“ผู้าุโ ท่านพอจะมีทางช่วยข้าหรือไม่?”
‘…’
“ผู้าุโ?”
‘…’ ยังคงไม่ตอบ
ผู้าุโิคงไม่ได้หมายความว่าให้นางขุดพืชิญญาทั้งหมดขึ้นมาด้วยตนเองใช่ไหม? ดูจากพืชิญญาสองต้นก่อนหน้านางยังใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วยาม !! หากต้องใช้มือขุดพืชิญญาทั้งหมดออกมา มิใช่ว่าต้องใช้เวลาเป็เดือนเลยหรือ? นางมีเวลาว่างขนาดนั้นที่ไหนกัน
ผู้าุโิคงไม่ใจร้ายกับนางมากเกินใช่ไหม?
‘บ่นข้าพอหรือยัง?’
รู้ได้ยังไงว่านางกำลังบ่นให้ จะเฉียบแหลมเกินไปแล้ว !!
ถึงในใจเยว่ฉีจะบ่นไปร้อยแปดพันเก้า ทว่ายามเอ่ยออกมากับมีนัยประจบอยู่หลายส่วน “ผู้าุโข้าหาได้คิดเช่นนั้น ท่านอย่าเข้าใจข้าผิด”
ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยประจบประแจงของเยว่ฉีทำผู้าุโ ิหมั่นไส้ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยืมร่างหญิงสาวเป็สื่อกลางอีกครั้ง
มือเรียวสวยยกขึ้นตรงหน้า เป็จังหวะเดียวกับที่พืชิญญาทั้งหมดบนพื้นที่กว่าหนึ่งหมู่มีประกายแสงสีทองห้อมล้อมเอาไว้ทั้งต้น
ผู้าุโิใช้พลังจิตของตนในการโอบอุ้มและขุดพืชิญญาทั้งหมดออกมาในครั้งเดียว พืชิญญาที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังจิตปรากฏขึ้นบนอากาศไม่มีส่วนใดเสียหาย กระทั่งดินซึ่งติดอยู่ตามรากยังมีเพียงเล็กน้อย
เยว่ฉีกะพริบตามองปริบ ๆ อ้าปากค้าง อดบ่นในใจไม่ได้ว่า
ท่านมีพลังมากมายถึงเพียงนี้แล้วเหตุใดถึงปล่อยให้ข้าใช้เวลาขุดเสียนาน !!
พืชิญญานับร้อย ๆ ต้นถูกดึงเข้าสู่มิติ ก่อนจะปลูกลงบนดินในเวลาต่อมา
“ผู้าุโข้าจะมีโอกาสทำเช่นเดียวกับท่านได้หรือไม่” น้ำเสียงตื่นเต้นระคนคาดหวังของหญิงสาวทำผู้าุโประหลาดใจ คนที่จะมีความสามารถด้านพลังจิตต้องเป็นักหลอมโอสถเท่านั้นซึ่งล้วนหายาก ไม่รู้ว่านางจะมีโชควาสนาหรือไม่
ทว่าเขาก็ไม่คิดจะพูดให้เสียกำลังใจ เพียงเอ่ยว่า
‘ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของเ้า สิ่งนี้ล้วนแล้วแต่์ลิขิต’
แม้จะได้ยินคำพูดเช่นนั้นเยว่ฉีก็หาได้หมดกำลังใจ
นางโชคดีได้มาเกิดใหม่ยังโลกเหนือจินตนาการเช่นนี้ ยังไม่เรียกว่าโชควาสนาแล้วจะเรียกว่าอะไรได้ แต่ถึงจะมีหรือไม่มีพลังจิตก็ไม่เป็อันใดในเมื่อนางมีสามีที่สักวันจะแข็งแกร่งขึ้นอยู่ทั้งคน
เกาะขาทองคำดีที่สุด เคยได้ยินหรือไม่? แถมนางยังยึดถือคำพูดนี้เป็จริงเป็จังเสียด้วย
“ถึงข้าจะไม่มีพลังก็ไม่เป็อันใด เพราะข้ามีสามีเปี่ยมด้วยพร์” ท่าทางมั่นใจของนางทำผู้าุโที่ถึงแม้จะไม่มีกายเนื้อคิ้วกระตุก ส่ายหัวอ่อนใจ
‘ออกไปได้แล้ว หมดธุระกับที่นี่แล้ว’ เยว่ฉีพยักหน้าเดินกลับออกมา
เช่นเดียวกับตอนเดินเข้าไป นางต้องปล่อยให้ผู้าุโใช้ตนเป็สื่อเพื่อเปิดทางออก พอขาก้าวออกมาเจอกับแสงแดด ลมเย็น ๆ พัดผ่านใบหน้า เยว่ฉีพลันรู้สึกมีชีวิตชีวา ยอมรับการมาอยู่ในโลกนี้เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
“เยว่ฉี เ้าอยู่ที่ใด”
“เยว่ฉี!!” เสียงเรียกร้อนรนระคนเป็คนห่วงของผู้ใหญ่ทั้งสองทำให้เยว่ฉีรับรู้ว่านางหายไปนานเสียแล้ว จึงรีบเอ่ยตอบรับและเดินไปหา
“พี่หลัว พี่เฟิง ข้าอยู่นี่” เสียงสดใสของเด็กสาวเสมือนกุญแจคลายความกังวล ทั้งสองคนหันมายังทิศทางเดียวกัน หลัวหรูเป็ฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“น้องเยว่เ้าไปที่ใดมา ข้าพี่เฟิงร้องเรียกเสียนาน”
“ทำให้พวกท่านเป็ห่วงแล้ว ข้าบังเอิญพบพืชิญญาสองต้นเข้า จึงใช้สมาธิในการขุดขึ้นมาเสียนาน ไม่ทันได้ยินเสียงเรียกของพวกท่าน” เยว่ฉีจงใจไม่บอกเื่ถ้ำวิเศษที่พบเจอ ถึงแม้ทั้งสองคนจะหวังดีกับนาง ทว่าบางเื่ยังคงไม่สามารถบอกกล่าวออกไปได้
“ไม่เป็อันใดก็ดีแล้ว เ้าพบพืชิญญาชนิดใดมาหรือ?”
“ข้าไม่มั่นใจมากนัก แต่จากลักษณะแล้วมีความเป็ไปได้ว่าจะเป็ดอกแต้มสีชาดคู่ถึงแปดส่วน” เยว่ฉีพูดพร้อมวางตะกร้าลงบนพื้นตรงหน้า
สองสามีภรรยาเบิกตากว้างมองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองพืชิญญาในตะกร้าแบกหลัง
หลัวหรูพิจารณาอยู่ไม่นานก็กล่าวยืนยันออกมา
“เป็ดอกแต้มสีชาดคู่จริง ยังมีถึงสองต้น น้องเยว่เ้าพบโชควาสนาแล้ว!!” น้ำเสียงดีใจไร้ความอิจฉาริษยา ทั้งใบหน้ายิ้มแย้มยินดีไปพร้อมกับนางของคนทั้งสองทำเยว่ฉีอดรู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมาไม่ได้ หลัวหรู และเฟิงซิ่ว แม้จะรู้จักกันไม่นานทว่าทั้งสองกับหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้อยู่หลายครั้ง ทั้งยังปฏิบัติต่อนางเช่นน้องสาว การกระทำเช่นนี้ทำเยว่ฉีอดนึกไปไม่ได้ว่า หากนางมีพี่สาวพี่ชายคงให้ความรู้สึกไม่ต่างจากตอนนี้
“พี่หลัวข้าอ่านเจอมาว่า ดอกแต้มสีชาดคู่เป็พืชิญญาระดับสาม หาใช่พืชิญญาระดับสูงแล้วเหตุใดพี่ถึงได้บอกว่าข้าพบโชควาสนา”
“แม้จะไม่ใช่พืชิญญาระดับสูง ทว่าก็สูงกว่าพืชิญญาระดับหนึ่งและสอง ดอกแต้มสีชาดคู่ที่เป็พืชิญญาระดับสามมีความพิเศษอยู่อย่างหนี่ง คือเป็หนึ่งในพืชิญญาที่ใช้ในการหลอมโอสถทะลวงระดับ ผู้ฝึกปราณที่ติดอยู่ขั้นสองไม่อาจขึ้นไปขั้นสามได้มักใช้โอสถทะลวงระดับเข้าช่วย ตอนนี้เ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าจะสื่อหรือไม่?”
เยว่ฉีพยักหน้าเข้าใจ ต้องบอกให้ทราบเอาไว้ก่อนว่าผู้ฝึกปราณแต่ละคนใช่ว่าใช้ความพยายามเพียงอย่างเดียวแล้วจะสามารถฝึกฝนจนเก่งกาจกันทุกคน นอกจากคนที่มีทรัพย์สมบัติมหาศาลแล้วต้องเป็คนที่มีพร์ในระดับไม่แย่ เพราะทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกปราณนั้นราคาไม่ถูก อีกทั้งในดินแดนเฟยฮ่าวฐานะของผู้ฝึกปราณระดับสามไม่ถือว่าแย่ เรียกได้ว่าดีกว่าผู้ฝึกปราณระดับหนึ่งและสองซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป อีกทั้งผู้ฝึกปราณระดับสามยังมีจำนวนน้อยกว่าสองระดับแรกถึงห้าส่วน และหากผ่านระดับสามขึ้นไประดับสี่ก็เรียกได้ว่าเก่งกาจมีหน้ามีตา ส่วนระดับห้าขึ้นไปหากไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ก็มักจะถูกครอบครัวมีฐานะซื้อตัวไปในราคาสูง หรือไม่ก็ตั้งกลุ่มเป็ของตนเอง
ทว่าถึงแม้ระดับสามจะพูดออกไปได้ว่าไม่แย่ แต่เมื่อเทียบกับตระกูลใหญ่แล้วผู้ฝึกปราณที่ไม่สามารถก้าวข้ามขั้นสามขึ้นไปได้ไม่มีค่าให้พวกเขาชายตามอง
ดินแดนเฟยฮ่าว มีผู้ฝึกปราณที่เก่งกาจที่สุดอยู่ที่ฝึกปราณขั้นเก้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่้าพัฒนาตนเองให้เก่งกาจไปมากกว่านี้ ทว่าด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดทำให้ความเร็วในการฝึกปราณช้าลง
ยิ่งระดับสูงความ้าในทรัพยากรจะยิ่งมากขึ้นและยังหมายถึงเงินที่ต้องใช้จ่ายออกไป
หาก้าไปให้สูงกว่าต้องเดินทางไปยังดินแดนที่สูงกว่า ทว่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ความสามารถของคนคนนั้น
ที่เยว่ฉีไม่ทราบเพราะในหนังสือที่ผู้าุโให้มามีเพียงภาพและคำอธิบายลักษณะ รวมไปถึงระดับของพืชิญญา ไม่ได้กล่าวถึงการนำไปใช้
สองสามีภรรยามึนงงอยู่บ้างว่าเหตุใดเยว่ฉีถึงได้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพืชิญญามากถึงเพียงนี้ แต่ไม่นานก็สลัดความคิดนั้นไป โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นักบางทีคนบางคนก็ใช่จะต้องรู้ไปเสียทุกเื่
“พี่หลัวพืชิญญาต้นนี้ขายได้เท่าใด”
“ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สองตำลึงสูงสุดที่สี่ตำลึงขึ้นอยู่กับคุณภาพว่าสูงหรือต่ำ”
สี่ตำลึง !!!นางสามารถหาเงินได้ถึงสี่ตำลึงในเวลาเพียงสองเค่อ
ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“พี่หลัวพวกท่านหาพืชิญญาได้หรือไม่” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้า
“โชคร้ายที่ข้ากับพี่เฟิงไม่พบพืชิญญา”
“เช่นนั้นข้าให้พวกท่านต้นหนึ่ง” ไม่ว่าเปล่าเยว่ฉีรีบประคองพืชิญญาขึ้นมายื่นให้หลัวหรู
“จะได้อย่างไร!!พืชิญญาเป็เ้าหามาได้จะเอามาให้ข้าง่าย ๆ ได้เช่นไร” ต้องบอกก่อนว่าเงินสองตำลึงสำหรับครอบครัวชนบทถือว่าเป็เงินไม่น้อย เพียงพอให้พวกเขาใช้จ่ายได้นานสองเดือน แต่เมื่อเทียบกับผู้ฝึกปราณเ่าั้ เงินสองตำลึงเพียงพอให้ซื้อโอสถระดับหนึ่งเพียงเม็ดเดียว
ส่วนโอสถระดับสามไม่ต้องพูดถึงแค่ราคาเริ่มต้นก็อยู่ที่สี่ตำลึงไปจนถึงสิบตำลึงต่อโอสถหนึ่งเม็ด
“พี่หลัวท่านรับไปเถิด ถือว่าเป็น้ำใจของข้า พวกท่านอุตส่าห์เข้ามาทักทายทั้งยังช่วยเหลือสอนสั่งข้าหลายเื่ ให้ข้าได้ตอบแทนบ้าง” หลัวหรูมีสีหน้าลำบากใจ หันไปมองสามีก็เห็นว่าเขาก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน
ทั้งหลัวหรูและเฟิงซิ่วหาใช่คนชอบฉวยโอกาส ทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่ในหลักการที่ว่า พวกท่านไม่ข่มเหงข้า ข้าไม่ข่มเหงพวกท่าน และจะไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
“หากพวกท่านไม่รับเช่นนั้นข้าจะโยนทิ้ง” คำขู่ของเด็กสาวหาได้ทำให้ทั้งสองไม่พอใจ กลับกันคำขู่ไม่จริงเช่นนี้กลับสามารถเรียกความเอ็นดูได้อีกหลายส่วน
หลังโต้เถียงกันไปมาหลายประโยคหลัวหรูก็ต้องยอมอ่อนข้อให้กับความดื้อรั้นของเยว่ฉี ยอมรับมาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งยังบอกกล่าวว่า คราวหลังหากครอบครัวนางมอบสิ่งใดให้เยว่ฉีก็ห้ามปฏิเสธ
เพื่อความสนิทสนมเพิ่มมากขึ้นเยว่ฉีจึงตอบตกลง หากทั้งสองคนทำดีกับนาง นางก็จะทำดีต่อทั้งคู่เช่นเดียวกัน
ถือว่าช่วยเหลือกันและกัน
เมื่อเวลาล่วงเลยไปนานจนถึงยามอู่ (11.00 – 13.00 น.) ทั้งสามคนก็หารือกันและตกลงว่าจะลงจากเขา ผลประกอบการวันนี้เรียกได้ว่าดีไม่น้อย ปกติแล้วครอบครัวเฟิงมักจะพบเพียงพืชิญญาระดับหนึ่งที่ขายได้ราคาไม่ถึงหนึ่งตำลึงเพราะคุณภาพต่ำ น้อยครั้งจะพบพืชิญญาระดับสอง ส่วนระดับสามไม่ต้องพูดถึง ทั้งคู่ไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นหน้าคร่าตา ทว่าวันนี้หญิงสาวผู้ไม่เคยขึ้นเขามาก่อนกลับโชคดีพบเจอพืชิญญาระดับสาม
หากไม่บอกว่าดีแล้วจะเรียกว่าอะไร
ทั้งสามคนยังคงพูดคุยกันสนุกสนาน ระหว่างเดินลงจากเขาหลัวหรูตัดสินใจเล่าถึงอันตรายบนูเาให้เยว่ฉีฟัง เพราะพอจะรู้แล้วว่าความรู้เกี่ยวกับอันตรายบนูเาของเด็กสาวมีน้อยมาก
หลังเยว่ฉีได้ฟังสิ่งที่หลัวหรูกล่าวก็อดรู้สึกสั่นสะท้านไม่ได้ โชคดีที่นางไม่พบเจออันตรายใด ๆ
บางทีที่นางเดินลึกเข้าไปในป่าแล้วยังไม่พบเจออันตราย ผู้าุโิอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเื่นี้หรือไม่ก็เป็เพราะความโชคดีของนางเอง
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดเยว่ฉีก็โล่งใจที่ไม่พบเจอ
ในระหว่างที่ทั้งสามคนพูดคุยกันอยู่นั้น เยว่ฉีพลันสะดุดอะไรบางอย่างหน้าทิ่ม ยังดีที่เฟิงซิ่วซึ่งเป็ผู้ฝึกปราณขั้นสองยื่นมือออกมาช่วยเอาไว้ได้ทัน ทำให้หน้าหญิงสาวไม่ต้องล้มลงไปแนบกับพื้น
“ขอบคุณพี่เฟิงมาก” เฟิงซิ่วพยักหน้าปล่อยมือนางทันที ส่วนหลัวหรูที่ยืนอยู่ข้างกันรีบเอ่ยถามไถ่ด้วยความเป็ห่วง
“น้องเยว่เป็อันใดมากหรือไม่ าเ็ที่ใดบ้าง”
เยว่ฉีพูดกลั้วหัวเราะ “พี่หลัวข้าไม่เป็อะไร ต้องขอบคุณพี่เฟิงมิเช่นนั้นหน้าข้าคงลงไปจูบกับพื้นแล้ว”
เสียงพูดกลั้วหัวเราะช่วยคลายความเป็ห่วงของนาง
“ไม่เป็อันใดก็ดีแล้วคราวหลังก็เดินให้ระวัง”
“ขอบคุณพี่หลัวที่เป็ห่วง” เยว่ฉีกล่าวขอบคุณก่อนจะก้มลงไปหยิบก้อนหินขึ้นมาถือ ตอนที่ขาััก้อนหินนางคล้ายััได้ถึงอะไรบางอย่าง เป็อาการคล้ายกับถูกบางสิ่งดึงดูดให้เข้าใกล้ อดไม่ได้จนต้องหยิบขึ้นมาััดูอีกครั้ง
จังหวะที่ก้อนหินเข้าสู่อ้อมกอด ประกายอบอุ่นพลันกระจายไปทั่วทั้งร่าง เยว่ฉีก้มหน้ามองขมวดคิ้วสงสัย ก่อนจะถือหินก้อนนี้กลับบ้านไปพร้อมกัน
หลัวหรูและเฟิงซิ่วสงสัยในการกระทำ เยว่ฉีที่สังเกตเห็นจึงกล่าวอธิบาย
“พี่หลัว พี่เฟิง ข้าจะนำหินก้อนนี้ไปประดับบ้าน ในเมื่อพบเจอกันแล้วก็ถือว่าเป็โชควาสนา” คำพูดยิ้ม ๆ ของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนทั้งสอง
แม้จะทำตัวเป็ผู้ใหญ่ทว่าก็ยังมีความคิดเช่นเด็ก ๆ
