สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 32
“ราม..รามไปเลย ม่านไปกับรามไม่ได้”
“...”
“นะ...รามไปเถอะ ม่านไปด้วยไม่ได้จริง ๆ ”
ประโยคนั้นของม่านหยี่ทำให้เขาหัวเสีย ต่างฝ่ายต่างาเ็ด้วยกันทั้งคู่ม่านทำท่าจะล้มอยู่รอมร่อไม่มีแรงพอจะไปช่วยเหลือใครได้อีกทั้งนั้นลำพังช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้เลย แทนที่จะรีบหนีไปด้วยกันตอนนี้แต่ม่านกลับเลือกตัดสินใจที่จะอยู่ ทิ้งความช่วยเหลือของเขาและเอาชีวิตกลับไปทิ้งตามเดิมอย่างนั้นน่ะเหรอ
“ม่าน!!! ฟังนะ เราไม่มีเวลาแล้ว ถ้าม่านจะหนีม่านไปกับเราตอนนี้”
“ไม่ได้ แม่...แม่ของเราอยู่ในนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปช่วยแม่”
“แต่...” เขายังไม่ทันได้อธิบายให้รามสูรเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารดาในตอนนี้ร่างสูงก็ฉวยเอามือเขาแล้วจับจูงแทบจะเรียกได้ว่ากระชากให้เดินตามกันไปยังห้องนอนของแม่ที่เขาบอก
รามสูรกระชากประตูเปิดออกและก็ต้องใเมื่อภาพตรงหน้าสะท้อนกับั์ตาและบอกความจริงกับเขาทุกอย่างแล้ว แม่ของม่านหยี่ไม่สบายนอนติดเตียงและเขาคิดว่าอาการป่วยของเธอคงหนักอยู่พอสมควรเพราะไม่อย่างนั้นในสถานการณ์แบบนี้เธอจะต้องฟื้นขึ้นมาแล้ว
“เราไปกับรามไม่ได้” เราที่ว่าคงหมายถึงตัวม่านหยี่เองและมารดา
“ไม่เราจะไปด้วยกัน แล้วรามจะให้คนกลับมาช่วยแม่ของม่าน”
“...ไม่ได้หรอก ถึงตอนนั้น...” เขาไม่อยากพูดว่าพ่อคงฆ่าแม่ไปแล้ว ถึงแม้มันจะเป็ความจริงก็ตาม
“ม่าน...เชื่อใจรามมั้ย”
ม่านหยี่ไม่ตอบหากแต่การพยักหน้านั้นก็เป็คำตอบสำหรับทุกอย่างแล้ว เขาเชื่อใจรามสูร เชื่อในตัวรามสูรยิ่งกว่าเชื่อในตัวเองเสียอีก แต่ครั้งนี้เขาคงไม่อาจวางชีวิตของมารดาเอาไว้ในมือของรามได้ หลายวันก่อนเขาและแม่อยู่โดยไม่มีความหวัง ม่านหยี่คิดแต่เพียงว่าเราสองคนคงไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ไปถึง อาการแม่หนักขึ้นทุกวันส่วนเขาก็ไม่ต่างกัน พ่อทำเื่โหดร้ายทารุณกับเขาและแม่ พ่อคิดว่าอย่างไรเสียเขาสองคนคงไม่รอดแน่ ๆ แล้วอย่างนั้นเลยคิดว่าการทรมานพวกเขาเป็เื่สนุกเพลิดเพลินและเป็การฆ่าเวลาแก้เบื่อไปพร้อม ๆ กัน
แต่พอมาวันนี้เขามีโอกาสรอดแล้วและแม่ก็เช่นกัน ถ้าหากว่าเขาพาแม่ออกจากเกาะนี้ได้แม่ก็อาจได้รับการรักษาที่ดีขึ้นและอาการของแม่คงต้องดีขึ้นอย่างนั้นอาจเป็ไปได้
“ม่านฟังนะ ถ้าม่านไม่ไปม่านจะไม่รอด จะไม่มีใครรอด แม่ก็เหมือนกัน”
“แต่...” ม่านหยี่มองดูสภาพมารดาอีกครั้ง ร่างกายของหญิงวัยกลางคนซูบผอมเหลือเพียงแต่หนังหุ้มกระดูก ศีรษะมนเกลี้ยงเกลาไม่มีผมแม้เพียงสักเส้นเดียว ข้อมือและแขนเหี่ยวย่นนั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวที่มาจากการโดนเข็มทิ่มแทงเนื้อหนังนับครั้งไม่ถ้วน ต่อให้เขาจะพยายามบอกกับตนเองสักกี่ร้อยพันครั้งว่าอย่างไรในเร็ววันนี้แม่อาจต้องตาย
แต่ในเมื่อมันมีความหวังแม้เพียงริบหรี่ เขาก็หวัง
และอยากสมหวังในความหวังลม ๆ แล้ง ๆ นั้นด้วย
“ม่านไปไม่ได้ ถ้าม่านจะไปแม่ต้องไปกับม่านด้วย!”
“โถ่เว้ยม่าน!!!” รามสูรสบถออกมาเสียงดังไม่จากนั้นเขาก็รวบเอาร่างบางมากอดไว้แล้วยกร่างเบาหวิวของม่านหยี่ขึ้นพาดบ่า ระยะเวลาแค่เพียงไม่นานน้ำหนักของม่านหยี่ลดลงไปอีกแล้วม่านตัวเบาไม่ต่างอะไรไปจากกระสอบนุ่น
“ราม! ปล่อยม่าน!”
“ไม่!!! พูดไม่รู้เื่ก็ไปมันทั้งแบบนี้แหละ!!!”
รามพาม่านเดินออกไปยังห้องครัวเสียงปืนบริเวณหน้าบ้านยังคงดังติดต่อกันมาเรื่อย ๆ เขาต้องรีบกลับไปยังเรือให้ได้เร็วที่สุดเพื่อที่จะกลับมาช่วยแม่ของม่านหยี่
“รามปล่อยเรานะ ขอร้อง” ม่านหยี่ดิ้นขลุกขลักอยู่บนบ่าแกร่งของนายหัวรามสูร วิวด้านหน้าของเขาเป็พื้นหญ้าสีเขียวเปียกแฉะและอีกครู่หนึ่งมันก็เปลี่ยนเป็ผืนทรายสีเข้ม
“ราม ปล่อย”
“รับปากก่อนว่าจะทำตามที่เราบอก”
“...”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็จะไม่ปล่อย”
“ราม...ขอร้องละนะ แม่ของม่าน นั่นแม่ของม่านนะ”
“และนี่ก็ชีวิตของม่านเหมือนกัน! จะทำเพื่อคนอื่นไปถึงไหน!”
“คนอื่นที่ว่าคือแม่ของม่านนะ!!!” เขาไม่อยากเถียงรามสูรหากว่าคนที่นอนป่วยอยู่นั้นเป็คุณนายรุ่งฤดีรามสูรก็คงจะพยายามช่วยชีวิตมารดาอย่างสุดความสามารถและไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมไหนทั้งนั้น แต่เขากลับช่วยแม่ตัวเองไม่ได้เลย...
รามสูรถอนหายใจก่อนที่จะวางคนรักลงกับผืนทราย
“ม่าน! ม่าน! หยุด! เราไปเอง...” รามสูรรวบตัวคนรักมากอดเอาไว้เพื่อที่จะให้ม่านหยี่สงบสติอารมณ์
“ไม่...”
“เราไปเอง แต่ม่านต้องไปขึ้นเรือกับเราก่อน โอเคมั้ย”
“...”
“โอเคมั้ยม่าน”
ปัง!!!
ปัง!!!
ปัง!!!
ยังไม่ทันที่สองคนจะตกลงกันได้เสียงปืนก็ดังไล่หลังพวกเขามา รามสูรดึงรั้งให้ม่านหยี่หมอบลงกับพื้นพลางโอบอดีตคนรักเอาไว้ตามสัญชาตญาณ เขาใช้ตัวเองเป็เกราะป้องกันะุให้ม่านหยี่เช่นเดียวกับที่ม่านเคยยอมตายแทนเขา
“พวกมึงจะไปไหน!!!” เป็นายหัวศิลาที่เดินโซซัดโซเซออกมาจากพุ่มไม้ไม่ไกลไปจากพวกเขาทั้งสองคน เนื้อตัวของบิดาอาบไปด้วยเืสีแดงฉานเสื้อผ้าชุ่มโชกไปด้วยน้ำเืจนไม่อาจรู้ได้ว่าสีเดิมของพวกมันคือสีอะไร
“พ่อ”
“ใครพ่อมึง กูไม่ใช่พ่อมึง” จิ้งจอกเฒ่าถึงแม้จะาเ็เจียนตายหากแต่ใบหน้ายังคงฉายชัดไปด้วยแววเ้าเล่ห์เพทุบาย ในมือข้างขวาของนายหัวศิลายังคงถืออาวุธปืนเอาไว้ นั่นทำให้รามสูรไม่ไว้วางใจอะไรทั้งนั้นเขาดันม่านหยี่ไปหลบอยู่ข้างหลังและใช้ตนเองเป็เกราะป้องกัน
“อา...พอเถอะ ผมยอมแพ้แล้ว”
เขาใช้สรรพนามแทนคนตรงหน้าว่า ‘อา’ ด้วยเพราะเมื่อว่ากันตามจริงแล้วนั้นนายหัวศิลาเคยเป็เพื่อนสนิทของพ่อและแม่ของเขา จากที่เคยใช้ไม้แข็งและอารมณ์เข้าฟาดฟันกันแต่ตอนนี้เขาและคนตรงหน้ามีสภาพบอบช้ำไม่ต่างกัน ดังนั้นรามสูรเลยคิดว่าถ้าหากใช้ไม้อ่อนอาจได้ผล
“หึ...กูไม่พอ เื่อะไรจะปล่อยให้พวกมึงไปมีความสุขกันวะ”
“...”
“เห็นคนทรมานมันสะใจกว่า ใช่มั้ยม่านหยี่ลูกรัก?” นายหัวศิลายกกระบอกปืนชี้มายังพวกเขาทั้งสองคน ทว่าด้านหลังนั้นรามสูรสังเกตเห็นตำรวจนับสิบนายกำลังค่อย ๆ เดินย่องเข้ามาพร้อมกันนั้นก็ส่งสัญญาณให้พวกเขารับรู้ว่าอย่าทำตัวมีพิรุธหรือเป็ที่ผิดสังเกต ให้ชวนนายหัวศิลาพูดต่อไปเรื่อย ๆ อย่าให้คนร้ายไหวตัวทัน
“พ่อ...พอเถอะ พ่อชนะแล้ว ม่านแพ้แล้ว แม่แพ้แล้ว ทุกคนแพ้แล้ว ม่านยอมแล้วพ่อ” ครั้งนี้เป็ม่านหยี่ที่เริ่มทำการพูดคุยกับบิดาโดยใช้น้ำเย็นเข้าลูบ หากแต่ลึก ๆ ในใจก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่บิดาจะยอมแพ้แล้ววางอาวุธปืนลงง่าย ๆ
“พ่อวางปืนลงก่อนนะ”
“มึงเป็ใครมาสั่งกู!!!”
รามสูรกุมมือของม่านหยี่เอาไว้ไม่ห่างกาย ยิ่งนายหัวศิลาเดินเข้ามาใกล้พวกเขาทั้งสองคนมากเท่าไหร่แรงกอบกุมที่มือยิ่งแน่นขึ้นมากเท่านั้น
“ม่านแพ้แล้วพ่อ ม่านยอมแล้ว พอเถอะนะ”
“แพ้หมายความว่ามึงกับแม่มึงกับทุก ๆ คนที่มึงรักต้องตาย แต่นี่พวกมึงยังมีชีวิตอยู่ มึงจะแพ้ได้ไง?!!!” เมื่อเข้าใกล้กันจนสามารถมองเห็นาแบนตัวนายหัวศิลาได้แล้วนั้น รามสูรก็พบว่าชายวัยกลางคนตรงหน้าถูกยิงที่บ่าข้างซ้ายและคงมีอีกที่บริเวณช่องท้องด้วยเพราะเืสีแดงไหลอาบชุ่มไปทั้งตัวและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล ด้านหลังที่นายหัวศิลาเดินมานั้นก็ทิ้งรอยเืเป็ทางยาวเลยไม่ยากที่ตำรวจจะตามตัวเจอ
“พอเถอะอา เื่นี้ไม่จำเป็ต้องมีใครตายอีกแล้ว เราสูญเสียกันมาพอแล้วอา ทั้งผมทั้งอาทั้งม่าน”
“หึ ๆ ๆ พวกมึงคิดว่ามึงเสียอะไรกัน กูก็เห็นพวกมึงมีความสุขกันดีนี่ แล้วพวกมึงจะสูญเสียอะไร!!!”
“แม่ตั้งใจจะคืนที่ดินผืนนั้นให้อา ที่ที่อาอยากได้ หรืออาอยากได้ตรงไหนบอกผม ผมจะให้หมดทุกอย่าง ขอแค่หยุดตอนนี้ยังทันนะอาศิลา...”
“ฝันไปซะเถอะมึง!!!”
ทันใดนั้นนายหัวศิลาก็ยกปืนขึ้นแล้วชี้มายังพวกเขาที่ยืนอยู่ รามสูรที่มีสติที่สุดในตอนนั้นรีบหันไปคว้าม่านหยี่เข้ามากอดเอาไว้เนื่องจากรู้ว่าปลายกระบอกปืนนั่นเบี่ยงไปทางม่านหยี่มากกว่าเขา ร่างแกร่งใช้ตนเองเป็เกราะกำบังให้คนรัก
ปัง!!!
เสียงปืนดังลั่นหน้าหาดทรายคนที่โดนโอบกอดเอาไว้อย่างม่านหยี่นั้นไม่ทันได้รู้สึกเ็ปอะไรทว่าอยู่ ๆ ร่างของรามก็ทรุดลงกับผืนทรายและนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เืสีแดงสดค่อย ๆ แทรกซึมผืนทรายออกมานั่นจึงทำให้เขาเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่ารามสูรโดนยิง
“ราม!!!” เสียงะโเรียกชื่อคนรักดังขึ้นก่อนที่เสียงปืนห่าใหญ่จะดังกลบเสียงของเขา
ปัง!!!
ปัง!!!
ปัง!!!
เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายขึ้นอีกครั้งเมื่อนายตำรวจนับสิบสาดะุห่าใหญ่ไปที่ตัวของนายหัวศิลาด้วยเพราะเมื่อครู่นายหัวศิลาได้ทำการอุกอาจพยายามฆ่าและกลายเป็ว่ารามสูรได้รับาเ็เป็ผู้ถูกยิง ดังนั้นตำรวจจึงเห็นว่าสามารถวิสามัญฆาตกรรมหรือจับตายคนร้ายอย่างนายหัวศิลาได้ทันที
“ราม!!!” น้ำเสียงของเขาสั่นเทาไม่ต่างไปจากมือทั้งสองข้างและร่างกายที่าเ็ ม่านหยี่เหมือนคนไร้สติเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เขาจำเหตุการณ์และเื่ราวต่าง ๆ ไม่ได้ เสมือนจิ๊กซอว์ใน่เวลาจากนั้นมันหล่นหายออกไป เขาจำได้แค่เพียงว่ามันวุ่นวาย มีเสียงคนะโโหวกเหวกโวยวาย เกิดการทะเลาะกันและหลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
รู้ตัวอีกทีเขาก็ฟื้นขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมเย็น ๆ และเงียบสงบในตอนกลางดึกของวัน กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดอันแสนคุ้นเคยบอกกับเขาว่าที่นี่คือโรงพยาบาล และเขากำลังอยู่ในโรงพยาบาล พักรักษาตัวอยู่ แต่นอกเหนือจากนั้น เขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
ม่านหยี่ค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นนั่งบนเตียงเขาพบว่าร่างกายเ็ปจนแทบจะทนไม่ไหว มือข้างซ้ายมีสายน้ำเกลือเสียบคาเอาไว้มันให้ความรู้สึกแปลกยากที่จะอธิบาย ร่างกายของเขาเจ็บช้ำและปวดตุบยากที่จะแยกว่าตอนนี้ความเจ็บที่มันถาโถมเข้ามานั้นมันคือความเ็ปจากตรงส่วนไหน ม่านหยี่ยกมือเรียวของตนขึ้นมาค่อย ๆ ใช้ปลายนิ้วทั้งห้าแตะลงบนหน้าผากเขาััได้ว่ามันมีผ้าหนานุ่มพันรอบเอาไว้ และใช่จริง ๆ เสียด้วย...
“ซี้ดดดด” ม่านสูดปากด้วยความเ็ปเนื่องจากปลายนิ้วก้อยของตนเผลอไปแตะลงที่โหนกแก้มซึ่งน่าจะมีาแแตกอยู่
“ราม!!!”
‘รามสูรถูกยิง’ นั่นคือความจริงที่แสนเ็ปยิ่งกว่าาแบนร่างกายของเขาเสียอีก รามถูกนายหัวศิลายิงเพราะเอาตัวมากันเขาไว้ และหลังจากเหตุการณ์นั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย ร่างบางหย่อนเท้าทั้งสองข้างของตัวเองลงจากเตียงจากนั้นคนเจ็บก็เดินย่องตีนเบาราวกับแมวขโมยออกจากห้องพักใน่กลางดึก เขาไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าความเ็ปมันไม่เคยจะหายไปเลย
ม่านหยี่เดินหลงทางอยู่ครู่ใหญ่เขาเดินผ่านห้องพักหลายสิบห้องที่บ้างก็มีรายชื่อคนไข้ติดเอาไว้ บ้างก็เป็ห้องว่างเปล่าไม่มีใคร เขาตัดสินใจเดินไปยังแผนกต้อนรับที่ซึ่งประจำอยู่ด้านหน้าของโรงพยาบาล พยาบาลสาวสามคนที่นั่งอยู่พวกเธอดูใจนแทบสิ้นสติเมื่อเห็นเขาไปยืนอยู่ตรงนั้น
“ตายแล้ว!!! คนไข้นี่ เดินมาแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“เอ่อ...”
“เธอไปเอารถเข็นมา เดินแบบนี้ไม่ได้นะคะคุณ!”
“คือผมแค่อยากถามว่า รามสูรพักอยู่ห้องไหนเหรอครับ” ซึ่งในความเป็จริงแล้วนั้นเขาไม่รู้เลยว่ารามจะพักรักษาตัวอยู่ที่นี่หรือไม่ หรือบางทีรามอาจถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลเอกชนหรือโรงพยาบาลอื่น ๆ ก็เป็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น
“คุณรามสูรพักอยู่ที่ชั้นสี่ค่ะ”
คงเป็รามสูรเดียวกันกับที่เขาหมายถึง ม่านหยี่เชื่อว่าชื่อรามสูรไม่ใช่ชื่อที่โหลจนใคร ๆ ก็เอามาตั้งดังนั้นที่นี่คงไม่มีรามสูรอื่นใดนอกจากรามสูรอดีตคนรักของเขา
“ขอบคุณครับ” คนเจ็บกล่าวขอบคุณพยาบาลที่บอกข้อมูลของรามให้เขาทราบ อีกทั้งยังขอบคุณพยาบาลที่เข็นรถเข็นมาให้เขานั่ง เธออาสาเข็นรถพาเขากลับไปยังห้องพักและไม่ลืมที่จะทำแผลตรงบริเวณสายน้ำเกลือที่เขาก็ไม่รู้ว่ามันหลุดออกไปตอนไหน คงเป็ตอนที่เดินลงจากเตียงไป
“เอ่อ...ถามได้มั้ยครับ ผมหลับไปนานเท่าไหร่ และตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“คุณหลับไปสองวันค่ะ ตอนนี้สามทุ่มแล้วค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ สองวัน...” คนเจ็บพูดด้วยความเหม่อลอย
“แล้ว แล้วอย่างนั้นแสดงว่ารามยัง ยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ยครับ รามปลอดภัยมั้ยครับ”
“คุณรามสูรยังมีชีวิตอยู่ค่ะ แต่หลังจากที่เข้าผ่าตัดไปห้าชั่วโมงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นเลยค่ะ คุณหมอยังไม่รับรองว่าพ้นขีดอันตรายตอนนี้อยู่ในห้องไอซียูรอให้คุณรามฟื้นอยู่ค่ะ”
“เหรอครับ...” ม่านหยี่ตอบเสียงอ่อย เขาเป็ต้นเหตุของเื่ราวทั้งหมด เป็คนที่ทำให้รามต้องเจ็บแบบนี้ด้วย ทั้งหมดมันเป็ความผิดของเขา เขาเหม่อมองพยาบาลสาวที่ก้ม ๆ เงย ๆ กับข้อมือข้างซ้ายของเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาว่าเสร็จเรียบร้อย และเขาก็ได้สายน้ำเกลือกลับมาเสียบคาเอาไว้ตามเดิมอย่างที่มันควรจะเป็
“เอ่อ...แล้วมีคนไข้ที่ชื่อสุทาสินีที่เป็มะเร็งมารักษาตัวด้วยมั้ยครับ”
“อ๋อ มีค่ะ แต่ว่า...”
“แต่ว่า?” คำว่าแต่ทำเอาหัวใจของเขาหล่นหาย
“ตอนนี้อาการโคม่าเธอรักษาตัวอยู่อีกตึกนึง ไม่ทราบว่าคุณเป็อะไรกับเธอเหรอคะ”
“เป็ลูกชายครับ”
“อย่างนั้นวันนี้พักผ่อนก่อนดีกว่านะคะ พรุ่งนี้คุณหมอเ้าของไข้ของคุณสุทาสินีจะเข้ามาคุยกับคุณเองนะคะ”
“...ครับ”
ท้ายที่สุดแล้วพยาบาลใจดีคนนั้นก็ขอตัวและเดินหายลับออกไปจากห้องพักรักษาตัวของเขา ทิ้งให้ม่านหยี่นั่งอยู่ลำพังอีกครั้ง เสียงร้องของจิ้งหรีดในตอนกลางคืนดังเข้ามาจากทางด้านหลังเขาตัดสินใจเดินไปเปิดหน้าต่างออกดูก็พบว่าตนเองพักอยู่ชั้นหนึ่งของโรงพยาบาลและด้านหลังนั้นเป็กำแพงซึ่งปลูกต้นดอกแก้วเรียงกันยาวไปเป็แถว การฟื้นขึ้นมาในตอนนี้ให้ความรู้สึกแปลกแต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะสูญเสียทุกคนที่เขารักและรักเขาไป เมื่อสักครู่ในตอนที่เขาถามถึงแม่แววตาเวทนาของพยาบาลสาวฉายชัดทุกอย่างออกมาจนยากที่จะปฏิเสธได้ว่าคงไม่เกินอาทิตย์นี้หรืออาทิตย์หน้า ส่วนในตอนที่เขาถามถึงรามสูรนั้นเธอก็ดูมีความลังเลอ้ำอึ้งไม่อาจเล่าถึงอาการของรามให้เขาฟังได้
คนเจ็บนอนไม่หลับ เขาไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ในตอนนี้ดังนั้นม่านหยี่เลยทำการไม่สมควรทำอีกครั้งนั่นคือเข็นเสาน้ำเกลือและเดินออกจากห้องพักคนเจ็บ จุดมุ่งหมายของเขาในตอนนี้คือชั้นสี่ของโรงพยาบาล...
ลิฟต์เปิดออกพร้อมกับเสียงติ๊ง ทว่าด้านนอกนั้นกลับเงียบกริบและอบอุ่นกว่าห้องในชั้นล่างที่เขาพักอยู่ คนเจ็บสอดส่ายใบหน้าออกไปมองซ้ายทีขวาทีไม่พบวี่แววของผู้คนอื่นใดเลยนอกจากความเงียบ เขาเดินออกมาจากลิฟต์และตรงไปด้านหน้าทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารามพักอยู่ที่ห้องไหน
สองเท้าบางไร้ซึ่งรองเท้าสวมใส่เหยียบย่ำลงบนพื้นหินอ่อนของโรงพยาบาลเบา ๆ แทบจะเรียกได้ว่าย่องเบาเหมือนแมว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาทำแบบนั้นทำไม เสียงพูดคุยกันดังออกมาจากปีกซ้ายของตึกซึ่งเขายังเดินไปไม่ถึง ทว่าเสียงนั้นมันช่างคุ้นเคยและอดไม่ได้ที่จะสั่นกลัว แต่นอกเหนือจากความกลัวที่มีแล้วนั้นคือความรู้สึกผิดในหัวใจที่มันล้นปรี่ออกมา เขาเป็ตัวต้นเหตุของเื่ราวทั้งหมดในครั้งนี้และถ้าหากคุณนายรุ่งฤดีจะชี้หน้าด่ากันหรือเอาเขาเข้าคุก เขาก็จะไม่ขัดขืนหรือปฏิเสธเลย
“เข้าไม่ได้ครับ” บอดี้การ์ดสองคนยกมือขึ้นมาห้ามเขาเอาไว้ในตอนที่ม่านหยี่ตัดสินใจเดินเลี้ยวเข้าไปทางห้องพักของรามสูร ยังมีบอดี้การ์ดอีกสี่คนที่ยืนประจำกันอยู่คนละที่และพวกเขาก็ดูเหมือนพร้อมจะจับม่านโยนออกไปได้ทุกเมื่อ
“ปล่อยมันเข้ามา” น้ำเสียงประกาศิตออกคำสั่งทำให้ชายสองคนที่ขวางหน้าเขานั้นฉากตัวออกเปิดให้เขาเดินหน้าเข้าไปหาเธอได้เลย คุณนายรุ่งฤดีนั่งอยู่ที่ม้านั่งพลาสติกตัวยาวสีเข้มซึ่งความจริงแล้วถ้าหากคนอื่น ชาวบ้านตาสีตาสานั่งมันคงไม่ดูแปลกหูแปลกตา แต่ด้วยเพราะมันเป็เธอ เป็หญิงวัยกลางคนที่แผ่รังสีความน่ากลัวออกมาทุกชั่วขณะจิต ที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้นคือพี่อัสนีพี่ชายของรามสูร พี่อัสคงจะเกลียดม่านมากถึงขั้นที่ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแล้ว ดังนั้นชายที่ดูคล้ายกับรามไปเสียเจ็ดส่วนนั้นจึงได้แต่ยืนนิ่งเป็รูปปั้นเสตามามองเขาเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นก็หันหน้าหนีไป
“เป็ยังไงผลงานของแก...”
“...”
“ดูซะสิ”
“...”
“พอใจแล้วใช่มั้ย”
“...”
“พูด!!!”
เพล้งงง!!!
แก้วเซรามิกถูกปาลงพื้นแล้วแตกกระจายใกล้กับฝ่าเท้าเปลือยเปล่าของเขา เศษแก้วชิ้นเล็กชินน้อยบางส่วนพุ่งเจาะเข้ายังหลังเท้าของม่านหยี่ทันที มันให้ความรู้สึกเจ็บแต่คงไม่เจ็บเท่าความรู้สึกของคนเป็แม่ที่เห็นลูกนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องICU
“แม่!!” เป็อีกครั้งที่อัสนีต้องรีบเข้ามาดึงรั้งมารดาเอาไว้ไม่ให้พุ่งตัวใส่ม่านหยี่หรือใครก็ตามที่แม่สามารถเอาอารมณ์ไปลงได้
“แม่ อย่า...”
“ปล่อยฉันตาอัส ฉันจะฉีกมันเป็ชิ้น ๆ ”
“อย่าแม่” อัสนีไม่คิดว่าแรงของหญิงวัยกลางคนที่ป่วยเป็โรคมะเร็งจะมากมายเช่นนี้ แต่ก็นั่นแหละเพราะหญิงวัยกลางคนคนนี้คือคุณนายรุ่งฤดีอย่างไรละ
“ฉันจะฉีกมัน! แกก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องแก เกิดอะไรขึ้นกับตาราม แกเห็นแล้วไม่ใช่เหรออัส! เป็เพราะมัน! เพราะมันคนเดียว”
เพล้งงง!!!
เป็อีกครั้งที่คุณนายรุ่งฤดีมือไวคว้าเอากาน้ำร้อนขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาขว้างปาใส่เขา แต่คงเป็เพราะเธอใส่แรงมากเกินไปกานั่นเลยลอยข้ามหัวไปตกลงข้างหลังม่านหยี่ไกลออกไปมากโข
“แม่พอแล้ว ไม่เอาน่าแม่ พอเถอะ”
“แกปล่อยฉันตาอัส!”
“พอเถอะแม่”
“เื่ทั้งหมดมันเป็เพราะแก จำใส่สมองไว้ เพราะแกคนเดียวที่ทำให้รามเป็แบบนี้”
“...”
“ทำไมไม่เป็แกนะ ทำไมไม่เป็แกที่นอนอยู่ตรงนั้น ทำไมต้องเป็ลูกชายฉันด้วย!!!”
เขาก็เฝ้าถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมไม่เป็เขาเอง คนที่ต้องนอนอยู่บนเตียงนั่น คนที่ถูกยิง หรือคนที่ตายทำไมไม่เป็เขา...
ดูเหมือนว่าคุณนายรุ่งฤดีกำลังตกอยู่ในสภาวะก้ำกึ่งระหว่างเสียใจกับโกรธแค้น เธอทั้งเป็ห่วงลูกชายคนเล็กที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ ทั้งโกรธแค้นม่านหยี่ที่เป็ต้นเหตุของเื่ราวทั้งหมด และบางทีเธออาจกล่าวโทษตัวเองด้วยที่ตอนรามสูรเริ่มต้นความสัมพันธ์เธอไม่รับรู้และไม่พยายามห้ามปรามหรือเตือนลูกชายให้มากกว่านี้
“ผม...ก็อยากให้มันเป็ผมเหมือนกัน”
เพี้ยะ!!!
แรงฟาดจากฝ่ามือกระทบลงบนใบหน้ามันรุนแรงมากจนกระทั่งทำให้ดวงหน้าหวานหันไปตามแรงตบนั้น รสสนิมค่อย ๆ ซึมซาบเข้าสู่ลิ้นและโพรงปาก คุณนายรุ่งฤดีกระชากตัวเองออกจากวงแขนของลูกชายและเธอก็พุ่งตัวเข้ามาตบม่านหยี่อย่างแรง แรงที่สุดเท่าที่ความโกรธและความเสียใจที่อยู่ในอกจะมีได้
“แม่!!!” ยังคงเป็อัสนีที่รีบเข้าไปดึงรั้งมารดาให้สงบสติอารมณ์และไม่ทำอะไรไปมากกว่านี้ ด้วยเพราะสภาพของม่านหยี่ก็ไม่ได้ต่างจากรามสูรน้องชายของเขาสักเท่าไหร่ อีกทั้งแม่ของเขานั้นยังมีโรคแทรกซ้อนอีกหลายต่อหลายโรคถ้าหากว่ายังรั้นอยู่แบบนี้เขากลัวว่าอาการของโรคจะกำเริบขึ้นมาอีกก็เป็ได้
“ใช่ทำไมไม่เป็แกที่ตาย!!!”
“แม่พอแล้ว ม่านกลับไป” อัสนีพยักหน้าให้สัญญาณกับม่านหยี่หากว่าคนตรงหน้ายังรั้นที่จะยืนอยู่ตรงนี้ก็จะกลายเป็กระสอบทรายดี ๆ นี่เอง เผลอ ๆ แม่ของเขาอาจทำร้ายม่านไปมากกว่านี้ก็ได้ดังนั้นเพื่อป้องกันเอาไว้ก่อนเขาเลยต้องให้ม่านหยี่ออกจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด
“ผมขอโทษครับ ผมขอโทษจริง ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็อย่างนี้”
“แกขอโทษแล้วลูกชายฉันจะฟื้นมั้ย ทำไมไม่เป็แกม่านหยี่!!! มันสมควรจะเป็แกที่โดนแบบนี้!”
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปเขาจะเอาตัวเองเข้ารับลูกะุนั้นแทน ไม่สิ...เขาสมควรจะย้อนกลับไปให้ไกลกว่านั้น ย้อนกลับไปอีกสี่ปี ในตอนที่เรายังไม่รู้จักกัน เขาจะไม่ทำความรู้จักกับรามสูร จะไม่เริ่มต้นบทสนทนาที่ไม่รู้ว่ามันจะพาเราสองคนมาไกลขนาดนี้ ความรู้สึกดี ๆ ที่มันเคยเกิดขึ้น ความรัก ความผูกพัน เมื่อหักลบกลบล้างแล้วมันไม่อาจลบความเ็ปในครั้งนี้ออกไปได้เลย เขาเคยจินตนาการเอาไว้ว่าเื่ราวในครั้งนี้คงจะจบลงด้วยความเ็ป แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเจ็บเจียนตายแบบนี้...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้