมอกควันในพริบตา
มีข้อจำกัดที่น่ากลัวอยู่ที่นั่น พลังที่มองไม่เห็นราวกับกำแพงซึ่งยากที่จะเจาะเข้าไปได้หากไม่มีกำลังเพียงพอ
หนิงเทียนเปิดใช้งานทักษะยุทธศาสตร์ครอง์และประตูสู่์ ในขณะที่พลังสะท้อนอันน่าสะพรึงกลัวเข้ามาหา เขาก็ก้าวเข้าไปในประตูสู่์ เมื่อทำเช่นนี้จึงสามารถแก้ปัญหาเื่ความกดดันที่บันไดมีได้อย่างชาญฉลาด
“เขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
เสียงอุทานสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านทั้งสองบนขั้นบันไดไม่สามารถยอมรับเื่นี้ได้
ขณะเดียวกันสีหน้าของเจียงซั่งอีก็ตกตะลึง หนิงเทียนสามารถปีนขึ้นไปยังชั้นเจ็ดได้ เขาไม่เคยคิดถึงเื่นี้เลย และนี่เป็ผลลัพธ์ที่เขาไม่เคยคาดหวัง
เมื่อแยกออกมาอีกชั้น ความเสี่ยงของหนิงเทียนดูเหมือนจะน้อยลงมาก
มีปราสาทหินทรงกลมสามหลังอยู่บนชั้นเจ็ด แต่ละหลังมีขนาดประมาณหนึ่งจั้ง ดูเหมือนสุสานหิน แต่หนิงเทียนรู้ว่าพวกมันเป็ตัวแทนของปราสาทสามแห่ง
มียอดฝีมือสองคนอยู่บนชั้นเจ็ด ซึ่งกำลังเพ่งความสนใจไปที่ความเข้าใจ
การมาถึงของหนิงเทียนไม่ได้ดึงดูดความสนใจของทั้งสอง ดังนั้นหนิงเทียนจึงตรงไปที่บันได
เมื่อยืนนิ่ง หมื่นสรรพสิ่งในใจของหนิงเทียนก็ััถึงความแตกต่างของพลังบนขั้นบันไดอย่างระมัดระวัง ทักษะเก้าเนตร์ของเขาสามารถมองทะลุข้อจำกัดบางอย่างบนบันไดได้ และเขากำลังคิดหาทางที่จะแก้ไขสิ่งเ่าั้
“ช่างเป็ข้อจำกัดที่ลึกลับอะไรเช่นนี้ ไร้ช่องโหว่ ทำได้เพียงฝืนผ่านไปเท่านั้น”
หนิงเทียนก้าวออกไป ทันทีที่เขาก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นแรก เขาก็รู้สึกราวทั้งโลกกำลังหมุน ราวกับเขาไท่ซานถล่มลงมาทับร่าง
หนิงเทียนหมุนเวียนกายาสุวรรณะนิรันดร์ หอคอยพลังทั้งสองในร่างกายเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็ว บงกชสีมรกตแกว่งไปมานอกร่างกาย ประตูมิติปรากฏขึ้น ก่อนจะปล่อยคลื่นอันแข็งแกร่งออกมา จากนั้นเขาจึงเดินขึ้นไปทีละขั้นภายใต้แรงกดดันมหาศาล
เหงื่อไหลอาบหน้า กระดูกส่งเสียงแตกร้าว เส้นลมปราณสั่นเทา ยามนี้เขารู้สึกราวกับร่างกายกำลังจะแหลกสลาย
“วาโยพิโรธ ยันต์เต๋าอนันต์!”
หนิงเทียนะโในใจ หอคอยพลังทั้งสองในร่างกายหมุนอย่างบ้าคลั่ง กระตุ้นทุกส่วนในร่างกายจนทั้งร่างเต็มไปด้วยพลัง ราวกับว่าเพลิงแห่งชีวิตกำลังลุกไหม้ ซึ่งช่วยให้เขาทนต่อความกดดันอันท่วมท้นและวิ่งเข้าสู่ชั้นแปดได้จริงๆ
ทันทีที่ความกดดันหายไป ร่างของหนิงเทียนก็โซเซจนเกือบตกบันได
เสียงฝีเท้าอันหนักหน่วงดูรุนแรงเป็พิเศษ กระตุ้นชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเผชิญทางตันอยู่อีกด้านหนึ่งของบันได ทั้งคู่ต่างก็อยากจะรีบไปที่เจดีย์ชั้นเก้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครทำสำเร็จ
“มดปลวกจื๋อซิวสามารถมาถึงที่นี่ภายใต้ขอบเขตนี้ได้อย่างไร?”
เสียงดูถูกเหยียดหยามเต็มไปด้วยความดูถูกออกมาจากปากของชายคนนั้น
“เป็เ้านั่นเอง!”
สตรีคนนี้ก็คือสตรีสวมผ้าคลุม และนางกำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาแปลกๆ
