หลิงเฟิงเยียนตัดสินใจกลับไปกราบทูลฮองเฮาว่า ต่อไปไม่ต้องกังวลพระทัยเกี่ยวกับองค์ชายแปดผู้หลงมัวเมากับการใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อผู้นี้อีก หางตาลอบกวาดมองเฟิงเจวี๋ยเสวียนที่อยู่ข้างกาย องค์ชายพระองค์นี้เป็คนอ่านยากที่สุด เป็คู่ต่อสู้ที่องค์ชายสามสมควรเฝ้าระวัง และฮองเฮาก็ทรงมอบหมายให้นางดึงฝ่ายตรงข้ามมาเป็พวก
ในหมู่พวกเขาสามสี่คน แม้ว่าเฟิงเจวี๋ยเสวียนยังมีข้อแคลงใจ อยากพูดคุยกับโม่เสวี่ยถงอีกสักหน่อย แต่กลับถูกเฟิงเจวี๋ยหร่านยืนกันท่า หลิงเฟิงเยียนแม้จะยังคงสีหน้าแย้มยิ้ม แต่ดวงตากลับแฝงไปด้วยความเ็า เพราะนึกดูแคลนสถานะของโม่เสวี่ยถง ส่วนโม่เสวี่ยถงนอกจากจะแสดงท่าทางออดอ้อนเฟิงเจวี๋ยหร่านเป็ครั้งคราว ก็มิได้เอ่ยวาจาอันใดอีก
ทั้งสี่ต่างเดินไปตามถนนใหญ่ ท้ายที่สุดก็มีเพียงเฟิงเจวี๋ยหร่านกับเฟิงเจวี๋ยเสวียนพูดคุยกันอยู่เพียงสองคน โชคดีที่พวกเขาใช้เวลาส่วนมากไปกับการเล่นทายปริศนา คำถามสุดท้ายมีอยู่ว่า เพื่อเพิ่มความรวดเร็วให้กับการเดินทัพต้องแยกกำลังออกเป็สองทาง ให้แต่ละคู่ทายชื่อถนน ผลสุดท้ายเฟิงเจวี๋ยหร่านกับโม่เสวี่ยถงก็เป็ฝ่ายพ่ายแพ้
“เสด็จพี่ใหญ่ ดูท่าคุณหนูรองสกุลหลิงจะเป็ยอดหญิงงามอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง ดูสิ ขนาด์ยังเข้าข้างนางเลย แม้ว่าจะต้องยอมรับความจริงข้อนี้ แต่หญิงที่งดงามที่สุดในหัวใจของเปิ่นหวางย่อมต้องเป็ยอดดวงใจผู้นี้”
แม้ว่าสีหน้าของเฟิงเจวี๋ยหร่านจะเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ แต่มือข้างที่กุมมือโม่เสวี่ยถงอยู่กลับเขี่ยกลางอุ้งมือของนางเล่น มิหนำซ้ำ แม้คำพูดจะฟังดูเหมือนยอมรับความจริงอยู่กลายๆ แต่ก็ยังวกวนแล้วพาออกนอกเส้นทางอีกตามเคย แต่ถึงจะเป็เช่นนั้น ด้วยหน้าตาหล่อเหลาอย่างร้ายกาจกับอาภรณ์สีม่วงที่ช่วยขับเสน่ห์เย้ายวนให้เพิ่มพูนอีกหลายเท่า ก็ยากที่จะไม่เป็จุดสนใจของผู้คน
สายตาของหลิงเฟิงเยียนชำเลืองมาที่เฟิงเจวี๋ยหร่าน ริมฝีปากผลิยิ้มอ่อนหวานโดยที่แม้แต่ตัวนางเองยังไม่รู้ตัว
หากแต่ความสนใจของโม่เสวี่ยถงมิได้อยู่ที่นี่ จู่ๆ นางก็มองไปยังมุมถนนด้านหน้า มีสตรีสวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนหน้าตาสะสวยท่วงท่าสง่างามอ่อนโยนยืนอยู่ที่นั่น
โม่เสวี่ยิ่? จะเป็นางไปได้อย่างไร
โม่เสวี่ยถงตะลึงงันรีบหันไปมองอีกครั้งให้ชัดเจน แต่ผู้คนที่สัญจรไปมาคับคั่งบดบังสายตาของนาง เมื่อกระแสชนระลอกหนึ่งผ่านไป ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว หรือตนเองจะตาฝาด? ยามนี้โม่เสวี่ยิ่ควรจะอยู่ในเรือนฝูฉิงมิใช่หรือ ภายในบ้านเกิดเื่แบบนั้น ฟางอี๋เหนียงกับนางล้วนตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ นางยังแอบออกมาจากจวนได้อีกหรือ โม่เสวี่ยถงไม่คิดว่านางจะมีอารมณ์สุนทรีย์ออกมาชมพลุไฟแน่
เมื่อไม่อาจตรองให้กระจ่าง หัวคิ้วจึงมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย
“น้องแปด ไปชมพลุไฟที่หอเซียงหม่านด้วยกันดีหรือไม่ พวกเราจองห้องไว้แล้ว จะได้ไปพร้อมกันเลย” เฟิงเจวี๋ยเสวียนกล่าวเชื้อเชิญอย่างใจกว้าง
พลุไฟในคืนส่งท้ายฤดูหนาวแม้ไม่อาจเทียบกับคืนวันฉูซี[1] ได้ แต่บรรยากาศกลับครึกครื้นเป็อย่างยิ่ง คืนวันฉูซีทุกคนต่างให้ความสำคัญกับการอยู่กับครอบครัว และรับประทานอาหารร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา ไหนเลยจะมีบรรยากาศคึกคักเช่นวันนี้ ที่สามารถเดินชมตลาดและยังได้ชมพลุไฟอีกด้วย ครอบครัวสกุลดีต่างนิยมเลือกสถานที่บรรยากาศงดงาม จองห้องพิเศษสำหรับชมทิวทัศน์และรับประทานอาหารไปพร้อมๆ กัน
“ช่างประจวบเหมาะนัก พวกเราก็จองห้องไว้ที่หอเซียงหม่านพอดี เช่นนั้นก็ถือโอกาสไปนั่งร่วมกันเสียเลย ข้ากับเสด็จพี่จะได้คุยกัน คุณหนูสองท่านก็จะได้คุยเื่สนุกตามประสาสตรี มีตรงไหนไม่ดีเล่า” เฟิงเจวี๋ยหร่านตาเป็ประกาย ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่แยแสสิ่งใด
ให้คุยตามประสาสตรีกับหญิงโคมเขียว? แม้ว่าหลิงเฟิงเยียนจะได้รับการอบรมมาดีเพียงใด ยามนี้ก็ไม่อาจฝืนยิ้มต่อไปได้อีก นางคือธิดาที่เกิดจากภรรยาเอกของติ้งกั๋วกง และยังเป็ถึงหลานสาวของฮองเฮา ไฉนต้องมาอยู่กับหญิงชั้นต่ำเช่นนี้ด้วย หากมีใครมาเห็นเข้าแล้วปล่อยข่าวลือออกไป นางจะมีหน้าไปพบผู้ใดได้อีก
“หากจะชมพลุไฟอย่างเร็วที่สุดก็ยังต้องรออีกหนึ่งชั่วยาม หากไปตอนนี้น่าจะเร็วไปหน่อย ท่านอ๋องฉู่ทรงเดินเล่นเป็เพื่อนหม่อมฉันก่อนได้หรือไม่ เมื่อครู่มัวสนใจแต่จะเล่นทายปริศนา ยังไม่ทันได้เดินเที่ยวสักเท่าไรเลย ท่านอ๋องทรงคิดเห็นเช่นไร”
สีหน้าของหลิงเฟิงเยียนขณะที่มองเฟิงเจวี๋ยเสวียนเต็มไปด้วยความหวัง แม้ว่าวาจาและน้ำเสียงจะอ่อนหวาน แต่กลับปรายหางตาไปที่โม่เสวี่ยถง แสดงท่าทางดูิ่เหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อถูกโฉมงามมองหน้าด้วยแววตาออดอ้อนเยี่ยงนี้ ก็ยากยิ่งนักที่บุรุษผู้หนึ่งจะปฏิเสธได้
“ไปเดินเที่ยวหรือ งั้นดีเลย พอดีว่าพวกเราก็คิดจะไปเดินชมตลาดอยู่เหมือนกัน คิดๆ ดูแล้วก็ยังเช้าไปจริงๆ เช่นนั้นพวกเราเดินเล่นเป็เพื่อนเสด็จพี่ใหญ่ด้วยก็แล้วกัน” เฟิงเจวี๋ยหร่านมองไปที่พวกเขาแล้วฉีกยิ้มกว้าง พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังผลักโม่เสวี่ยถงให้ไปอยู่ข้างหลิงเฟิงเยียน พลางกล่าวอีกว่า “ฝากคุณหนูหลิงช่วยดูแลสตรีของข้าด้วย เป็ผู้หญิงเหมือนกันคงมีเื่คุยสนุกสนานตามประสามากมาย”
ยังผลักหญิงแพศยาในหอโคมเขียวมาให้ผู้อื่นช่วยดูแลอีก ช่างทำเกินไปแล้ว!
หลิงเฟิงเยียนพยายามข่มโทสะสุดชีวิต ในเบื้องลึกแววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เบี่ยงกายหลบโม่เสวี่ยถง คิดหาเหตุผลปฏิเสธอีกครั้ง ปัญหาไม่ได้มีแค่เื่หญิงชั้นต่ำจากหอนางโลม ที่ฮองเฮาทรงวางแผนให้นางออกมาเดินเล่นกับฉู่อ๋อง มิใช่เพียงเพื่อให้ทั้งสองคนได้พบหน้ากันเท่านั้น แต่ยังยื่นคำขาดว่าต้องพยายามทุกวิถีทางให้ฉู่อ๋องมาขอพระราชทานสมรสนางด้วยตนเองให้ได้
แม้ฮองเฮาจะสามารถพระราชทานสมรสด้วยพระองค์เอง แต่หากเกิดจากความประสงค์ของฉู่อ๋องย่อมให้ผลแตกต่างกัน มิใช่เื่ง่ายที่จะได้เห็นสายตาตื่นตะลึงของฉู่อ๋อง ยามนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบุกตะลุยจนกว่าจะได้ชัยชนะ หากมีเฟิงเจวี๋ยหร่านกับหญิงนางโลมคนหนึ่งเพิ่มเข้ามาจะพาให้เสียเื่
พอหลิงเฟิงเยียนเบี่ยงตัวหลบ โม่เสวี่ยถงจึงเสียหลักพุ่งเข้าชนเฟิงเจวี๋ยเสวียนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ยังดีที่เฟิงเจวี๋ยหร่านมีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว ใช้มือหนึ่งรั้งตัวนางกลับมาอยู่ข้างกายอีกครั้งแล้วถามอย่างร้อนใจ “เป็อย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่” แล้วดึงมือนางขึ้นมาจับ อีกมือโอบรอบเอวของนางไว้ แสดงสีหน้าปวดใจอย่างที่สุด
ตนเองเป็คนผลักนางออกไปแท้ๆ รู้อยู่แก่ใจว่าหลิงเฟิงเยียนต้องหลบ ก็ยังอุตส่าห์ทำแบบนี้อีก โม่เสวี่ยถงลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เงียบๆ ฉวยโอกาส่ที่ชายหนุ่มเอื้อมมือเข้ามาแอบหยิกเอวเขาอย่างแรงไปทีหนึ่ง ถึงอย่างไรตอนนี้ก็กำลังแสดงละครอยู่ ต้องไม่ร้องเจ็บออกมาแน่
เฟิงเจวี๋ยหร่านย่อมไม่ร้องโอดครวญ แต่กลับออกแรงกอดโม่เสวี่ยถงให้แน่นกว่าเดิม แล้วแสดงท่าทางเหมือนรักมาก ห่วงมาก ทั้งยังพูดใส่หลิงเฟิงเยียนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“คุณหนูรองสกุลหลิงมีธุระกับเสด็จพี่ใหญ่ก็พูดมาตามตรงเถิด ไยต้องแสดงท่าทางไม่เต็มใจเช่นนี้ด้วย หญิงงามตัวน้อยของเปิ่นหวางบอบบางยิ่ง หากได้รับาเ็เปิ่นหวางคงปวดใจยิ่งนัก ช่างเถิดๆ เสด็จพี่ ดูท่าทางสตรีในดวงใจของท่านจะอยากฉลองคืนส่งท้ายฤดูหนาวกับท่านเป็การส่วนตัวมากกว่า น้องชายไม่รบกวนแล้ว คุณหนูหลิงจะได้ไม่ต้องเสียเื่ เห็นพวกเราแล้วยิ่งรู้สึกขวางหูขวางตา”
คำพูดร้ายกาจเยี่ยงนี้ทำให้หลิงเฟิงเยียนหน้าร้อนผ่าว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ผ้าเช็ดหน้าที่ถืออยู่ใต้แขนเสื้อถูกบิดเป็ก้อนกลม
อับอายจนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
คำกล่าวหาว่านัดหมายพบปะกับบุรุษเป็การส่วนตัวแบบนี้ ทำให้ชื่อเสียงของนางต้องด่างพร้อย แต่นี่ก็เป็เป้าหมายของนางอย่างแท้จริง ดังนั้นแม้คิดจะเถียงก็เถียงไม่ออก
แววตาของเฟิงเจวี๋ยเสวียนที่มองหลิงเฟิงเยียนอย่างลึกซึ้งพลันรั้งกลับไปที่เฟิงเจวี๋ยหร่าน แล้วทำวางมาดสุขุมพูดจาไกล่เกลี่ย “น้องแปดกล่าวอะไรเช่นนั้น คุณหนูหลิงเพียงเห็นว่ากลับไปกินอาหารยามนี้ยังเร็วเกินไป มิได้คิดจะสลัดพวกเ้าทิ้งเสียหน่อย พวกเราก็เดินไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ ทางโน้นบรรยากาศไม่เลว”
สถานที่ที่เฟิงเจวี๋ยเสวียนชี้ไปคือถนนหลักสายหนึ่งที่เจริญที่สุดของเมืองหลวง ทั้งอยู่ติดกับแม่น้ำที่อยู่ใจกลางเมือง เป็ที่ตั้งของร้านค้าจำนวนมาก ย่อมเหมาะแก่การเดินเที่ยวชมอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นเฟิงเจวี๋ยเสวียนช่วยอธิบายแก้ต่างให้ หลิงเฟิงเยียนก็ลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ฮองเฮาทรงกำชับว่าห้ามทำให้เฟิงเจวี๋ยเสวียนเกิดความแคลงใจได้ เมื่อครู่ถูกเฟิงเจวี๋ยหร่านพูดจี้ใจดำ นางตื่นตระหนกจนเหงื่อซึมไปทั้งตัว ครานี้เมื่อเห็นเฟิงเจวี๋ยเสวียนไม่มีสิ่งใดผิดปรกติจึงค่อยรู้สึกเบาใจ แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่กล้าเข้าใกล้เฟิงเจวี๋ยหร่านอีกแล้ว เ้านายพระองค์นี้ช่างเกกมะเหรกเอาแต่ใจยิ่ง อะไรควรพูดไม่ควรพูดล้วนไม่นำพาทั้งสิ้น
หากมีคนแบบนี้อยู่ด้วย หัวใจคงต้องแขวนอยู่บนความหวาดระแวงตลอดเวลา แม้ว่าหลิงเฟิงเยียนจะได้รับการอบรมมาดีเพียงใด ก็กลัวว่าสุดท้ายจะต้านทานต่อความไร้เหตุผลของเขาไม่ไหว ยามนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ได้แต่ก้มหน้าบิดผ้าเช็ดหน้าแสร้งทำเป็ละอายใจ แต่ภายในกำลังวางแผนรับมือ คืนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้เซวียนอ๋องตามไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด
“ไม่ล่ะ ข้ากับสตรีของข้าจะไปทางโน้น คงไม่ตามพวกท่านไปแล้วล่ะ อีกประเดี๋ยวก็ต้องไปหอเซียงหม่านอยู่ดี หากเสด็จพี่ทรงมีใจถึงเวลาค่อยไปพบกันที่นั่นก็ได้ ตอนนี้พวกเราไม่อยู่เป็ก้างขวางคอพวกท่านแล้ว เดี๋ยวหญิงงามของข้าจะได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจอีก”
เฟิงเจวี๋ยหร่านชักสีหน้าชำเลืองมองหลิงเฟิงเยียนด้วยความไม่พอใจ กล่าวจบก็ไม่รอให้เฟิงเจวี๋ยเสวียนเอ่ยคำใดอีก ประสานมืออำลา “เสด็จพี่ คืนนี้มีนัดกับหญิงงามก็ต้องเที่ยวให้สนุก พรุ่งนี้น้องชายจะล้างหูรอฟังข่าวดีของท่าน”
ข่าวดี? ข่าวดีอะไร? วันนี้หากตนเองกับหลิงเฟิงเยียนซึ่งต่างก็ไร้พันธะด้วยกันทั้งคู่เกิดเหตุอันใดขึ้น แม้ตนเองไม่้าขอสมรสพระราชทานก็คงไม่ได้แล้ว คุณหนูที่มาจากตระกูลของฮองเฮาไม่อาจล่วงเกินได้แม้แต่น้อย เฟิงเจวี๋ยเสวียนทอดมองหลิงเฟิงเยียนที่ก้มหน้าเขินอายจนหน้าแดงก่ำด้วยสายตาลุ่มลึก
ท่วงท่าสะโอดสะอง รูปโฉมงามพิลาสยากจะหาไหนเทียบเทียม ฮองเฮาช่างทุ่มทุนยิ่งนัก ได้ยินมาว่า่หนึ่งก่อนหน้านี้ยังนำภาพวาดของหลิงเฟิงเยียนส่งไปให้น้องแปดถึงจวน แต่ถูกน้องแปดโยนทิ้ง แล้วยังมีเจตนามาเผยโฉมให้ตนเองได้เห็น
ได้ชื่อว่าเป็หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงก็งดงามจริงดังว่า แต่ที่ซ่อนตัวอยู่แต่ในเหย้าเรือนไม่ให้ใครพบเห็นคงเพื่อวันนี้กระมัง
น่าเสียดาย เขามีหญิงงามที่ตนเองพึงใจอยู่แล้ว เมื่อคิดถึงดวงหน้าเล็กจ้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของนางแล้ว ใบหน้าของเฟิงเจวี๋ยเสวียนก็ผลิยิ้มอ่อนโยนขึ้น สตรีแบบนั้นถึงควรคู่กับคำยกย่องว่าเป็หญิงงามอันดับหนึ่ง แม้ว่าอายุยังน้อย แต่อีกไม่กี่ปีจะต้องมีรูปโฉมงดงามปานล่มเมืองจนไม่มีหญิงใดเทียมได้แน่นอน อีกทั้งความสดใสเฉลียวฉลาดที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้างดงามอ่อนหวาน ช่างทำให้หัวใจเขาเต้นแรงยิ่ง
เทียบกันแล้วดีกว่าหญิงสาวร้อยมารยาที่แสร้งทำเป็เขินอายผู้นี้เป็พันเป็หมื่นเท่า แต่ก็ช่างเถิด เมื่อส่งมาให้ถึงประตูก็เล่นด้วยสักหน่อยจะเป็ไรไป
หลิงเฟิงเยียนก้มหน้าอยู่นานก็ไม่ได้ยินว่าเฟิงเจี๋ยเสวียนจะกล่าวอันใด แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบว่าเขากำลังจ้องตนเองอยู่ด้วยแววตาอ่อนโยนยิ่ง จึงก้มศีรษะลงอีกครั้งอย่างเอียงอาย พวงแก้มแดงซ่านร้องออกมาหนึ่งคำ “ท่านอ๋อง...”
“อยากไปเดินเล่นอีกหรือไม่ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เมื่อครู่จำได้ว่าพวกเราเดินผ่านร้านหนึ่ง ที่นั่นมีโคมกระดาษงดงามมาก เปิ่นหวางพาไปดูเป็อย่างไร เผื่อว่าจะมีที่เ้าชอบ” เฟิงเจวี๋ยเสวียนรั้งสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์รักใคร่กลับมา ยิ้มแล้วเอ่ยถามพลางชี้ไปทางที่เพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แล้วแต่ท่านอ๋องจะเมตตาเพคะ” หลิงเฟิงเยียนตอบอย่างนุ่มนวล
ทั้งสองต่างดูเหมือนชายหญิงที่มีใจให้กัน ทุกอย่างดูราบรื่นลงตัว คนที่สะกดรอยตามมาพยักหน้าอยู่เงียบๆ เห็นฉู่อ๋องมีท่าทางเยี่ยงนี้คงจะเข้าตามแผนเรียบร้อย
อีกด้านหนึ่ง โม่เสวี่ยถงหน้ามุ่ยค้อนควักใส่เฟิงเจวี๋ยหร่าน เบ้ปากแล้วเอ่ยถาม “ท่านจงใจใช่หรือไม่”
“จะจงใจได้อย่างไรกัน หลิงเฟิงเยียนมีใจหมายต่อเสด็จพี่ใหญ่ของเปิ่นหวางชัดๆ ไม่แน่ว่าคืนนี้ข้าวสารอาจกลายเป็ข้าวสุกก็ได้ หากเปิ่นหวางกับเ้าอยู่ด้วยก็จะทำให้คนเขาเสียแผนหมดสิ วิญญูชนย่อมช่วยเหลือให้ผู้อื่นสมปรารถนา เปิ่นหวางเป็คนดีมาั้แ่ไหนแต่ไร แล้วจะทำเื่ชวนให้เสียบรรยากาศได้อย่างไรเล่า”
เฟิงเจวี๋ยหร่านโบกมือปฏิเสธเป็พัลวัน โต้ตอบอย่างฉาดฉาดมีเหตุผล หากดูจากบุคลิกท่าทางของเขาแล้ว คงไม่มีใครไม่เชื่อว่าเขาเป็วิญญูชน แต่หากพิจารณาจากสิ่งที่เขากล่าวออกไปเมื่อครู่ ช่างหาความเป็วิญญูชนไม่เจอเลยแม้แต่น้อย
เขาเป็คนแบบไหนกันนี่ วาจาแบบนี้ยังกล้าพูดออกมาได้ไม่อายปาก โม่เสวี่ยถงยังรู้สึกอายแทนจนหน้าแดงก่ำ ถลึงตาใส่เขาอย่างแรงด้วยความโมโห ขบริมฝีปากอย่างเข่นเขี้ยว ตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเขาแล้ว
“จริงๆ นะ คุณหนูรองสกุลหลิงนั่นมิใช่ธรรมดาหรอก นักฆ่ามือพระกาฬของฮองเฮาเลยเชียว เสด็จพี่สามของข้าจะรู้หรือไม่หนอ ว่าสตรีที่ตนเองพึงใจมีหวังต้องออกเรือนไปกับผู้อื่นแล้ว” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มร้าย เขาจับมือของโม่เสวี่ยถงขึ้นมาขณะที่กำลังคิดจะพูดแก้ตัวให้ตนเองอีกสักสองประโยค พลันเห็นจ้ำเขียวเท่านิ้วโป้ง ทิ้งรอยอยู่บนหลังมือขาวกระจ่างปานหิมะของนาง ดูน่าสงสารยิ่งนัก
เฟิงเจวี๋ยหร่านดึงมือนางขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด สีหน้าขรึมลงทันตา แล้วเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”
…………………………………………………………………………………………………….…....
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ฉูซี หรือ คืนก่อนถึงวันตรุษจีน
ส่วนคืนวันส่งท้ายฤดูที่กล่าวถึงในเนื้อหาหมายถึงคืนเทศกาลตงจื้อ จะตรงกับ่วันที่ 22 ธันวาคม เป็เทศกาลใหญ่เทียบเท่ากับวันตรุษจีน ผู้คนทางเหนือจะนิยมกินเกี๊ยว ทางใต้จะนิยมกินขนมบัวลอย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้