สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 31
คลื่นสูงมากกว่าหนึ่งเมตรกำลังกระทบกับกาบเรือลำใหญ่ของนายหัวรามสูรที่แล่นไปในผืนน้ำกว้าง ทะเลกำลังพิโรธเช่นเดียวกันกับความรู้สึกของเขา รามสูรยังวางความโกรธลงไม่ได้แต่เช่นเดียวกันนั้นเขาก็ห่วงม่านหยี่ยิ่งกว่าอะไรดี ั้แ่เห็นศพหญิงแปลกหน้าสองคนนั้นที่ลอยมาติดฝั่งและศพพี่ชัยที่พึ่งมารู้ทีหลังว่ามีความเกี่ยวข้องกับนายหัวศิลาเขาก็ไม่อาจวางใจปล่อยให้ม่านหยี่อยู่ที่นั่นได้อีกแล้ว ทั้งยังได้รับคำเตือนจากผู้หญิงสองคนนั้นก่อนที่เธอจะกลายเป็ศพอีก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับม่านหยี่เขาคงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
หัวใจมันอยากก้าวไปให้ไวกว่าร่างกายทันทีที่เรือสปีดโบ๊ทลำใหญ่จอดที่ใกล้ฝั่งร่างสูงก็ะโลงจากเรือจนทำให้หยดน้ำกระจายออกเป็วงกว้าง รามสูรไม่อาจรั้งรอให้ลูกน้องตามมาดังนั้นเขาเลยรีบสาวเท้าวิ่งเข้าไปยังฝั่งที่อยู่เบื้องหน้านี้ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าอาจมีคนของนายหัวศิลาดักรออยู่หรือนี่อาจเป็กับดักที่ม่านหยี่และบิดาวางแผนร่วมกัน
เขาเดินผ่านทางเดินซึ่งรอบข้างนั้นปลูกต้นไม้สูงใหญ่เอาไว้ประดับตกแต่งหรือแม้กระทั่งพืชพรรณที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในใจไม่มีความกลัวหากมีแต่ความห่วงคนรัก เสี้ยวหนึ่งในความคิดเขาก็เกิดคำถามกับตนเองว่ามาทำอะไรที่นี่ มาช่วยคนทรยศทำไม จะเป็ห่วงคนที่ทำให้ตนเองเจ็บหนักเจียนตายไปทำไม ทว่าอีกใจหนึ่งก็ไม่อาจเพิกเฉยได้ และคิดว่าหากเป็เขาที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายม่านเองก็คงจะมาช่วยเขาเหมือนกัน...อย่างนั้นใช่ไหมนะ
“เฮ้ย! มึงจะไปไหน?!” ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านพ้นประตูบ้านหลังใหญ่เข้าไปหนึ่งในลูกน้องของนายหัวศิลาก็สังเกตเห็นคนแปลกหน้า แขกไม่ได้รับเชิญที่มันเองก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างเพราะเมื่อไม่นานมานี้มันเป็คนเอาลูกของนายมาส่งบ้าน นายดูไม่ชอบใจเท่าไหร่แต่ครั้งนั้นก็ไม่ได้สั่งให้พวกมันทำอะไร แต่ครั้งนี้คำสั่งจากเบื้องบนสั่งลงมาว่า ‘ให้จับเป็ไอ้รามสูร’
“ม่านหยี่อยู่ไหน”
“ไม่ได้อยู่ที่นี่” ลูกน้องนายหัวศิลาว่าพลางใช้สายตาสำรวจคนตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
“กูไม่เชื่อ นายมึงอยู่ไหนบอกให้มันออกมาคุยกับกู”
“มึงมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง-...”
ยังไม่ทันที่ลูกน้องของนายหัวศิลาจะพูดจบประโยครามสูรก็พุ่งเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายแล้วเตะขาพับให้มันนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ไม่เพียงเท่านั้นร่างสูงยังโถมตัวใช้เข่าบ่าและคอลูกน้องของนายหัวศิลาให้แนบไปกับพื้นหินอ่อนเย็น ๆ จนอีกฝ่ายร้องเสียงดังออกมา
“ปล่อยกู!!!”
“กูไม่มีเวลามาเล่นลิ้นกับมึง นายมึงอยู่ไหน ม่านหยี่อยู่ไหน!!!” เสียงทุ้มตวาดกร้าวดังลั่นโถงคฤหาสน์หลังใหญ่ เขากลัวว่าหากยังต่อล้อต่อเถียงอยู่กับลูกน้องของนายหัวศิลาอาจไม่ทันช่วยม่านหยี่ให้พ้นจากอันตราย คนใจร้อนเลยชิงลงมือก่อน
“กูไม่รู้!!! ปล่อยกู”
“บอกกูมา!!!” รามควักเอาปืนที่เหน็บอยู่บริเวณบั้นเอวออกมาจ่อไปยังขมับของคนตรงหน้า เขาไม่ได้คิดจะยิงมันจริง ๆ ...หากไม่จำเป็
ความหุนหันพลันแล่นและการบุ่มบ่ามไม่ได้ทำให้รามสูรระแวดระวังว่าอาจมีลูกน้องของนายหัวศิลาที่เหลืออยู่อีกหลายคนจ้องจะเล่นงานเขา ความเจ็บจากสีข้างเนื่องจากแรงเตะทำให้รามสูรกระเด็นออกไปในทันที ยังไม่ทันจะตั้งตัวได้ก็โดนหมัดลุ่น ๆ พุ่งกระทบเข้ายังหน้าท้องและใบหน้าอย่างจัง นายหัวรามสูรเซถลาไปทางซ้ายทีขวาทีก่อนที่จะยกเท้าหนัก ๆ ของตนขึ้นถีบหนึ่งในลูกน้องของนายหัวศิลาที่พยายามจะเข้ามาทำร้ายเขา รามยกหลังมือขึ้นมาเช็ดเืสีแดงสดที่หยดออกมาจากริมฝีปากด้วยเพราะโดนชกจนปากแตก กลิ่นคาวเืคละคลุ้งอยู่ในปากก่อนที่เขาจะถุยน้ำลายลงพื้นแล้วพุ่งตัวเข้าใส่กลุ่มคนตรงหน้า
หมาหมู่...เหตุการณ์ตรงหน้าไม่ต่างอะไรไปจากคำนิยามนั้น รามสูรโยกตัวหลบหมัดของลูกน้องของนายหัวศิลาก่อนจะเสยหมัดสวนเข้าไปยังปลายคางจนทำให้มันหงายหลังนอนลงไปกับพื้น เขาเอี้ยวตัวหลบการพยายามเข้าประชิดตัวของฝ่ายตรงข้ามและเตะสวนไปยังหน้าท้อง นายหัวรามสูรพอเป็มวยอยู่บ้างและเทควันโดที่มารดาเคยส่งเสียให้เรียนจนได้สายสีดำและรางวัลระดับภูมิภาคมาก็ไม่ได้ทำให้เขาอับอายขายหน้าจนเกินไป เสียงหมัดเท้าเข่าศอกที่กระทบกับร่างกายดังขึ้นเป็ระยะ ใช่ว่าเขาจะไม่โดนฝ่ายตรงข้ามทำร้ายได้เลยเพราะพวกมันมีกันเยอะกว่าแต่หากเทียบกันแล้วก็ถือว่าทำได้ดีมากในฐานะที่เขามีตัวคนเดียวและพวกมันมีมากกว่าถึงห้าคน
ทว่าสุดท้ายแล้วคนที่โดนเล่นงานหนักสุดและกลายเป็ฝ่ายเพลี่ยงพล้ำตอนนี้คือนายหัวรามสูร ร่างแกร่งถูกจับล็อกแขนทั้งสองข้างเอาไว้ กลางลำตัวกลายเป็กระสอบทรายชั้นยอดให้ลูกน้องของนายหัวศิลาฟาดหน้าแข้งหนัก ๆ ของพวกมันลงมา ความเ็ปแล่นริ้วขึ้นจนเขาไม่อาจคาดคะเนได้ว่ามีส่วนตรงไหนในร่างกายที่กำลังแตกหักอยู่ตอนนี้ อาจเป็ซี่โครงหรืออวัยวะภายในสักอย่างที่กำลังถูกแรงลำขาอัดกระแทกจนทำให้น้ำเืสีสดไหลย้อนกลับออกมาทางปาก สภาพนายหัวรามสูรแทบจะดูไม่ได้
“มาบ้านท่านก็หัดทำตัวให้มันดี ๆ หน่อยสิวะ” เสียงจิ้งจอกเฒ่าดังขึ้นขัดขวางกับสถานการณ์ที่กำลังระอุอยู่ตอนนี้ ร่างของชายวัยกลางคนค่อย ๆ เดินก้าวลงบันไดมาอย่างไว้มาด ใบหน้าเ้าเล่ห์ประดับไปด้วยรอยยิ้มพึงใจที่คนอย่างเขาคิดว่ามันน่ารังเกียจ...
แต่ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาสิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดในตัวของนายหัวศิลาคือดวงตา และม่านหยี่ก็ได้ดวงตาของพ่อมาเต็ม ๆ แววตาหวานหยดยามที่ดุดันหรือโกรธขึ้งแทบจะเหมือนกันอย่างกับแกะ ตาของม่านเป็สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดและตอนนี้มันก็เป็สิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดเช่นกัน
“ไม่อย่างนั้นท่านจะเป่าหัวมึงได้ง่าย ๆ ” ในมือของเ้าของบ้านมีปืนสั้นขนาด 9 มม. ยกจ่อมายังท้ายทอยของนายหัวรามสูรแขกไม่ได้รับเชิญในวันนี้ ใบหน้าเหี่ยวย่นยกยิ้มมุมปากพลางใช้นิ้วโป้งปลดเซฟตี้ปืนเสียงดังแกร๊ก...
รามสูรพยายามสะบัดตัวออกจากการจับกุมทว่ายิ่งเขาขยับมากเท่าไหร่าแและความเ็ปยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
“ม่านหยี่อยู่ไหน” รามสูรเค้นเสียงในลำคอถามออกไปเขาขบกรามเข้าหากันแน่นจนได้ยินถึงเสียงเต้นตุบ ๆ ของกล้ามเนื้อที่เครียดขมึง ดวงตาข้างหนึ่งบวมเป่งและมีเืไหลซึมออกมา ขมับและโหนกแก้มแตกยับเช่นเดียวกันกับมุมปากและส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่ช้ำเืช้ำหนอง ถึงอย่างนั้นจุดประสงค์ที่เขามาวันนี้คือมาตามหาม่านหยี่ เขาต้องพาม่านกลับไปด้วยกันให้ได้
“มึงจะมาสู่ขอลูกกูเรอะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ” เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่
“...”
“ถุย!!! ความประทับใจั้แ่แรกพบเป็ศูนย์เลยว่ะ พูดก็ไม่มีหางเสียง กิริยามารยาทก็ห่วยแตก อย่างนี้ใครจะอยากยกลูกให้วะ?” นายหัวศิลาถ่มน้ำลายใส่คนหนุ่มรุ่นลูกที่นั่งคุกเข่าโงนเงนแทบล้มอยู่รอมร่อ สภาพน่าสมเพชขนาดที่ว่าถ้าแม่มันเห็นคงได้อกแตกตายก่อนมันแน่ ๆ
“...”
“อาทิตย์ก่อนเอามันมาคืน อาทิตย์นี้มาตามมันกลับ นี่มึงเห็นว่าลูกกูเป็หมารึไง” ประโยคเ่าั้ไม่ได้มีน้ำเสียงของความห่วงหวงหรือห่วงใยอะไรเลย หากแต่มันกลับแฝงไปด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลนและความน่าขันในตัวม่านหยี่มากเสียจนรามสูรรับรู้ได้ว่าเื่ราวทั้งหมดอาจไม่ได้เป็อย่างที่เขาคิดั้แ่แรก ความสัมพันธ์พ่อลูกของม่านหยี่และนายหัวศิลาอาจไม่ได้ดีอย่างที่เขาคิด
“มาคุยกันหน่อยว่าที่ลูกเขย” เพียงแค่นายหัวศิลาประมุขของบ้านเอียงคอน้อย ๆ ให้สัญญาณลูกน้อง รามสูรก็ถูกลากถูลู่ถูกังไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งมีโซฟาราคาแพงวางตั้งอยู่พร้อมกับโต๊ะกระจกสีนิล เขาไม่เห็นว่ามันมีความจำเป็ต้องมีห้องรับแขกในบ้านหลังนี้เลยด้วยเพราะนายหัวศิลาคงไม่เคยเปิดบ้านต้อนรับแขกหน้าไหน หรือไม่ก็คงเอาไว้รับแขกคู่ค้าธุรกิจมืดของมัน
นายหัวศิลาทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาพลางวาดแขนออกไปพาดเอาไว้กับพนักพิงวางท่าเป็เ้าบ้านอย่างเต็มที่ ใบหน้าที่ดูคล้ายกับม่านหยี่ไปเสียสี่ส่วนจ้องมองมาที่เขานิ่ง ๆ ก่อนที่จะแสยะยิ้มน่ารังเกียจ
“หึ...มึงนี่โง่กว่าที่กูเคยคิดเอาไว้เยอะนะ”
“...”
“ทีแรกกูก็คิดว่ามึงบ้าดีเดือดดีที่เอามันมาส่งรอบที่แล้ว”
คำว่า ‘มัน’ คงเป็สรรพนามที่เอาไว้ใช้เรียกม่านหยี่
“แต่ครั้งนี้มึงโง่จริง ๆ ”
“ม่านอยู่ไหน” เขาไม่อยากฟังหากว่าคนตรงหน้าจะพล่ามอะไรที่มันไม่เป็เื่อีก วันนี้ที่เขามาเพื่อมาพาม่านหยี่กลับไปก็เท่านั้น
“หึ ๆ ๆ พวกมึงนี่ดูรักกันจริง ๆ นะ” นายหัวศิลายังคงพูดด้วยท่าทางสงบและเย้ยหยันคนหนุ่มรุ่นลูกเสียเต็มประดา
“มันตายแล้ว”
“...”
“ถ้ากูบอกอย่างนี้มึงจะเชื่อมั้ย”
คำว่าตายดึงเอาหัวใจรามสูรตกลงไปถึงพื้นหินเย็นเยียบ เนื้อตัวเขาชาวาบ รามสูรไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองเผลอกลั้นหายใจและปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงในประโยคนั้น
เขาลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อนายหัวศิลาถามคำถามกับเขาในประโยคถัดไป ถึงแม้ว่าในหัวใจจะรู้สึกเหมือนโดนหินหนักหลายตันถ่วงเอาไว้ก็ตาม
“ไม่...”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ”
“กูถามว่าม่านอยู่ไหน!!!”
“ดุเป็หมาเลยว่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ” ยิ่งรามสูรพยศเท่าไหร่เสมือนว่ายิ่งทำให้นายหัวศิลาพอใจมากเท่านั้น เสียงหัวเราะสะใจนั่นเป็ดั่งเครื่องยืนยันชัยชนะในครั้งนี้ เกมนี้ไม่เพียงแต่ม่านหยี่เท่านั้นที่พ่ายแพ้ รามสูรก็เช่นเดียวกัน
“มึงอยากรู้ใช่มั้ยว่ามันอยู่ไหน ได้...เดี๋ยวกูจะพามึงไปหามัน พวกมึงไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันหรอกนะ กูจะให้พวกมึงเจอกัน...เป็ครั้งสุดท้าย”
สิ้นประโยคนายหัวศิลาก็ให้สัญญาณลูกน้องให้ลากอดีตลูกเขยเดินขึ้นบันไดตามเขาไป จุดมุ่งหมายในครั้งนี้คือห้องของลูกชายสุดที่รักที่ซึ่งถูกล่ามโซ่เอาไว้หลายวันหลายคืนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
เสียงไขกุญแจก๊อกแก๊กดังขึ้นไม่นานหลังจากนั้นประตูไม้บานใหญ่ก็ถูกกระชากออก ม่านหยี่ที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่ปลายเตียงสะดุ้งเพราะความตื่นกลัวทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้คิดถึงการทุบตีอันโหดร้ายทารุณจากบิดา คนที่ถูกผลักเข้ามาในห้องกลับเป็คนที่เขาไม่คาดคิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้
“ราม!!!” ร่างของอดีตคนรักล้มฟุบลงที่ปลายเตียงห่างออกไปไม่กี่เมตร ม่านพยายามตะเกียกตะกายตรงเข้าไปหาคนรักทว่าโซ่ที่ล่ามเท้าทั้งสองข้างเอาไว้มันกลับถูกดึงกระชากกลับไปอย่างแรงจนเขาล้มคว่ำหงายหลังลงบนพื้น
“ม่าน!!!” รามสูรมองอดีตคนรักที่มีสภาพไม่ต่างไปจากเขา ไม่หรอก...ม่านมีสภาพย่ำแย่กว่าเขามาก ทั้งร่างกายที่ผอมโซและใบหน้าซูบตอบ เนื้อตัวมีรอยแผลและรอยฟกช้ำ ใบหน้าจากที่เคยสดใสตอนนี้หม่นหมองลง รอยช้ำเืช้ำหนองประดับแทนที่รอยยิ้มที่ม่านเคยมีให้เขา ั์ตาโศกจากที่เคยมองเขาด้วยความรักและเอ็นดูบัดนี้มีแต่ความทุกข์ระทมและเ็ป เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลย และที่เกลียดยิ่งกว่าคือคนที่ทำให้ม่านหยี่ของเขาตกอยู่ในสภาพนี้
“อึก ปล่อยเขาไป!!!” ร่างบางพยายามใช้มือเปลือยเปล่าของตนแกะโซ่เส้นใหญ่ออกจากข้อเท้า ความเ็ปจากาแที่โซ่เหล็กถูกล่ามเข้ากับข้อเท้ายังไม่เ็ปเท่าการเห็นสภาพรามสูรที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ เขารู้ว่าพ่อกำลังจะทำอะไรต่อจากนี้ พ่อจะทรมานเขาโดยการทรมานรามสูร ใช้รามเป็เครื่องมือทำร้ายเขาดังเช่นที่พ่อเคยทำกับแม่ และคนที่เ็ปเจียนตายมันก็จะเป็เขา ครั้งนี้บิดาจะชนะอีกแล้วหรือ...เขาเกลียดเหลือเกิน เขาจะทำอย่างไรดีให้รามสูรมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ เขาจะทำอย่างไรดี...
“กูไม่ปล่อย กูอยากจะรู้ว่าพวกมึงรักกันมากขนาดที่จะยอมตายแทนกันได้มั้ย”
“ปล่อยเขาไป!!!” ม่านหยี่กระวนกระวายจนถึงขั้นสติหลุดเมื่อเห็นคนตรงหน้าโดนซ้อม บิดาเตะเข้ายัง่กลางลำตัวของรามสูรจนทำให้อีกฝ่ายงอตัวเพราะความเ็ป นายหัวศิลาปล่อยหมัดหนัก ๆ ของตนใส่หน้าอดีตลูกเขย รอยแตกช้ำเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามความสะใจและซาดิส ยิ่งได้ยินเสียงม่านหยี่ขอร้องอ้อนวอนราวกับใจจะขาดมากเท่าไหร่เขายิ่งพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น ราวกับว่ามันจะตายแทนกันให้ได้
“มึงขอให้กูหยุด มึงตายแทนมันได้มั้ย!!!” บิดาปล่อยคอเสื้อของรามสูรแล้วยืดตัวยืนเต็มความสูง ถามคำถามนั้นกับเขา...
“ฮึก!...พอแล้ว ปล่อยเขาไป” เขาพยายามพุ่งตัวเข้าไปหารามแต่ก็พบว่าความพยายามเ่าั้มันช่างไร้ค่า ไร้ความหมายสิ้นดี โซ่เส้นใหญ่นี่มันล่ามเขาเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้แม้เพียงหนึ่งเิเก็ทำไม่ได้
“กูถามว่ามึงตายแทนมันได้มั้ย!!!” นายหัวศิลาหันปลายกระบอกปืนเข้าหาลูกชายพร้อมกับจ่อปลายปืนไปยังข้างขมับของม่านหยี่ ร่างบางสะดุ้งเฮือกด้วยเพราะแผลแตกที่บริเวณนี้มันพึ่งแห้งและตกสะเก็ดแต่บิดาก็หาได้แยแสกับความเจ็บนั้นไม่ ปลายปืนเย็นเยียบสะกิดเปิดปากแผลจนเืค่อย ๆ ไหลซึมออกมาอีกครั้ง
“ฮึก...” ม่านหยี่ไม่ตอบทำเพียงแค่พยักหน้าขึ้นลงเท่านั้น ดวงหน้าหวานซีดเผือด ริมฝีปากแห้งแตกขบกัดเข้าหากันแน่นจนผู้เป็เ้าของได้กลิ่นคาวเื
เขายอมตายเพื่อให้รามรอด ไม่สนใจแล้วว่าครั้งนี้พ่อจะชนะหรือแพ้ ชีวิตเขาไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับรามสูร ดังนั้นถ้าเขาตายไปสักคนคงไม่เป็ไร
“ม่าน อย่า...” เสียงแหบพร่าดังลอดออกมาจากคนที่นอนซมอยู่เบื้องหน้า ม่านหยี่หลับตาเพราะไม่อาจทนมองคนรักเจ็บได้
“ไม่เป็ไร มันจะไม่เป็ไร” เป็ประโยคปลอบโยนที่บอกกับตัวเองและบอกกับคนตรงหน้า เขาอยากบอกกับรามว่ามันจะผ่านไป ทุกอย่างกำลังจะผ่านไป และเขาจะไม่เป็ไร ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเขากำลังจะตาย แต่เื่ราวในวันนี้สุดท้ายมันก็จะจบลง โดยที่รามสูรยังคงมีชีวิตต่อไป
“ไม่ ม่าน...”
ครั้งนี้ม่านหยี่ไม่อาจทนต่อเสียงเรียกร้องของคนรักได้ หากเขากำลังจะตายก็ขอเห็นหน้ารามสูรก่อนตายแค่นั้นก็พอใจแล้ว...
“มันจะไม่เป็ไร ราม เชื่อม่านนะ...” น้ำตาสายหนึ่งไหลรินลงระใบหน้า เขายิ้มทั้งน้ำตา...
“รักกันมากนักนะพวกมึง”
“ปล่อยกู!!!” นายหัวรามสูรพยายามใช้แรกเฮือกสุดท้ายดิ้นรนเหมือนหมาจนตรอก เขาพยายามจะคลานไปหาคนรักที่นั่งอยู่ตรงหน้าจนทำให้ลูกน้องของนายหัวศิลาสามคนต้องใช้เข่ากดเขาลงกับพื้น
“ฮึก...” ม่านหยี่ส่ายหน้าไม่ให้รามทำอะไรก็ตามที่จะยิ่งทำให้ตัวเองาเ็ เขาอยากไปโดยแน่ใจที่ว่ารามจะมีชีวิตรอดและไม่เจ็บไปมากกว่านี้
“ม่าน...อย่า! โถ่เว้ย!!!”
“นาย!!!”
ปลายนิ้วชี้ของนายหัวศิลากำลังกดไกปืนเพียงแค่มิลลิเมตรเท่านั้นทุกอย่างก็จะจบลง ทว่าลูกน้องของเขากลับพรวดพราดเข้ามาขัดขวางสถานการณ์ตรงหน้าเสียก่อน
“อะไร!!!”
“นาย นาย...คือ นาย”
ปัง!!!
เสียงปืนดังลั่นขึ้นในทันที...
“โอ๊ย!!! นาย...”
“มึงพูดมาก่อนที่มึงจะไม่มีโอกาสได้พูด!!!” นายหัวศิลาหันปลายกระบอกปืนไปยังลูกน้องและยิงเข้าไปที่หน้าขาของมันโดยทันที ชายร่างเล็กคนนั้นล้มลงกับพื้นพร้อมกับกอดเข่าตัวเองเอาไว้และร้องโอดโอยด้วยความเ็ป เืสีแดงฉานทะลักออกมาจากหน้าขาราวกับน้ำหลาก
“นาย ตำรวจนาย! เฮ้ย! ไอ้เบิ้ม!!!” ลูกน้องอีกคนวิ่งะโหน้าตาตื่นมาสมทบและที่ทำให้มันใมากขึ้นไปอีกคือเพื่อนที่กำลังนอนจมกองเืพร้อมกับร้องโอดโอยอยู่บนพื้น
“ไอ้เบิ้มมันพูดไม่ได้แล้ว มึง...พูดมา” นายหัวศิลากระดกปืนเป็สัญญาณว่าหากมันไม่พูดคนต่อไปที่จะลงไปนอนที่พื้นคือมัน
“ตำรวจนาย ตำรวจกำลังมา”
“...”
“สายของเราบอกมาว่าสารวัตรเสกโดนย้ายไปแล้วเมื่อเช้านี่เองนาย!”
“แล้วใครมา มึงจะตื่นเต้นทำไม”
“นายตำรวจใหญ่เลยนาย มาจากกรุงเทพ ผมไม่รู้นาย!!!”
นายหัวศิลามองสีหน้าซีดเผือดของลูกน้องก่อนที่จะหันมามองสภาพของลูกชายและรามสูรที่นอนซมอยู่ที่พื้น เขาคิดพิจารณาอยู่สักครู่ก่อนที่จะเลือกตัดสินใจไปจัดการปัญหาที่ดูเหมือนจะเป็ปัญหาใหญ่กว่าในครั้งนี้
“มึงสามคนเฝ้ามันไว้ ส่วนมึงเอาเพื่อนมึงไปเก็บ ที่เหลือตามกูมา” จิ้งจอกเฒ่าจัดแจงหน้าที่ให้ลูกน้องแต่ละคน ก่อนที่จะผละออกไปจากห้อง
รามสูรรอให้พ้นเงาของนายหัวศิลาก่อนที่จะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายสะบัดให้ตัวของเขาหลุดออกจากการเกาะกุมของลูกน้องนายหัวศิลา ทั้งสามคนถูกสะบัดกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง ร่างแกร่งยืนขึ้นเต็มความสูงจากนั้นก็ปล่อยทั้งหมัดเท้าเข่าศอกตะลุมบอนกับลูกน้องทั้งสามคนของนายหัวศิลา ความเจ็บจากาแไม่ได้ทำให้ความหนักของหมัดของเขาลดลงเลยกลับกันการพยายามตะเกียกตะกายดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่และพาม่านหยี่ออกไปจากที่นี่ให้ได้มันทำให้เขามีแรงฮึดสู้ ่ขายาวเตะเสยคางใส่คนลูกน้องคนสุดท้ายจนทำให้มันล้มหงายหลังลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น เขาไม่รอช้าปลดเอาปืนออกจากพวกมันทั้งสามคนก่อนที่จะใช้ปืนสั้นนั้นยิงไปที่สายโซ่ที่ล่ามอยู่ที่ขาของม่านหยี่
“ม่าน...ปิดหูไว้นะ” ไม่ลืมที่จะเป็ห่วงม่านหยี่ถึงแม้ว่าตอนนี้สถานะเขากับอีกฝ่ายกลายเป็อดีตไปแล้วก็ตามที
ปัง!!!
เสียงปืนดังลั่นขึ้นอีกครั้งหากแต่ครั้งนี้เป็รามสูรที่ช่วยปลดพันธนาการม่านหยี่ให้หลุดพ้นจากขุมนรกบนดินแห่งนี้
“เดินไหวมั้ย”
“ไหว เราไหว...” ถึงแม้จะไม่ไหวอย่างไรเขาก็ต้องไหว นี่เป็โอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีอยู่ และถ้าหากเขาทำมันไม่สำเร็จไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ตาย รามอาจไม่รอดด้วยก็ได้
“ม่าน!!!” หากแต่ร่างกายของเขามันไม่ได้ให้ความร่วมมือกับผู้เป็เ้าของขนาดนั้น ม่านหยี่ทรุดลงไปจมอยู่กับกองเืลูกน้องของบิดาที่หน้าประตูห้องนอน ข้อเท้าทั้งสองข้างของเขาเ็ปและระบมเกินกว่าที่จะเดินไหว อีกทั้งร่างกายที่ไม่ได้ทานอาหารและพักผ่อนอย่างเพียงพอ การโดนทำร้ายโดยการทุบตี าแเ่าั้มันทำให้เขาเ็ปเกินกว่าจะเดินต่อไปข้างหน้าได้ไหว รามรุดเข้ามาพยุงม่านหยี่ขึ้นจากพื้นใบหน้าของม่านไร้สีเืจนมันทำให้เขาหวั่นใจ
“ราม...ไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวเรา”
“ไม่!!! ไปด้วยกัน”
“ราม...”
“อย่ามาอ่อนแอตอนนี้ ถ้าม่านไม่ไปเราจะไม่รอดด้วยกันทั้งคู่”
หากเป็แต่ก่อนรามสูรคนนี้คงไม่มีวันพูดแบบนี้กับม่านหยี่แน่ ๆ แต่นั่นแหละ...เพราะม่านทำตัวเองทั้งนั้น
สองคนค่อย ๆ พยุงกันเดินลงบันไดลงมาจากชั้นสอง เสียงเอะอะมะเทิ่งดังมาจากด้านนอกทำให้พวกเขาหวั่นใจ หากนายหัวศิลากลับมาตอนนี้พวกเขาแย่แน่
ปัง!!! ปัง!!! ปัง!!!
ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นทว่าครั้งนี้ไม่ใช่เพียงนัดเดียว ราวกับเป็สัญญาณการเปิดฉากเริ่มดวละุกันระหว่างฝ่ายนายหัวศิลาและด้านนอกนั่นก็ไม่รู้ว่าเป็ฝ่ายไหนอีกบ้าง
“รออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน” เขาออกคำสั่งให้ม่านหยี่หลบอยู่ที่กำแพงก่อนที่ตัวเขาเองจะค่อย ๆ แง้มประตูที่อยู่ข้าง ๆ กันนั้นเปิดออกเพื่อดูสถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอกนั่น ยิ่งประตูถูกเปิดให้กว้างเท่าไหร่เสียงปืนยิ่งดังชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
“เราออกทางประตูหน้าไม่ได้”
“มีประตูหลังอยู่ในครัว”
“ไปกัน ไหวมั้ย”
“อืม” ม่านหยี่กัดฟันพยักหน้าให้รามสูร จากนั้นทั้งคู่ก็ค่อย ๆ พยุงกันเดินไปยังห้องครัวที่ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะถึงห้องครัวม่านก็นึกถึงเื่สำคัญเื่หนึ่งขึ้นมาได้
“แม่!!!” นายหัวศิลาย้ายให้มารดาของเขาลงมานอนที่ชั้นหนึ่งั้แ่ตอนที่อาการของแม่หนักขึ้น และตอนนี้แม่ของเขาก็นอนป่วยอยู่ในห้องแม่บ้านที่ตั้งอยู่ติดกับห้องครัวนี่เอง
“ราม...แม่ แม่ของเรา” ม่านหยี่มีอาการเหมือนคนสติแตกอีกครั้งเมื่อคิดหาหนทางที่จะช่วยแม่ไม่ได้ หากเขายืนยันที่จะช่วยแม่เขาและแม่ก็จะเป็ตัวถ่วงให้ราม แต่ถ้าเขาไม่ช่วยแม่...ไม่ได้! เขาต้องช่วยแม่และให้รามไปเสียตอนนี้
“ราม ไปซะ ไปตอนนี้ เราไปกับรามไม่ได้!”
“หมายความว่ายังไง”
“แม่เรา แม่ของม่าน เราต้องช่วยแม่”
“แม่อยู่ไหน”
“ในห้องนั้น”
“...ถ้าอย่างนั้นก็ไปกัน”
“ไม่ได้...คือ” เขาไม่รู้จะอธิบายให้รามสูรเข้าใจอย่างไรว่าการช่วยมารดาไม่ต่างอะไรไปจากการช่วยคนตาย แม่ของเขาป่วยไม่ได้สติและนอนติดเตียงอีกทั้งยังต้องมีเครื่องช่วยหายใจและสายยางระโยงระยางอยู่เต็มตัวไปหมด อย่างนี้คงไปไหนไม่ได้ไกลแน่ อย่าว่าแต่เื่หนีเลยเอาแค่ว่าให้มารดาตื่นขึ้นมายังเป็ไปไม่ได้
“อะไรม่าน!!!”
“ราม..รามไปเลย ม่านไปกับรามไม่ได้”
“...”
“นะ...รามไปเถอะ ม่านไปด้วยไม่ได้จริง ๆ ”
เขาจะไม่ไปเป็ตัวถ่วงในชีวิตของรามสูรอีกแล้ว