“ฮู่ว…นอนหลับสบายจริงเชียว…”
เช้าตรู่ที่แสงตะวันทอประกายงดงาม โม่จ้านได้ัักับการนอนหลับสบายจนกระทั่งตื่นเองตามธรรมชาติ เตรียมตัวต้อนรับชีวิตใหม่ด้วยจิตใจเบิกบาน
ในปากของเด็กหนุ่มผู้สวมผ้าคาดหัวคาบขนมปังเอาไว้ มือข้างขวาถือผ้าขนหนู มือข้างซ้ายถือห่อผ้าหนึ่งใบที่ดูคล้ายจะเป็ขยะ (ชุดเกราะผุพัง) มากกว่า เขาเดินลงชั้นล่างอย่างเอ้อระเหยสบายใจ เมื่อเห็นเด็กรับใช้ในโรงเตี๊ยมยังแย้มยิ้มพลางพยักหน้าทักทาย ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับใที่ได้รับไมตรี
แม้ปัญหาเื่ค่าครองชีพจะคลี่คลายไปชั่วขณะ ทว่าถึงอย่างไรก็ยังเป็การกินสมบัติเก่า มีวิธีใดที่พอจะหาเงินได้บ้าง?
เมื่อห้านาทีก่อน โม่จ้านล้างหน้าพลางเค้นสมองคิดหาวิธีอย่างสุดความสามารถ หันไปเห็นห่อผ้าใต้โต๊ะโดยมิตั้งใจ โม่จ้านจึงนึกขึ้นได้ว่าข้างในมีชุดเกราะผุพังอยู่ เมื่อมิกี่วันก่อนตนใช้มันเพื่อปลอมเป็อัศวินแห่งราชวงศ์ เพียงแต่ยามนี้หน้าที่ของมันจบสิ้นแล้ว ควรจะหวนคืนสู่เ้าของเดิมเสียที
หลังจากนึกขอบพระคุณอัศวินผู้ล่วงลับอยู่ในใจอย่างเงียบๆ โม่จ้านก็หอบห่อผ้าเดินออกนอกเมืองและฝังมันไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ มือทั้งสองข้างประกบเข้าหากันแล้วค้อมกาย
ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยม ในที่สุดโม่จ้านที่เกาหูเกาแก้มก็ยังคงพ่ายแพ้ให้กับความรู้อันน้อยนิดของตน— คล้ายกับในหัวจะยุ่งเหยิง หนทางหาเงินในชาติก่อนมิอาจใช้ในโลกเวทมนตร์อันมืดมนแห่งนี้ได้ เงินอันน้อยนิดในถุงเงินนั้นจะต้องมิพอใช้ทำการค้าเป็แน่ ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของตน เกรงว่าคงจะมีเพียงร่างกายนี้เท่านั้น
แท้จริงแล้วโม่จ้านจับสังเกตได้นานแล้ว ร่างกายเผ่าปีศาจนี้ทั้งแข็งแรงและคล่องแคล่ว ระดับความแข็งแกร่งเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ครั้งก่อนตอนช่วยป๋อเก๋อฝ่าวงล้อม ความเร็วของกล้ามเนื้อในร่างกายและความอึดทำให้ตัวเขาเองยังใมิน้อย ร่างกายที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ผนวกกับฝีมือที่พอจะให้เยินยอตนเองได้ หากไปเป็ทหารรับจ้างจะเป็อย่างไร?
…หนึ่งประโยคล้อเล่นในชาติก่อน คล้ายกับในชาตินี้จะกลายเป็ความจริงเสียแล้ว
โม่จ้านยกยิ้มขมขื่นพลางส่ายหน้า สลัดความทรงจำภายในหัวออกไป ทว่าทันใดนั้นกลับเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนก้าวเข้าไปในเงาดำ เท้ายังมิทันได้ฟังคำสั่งให้หยุด โม่จ้านก็พุ่งชนเข้าเสียแล้ว
“…เอ่อ ขออภัย”
โม่จ้านรู้สึกคล้ายตนเองเดินชนกำแพงจนแทบจะโดนดีดให้ล้มลงกับพื้น เขากุมจมูกที่รู้สึกเจ็บ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้า โม่จ้านถึงกับอ้าปากค้าง —อีกฝ่ายสูงกว่าเขาประมาณสอง่ศีรษะ ร่างทั้งร่างของตนถูกบดบังอยู่ในเงาของอีกฝ่ายเสียมิด
“เ้าเตี้ย เ้ามิมีตาหรืออย่างไร?”
อีกฝ่ายหันหน้ามา หัวล้านเกลี้ยงเกลาสะท้อนแสงตะวัน ดวงตารีเล็กคู่หนึ่งจ้องมองโม่จ้านอย่างดุร้าย
“ขออภัย ข้ามิได้ตั้งใจ” โม่จ้านเตรียมจะปลีกตัว ตนเพิ่งมาเยือนที่นี่เป็ครั้งแรก ผู้ที่ดูเหมือนมิควรยั่วโทสะเช่นนี้ หากหลบเลี่ยงได้ย่อมหลบเลี่ยง
“ชนข้าแล้วยังคิดจะหนี?” ชายหัวล้านยังคงดื้อดึงมิยอมหยุด ทันทีที่หันมาก็เตรียมจะคว้าคอเสื้อของโม่จ้าน
โม่จ้านะโถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อหลบมือใหญ่ขนดกของอีกฝ่าย ขมวดคิ้วเงยหน้ามองชายร่างใหญ่ที่คว้าอากาศ
“ผู้น้อยเพียงเดินชนท่านเพราะมิทันระวังเท่านั้น คงมิถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกระมัง?”
“ในฐานะที่ข้า หลู่เต๋อ คือหนึ่งในผู้ดูแลของเมืองแห่งทหารรับจ้าง ข้าสามารถใช้กำลังพาตัวจารชนน่าสงสัยกลับไปสอบสวนที่กิลด์ได้”
บุรุษร่างสูงใหญ่เห็นท่าทางคล่องแคล่วของโม่จ้านอยู่ในสายตา เขาเผยรอยยิ้มหยามเหยียดออกมา ก่อนหักข้อนิ้วเสียงดังกรอบแกรบ
…เ้าบอกว่าใช่ก็ใช่หรืออย่างไร เหตุใดมิว่าจะอยู่โลกไหนพวกหัวหน้าถึงได้เฮงซวยเช่นนี้กันหมด
โม่จ้านมองสายตาที่แอบเหลือบมองมาของคนผ่านทางโดยรอบ หวนนึกถึงอัศวินโง่เง่าที่เข้ามาชกตนมิกี่หมัดทันทีที่พบหน้า ภายในใจเกิดเป็ความขุ่นเคืองเล็กน้อย
“อ้อ? งั้นหรือ เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเ้ามีความสามารถพอจะพาข้าไปได้หรือไม่”
โม่จ้านแค่นหัวเราะเสียงเย็นก่อนจะกวักมือเรียกหลู่เต๋อ จากนั้นก็ล้วงเอากริชออกมาจากข้างเอวอย่างช่ำชอง
กล่าวตามตรง ขณะโม่จ้านมองร่างสูงราวสองหมี่ กล้ามเนื้อที่ดูเกินจริงกับหมัดขนาดเท่าหม้อดินของฝ่ายตรงข้าม ภายในใจโม่จ้านรู้สึกหวาดกลัวทีเดียว ทว่าเมื่ออีกฝ่ายร้องคำรามแล้วตั้งท่าจะพุ่งเข้ามา โม่จ้านกลับเผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมา
หลู่เต๋อรวบรวมเรี่ยวแรงไว้กลางหมัดก่อนต่อยออกไปด้านหน้าตรงๆ นี่เ้ายังเรียกว่าชกต่อยอีกงั้นหรือ? ข้ายังคิดว่าเป็การเปิดศึกกันบนถนนเสียอีก
โม่จ้านหรี่สายตา จดจ้องหมัดที่พุ่งเป็เส้นตรงเบื้องหน้า ด้านข้างของร่างกายัักับแรงลมของหมัดหลังเบี่ยงหลบ เท้าขวาออกแรงถีบข้อเท้าของบุรุษร่างสูงใหญ่จนทำให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มลงกับพื้น หลู่เต๋อร้องบริภาษ ยันตัวขึ้นมาใช้อีกหนึ่งหมัดพุ่งโจมตีไปยังหน้าท้องของโม่จ้าน โม่จ้านย่อเข่าก้มตัวหลบ เท้าข้างซ้ายจิกพื้น ตามด้วยบิดสะโพกวาดขาเตะด้านข้างลำคอของบุรุษร่างสูงใหญ่ ข้อต่อกระดูกถูกโจมตีอย่างรุนแรงผ่านิั เกิดเป็เสียงดัง ‘เป๊าะ’ ขึ้นมา
หลู่เต๋อรับลูกเตะรุนแรงไปหนึ่งครั้งถึงกับรู้สึกมึนเบลออยู่บ้าง เขาโมโหยิ่งกว่าเก่า ทว่าระหว่างที่คิดจะรวบรวมเรี่ยวแรงบุกเข้าไปด้านหน้าอีกครั้ง เบื้องหน้าของหลู่เต๋อพลันมืดดับ ซวนเซไปมาจนคุกเข่าลงกับพื้น หัวใจที่มิกี่วินาทีก่อนหน้ายังเต้นปกติกลับกระตุกอย่างกะทันหัน คล้ายตนกำลังดิ้นรนออกจากการบีบเค้นของฝ่ามือใหญ่อย่างสุดชีวิต
“จิ๊ๆๆๆ… สบายตัวแล้วใช่หรือไม่เล่า คนแกร่ง?”
โม่จ้านส่ายหน้าพลางเดินเข้าไปข้างกายหลู่เต๋อที่เหงื่อโชกไปทั้ง ร่างก่อนจะตบลงบนบ่าของอีกฝ่ายเบาๆ
“มีเพียงพลังป่าเถื่อนแต่กลับมิมีทักษะแม้สักนิด ช่างน่าเสียดายกล้ามเนื้อทั้งร่างนี้จริงเชียว”
“หลู่เต๋อ! เ้าเป็อันใดไป!”
น้ำเสียงหยาบกระด้างของบุรุษดังมาจากไกลๆ โม่จ้านได้ยินเสียงลมแหวกอากาศพุ่งตรงมา ในใจพลันตื่นตระหนกรีบกลิ้งตัวลงบนพื้นทันที พริบตานั้นลูกธนูดอกหนึ่งพลันลอยเฉียดใบหน้าก่อนจะปักลงกลางดิน
ชายผู้หนึ่งแต่งกายเช่นทหารรับจ้างเดินตรงเข้ามา ผู้ที่เดินนำอยู่ข้างหน้าคือท่านลุงไว้หนวดเคราร่างกายกำยำใบหน้าแข็งกระด้าง อีกผู้หนึ่งคือสตรีที่ถือคันธนูมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหลู่เต๋อ จับหลู่เต๋อหันหน้ามาเพื่อตรวจดูอาการาเ็
“เ้าเป็ผู้ทำร้ายหลู่เต๋อ? ” ท่านลุงไว้หนวดเครามองโม่จ้านอย่างขุ่นเคือง เขากำดาบใหญ่ในมือแน่น “เ้ารู้หรือไม่นี่ถือเป็การท้าทายคนของกิลด์ทหารรับจ้าง”
ว้าวๆๆ เพียงเท่านี้ก็เท่ากับท้าทายคนทั้งกิลด์แล้วงั้นหรือ?
เพลิงโทสะของโม่จ้านปะทุดัง ‘ตูม’ “ข้าเพียงเดินชนเ้าตัวใหญ่นี่หน่อยเดียว เขาก็บอกว่าข้าเป็จารชน พุ่งเข้ามาหมายจะจับตัวข้ากลับไปกิลด์อันใดสักอย่าง ข้าต้องยอมให้เขาใช้กำลังหรืออย่างไร? ด้วยฝีมือที่มิต่างอันใดกับท่าสุนัขว่ายน้ำของเขา ข้าไม่ตีเขาตายก็นับว่าเมตตาเพียงใดแล้ว”
ครั้นท่านลุงไว้หนวดเคราได้ยินคำว่า ‘จารชน’ หัวคิ้วพลันกระตุกอย่างชัดเจน ก่อนมองโม่จ้านอย่างระแวดระวัง
“จะรวมหัวกันต้มตุ๋นใช่หรือไม่ คิดจะใช้วิธีสันนิษฐานความผิดใช่หรือไม่? หากรู้เช่นนี้เสียแต่ทีแรกข้าคงมิมาพักที่นี่แล้ว มิเพียงถูกก่อกวนกลับยังรำคาญใจ”
โม่จ้านมองอีกฝ่ายที่เผยสีหน้าท่าทางเตรียมตัวอย่างพร้อมเพรียง ให้ความรู้สึกจนปัญญาคล้ายยามที่ต้องเผชิญหน้ากับพ่อแม่เด็กเกเร
“หากข้าเป็จารชน ข้าจะมาเดินเล่นบนถนนใหญ่และชนพวกเ้าอย่างนั้นหรือ? มิสู้รออยู่ที่โรงเตี๊ยมจนถึงกลางดึกมิดีกว่าหรือ? เมื่อนั้นแม้ชนคนคงมีแต่จะอยากให้เ้าคนดึงดันผู้นั้นรีบพาเข้ากิลด์ เช่นนั้นกระทั่งแฝงตัวเข้าไปก็มิจำเป็แล้ว ข้ากลับแปลกใจนัก กิลด์ทหารรับจ้างระดับเท่านี้มีค่าอันใดให้เข้าไปสืบกัน? หรือกล้ามเนื้อของเหล่าทหารรับจ้างโตเข้าไปถึงในสมองงั้นหรือ?”
โม่จ้านพูดแขวะยาวเหยียด เหลือบมองกลุ่มคนจำนวนมิน้อยที่ล้อมชมความครึกครื้นก่อนยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อส่งสัญญาณ
“ทุกท่านโปรดดูให้ชัด ข้าเป็เพียงพ่อค้าพเนจรที่เดินทางผ่านมาเท่านั้น มิได้สวมชุดเกราะหรือกระทั่งชุดหนัง ทั้งตัวมีเพียงมีดเล็กเล่มเดียว หากรู้ว่ากิลด์ทหารรับจ้างมีวิธีปฏิบัติต่อแขกเช่นนี้ ข้าคงมิคิดมาเยวียหนาแล้ว”
กลุ่มทหารรับจ้างล้วนเผยสีหน้าขุ่นเคือง ทว่าด้วยผู้คนที่เข้ามาล้อมดูมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมิอาจทำตัวกำเริบอย่างเปิดเผย
โม่จ้านแค่นหัวเราะเสียงเย็น หากเก่งจริงก็ลงมือกับข้าที่เป็ ‘พ่อค้า’ ต่อหน้าสาธารณชน ดูสิว่าจะยังมีพ่อค้ามากน้อยเพียงใดที่กล้ามาทำการค้าที่นี่อีก สถานที่ที่ข้าอยู่คราก่อน โลกของมนุษย์น่ะเล่นาประสาทกันจนเ้าได้กระอักเืเป็แน่ เ้าเชื่อหรือไม่เล่า
“แปะ แปะ แปะ”
ท่ามกลางกลุ่มทหารรับจ้างมีเสียงปรบมือดังขึ้นทันใด บุรุษผมยาวสูงกว่าโม่จ้านหนึ่ง่ศีรษะกำลังปรบมือพลางเดินอ้อมออกมาจากด้านหลังของท่านลุงไว้หนวดเครา มองมาทางโม่จ้านคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม
“พ่อค้าจากด้านนอกมิเพียงมีสมอง กลับยังมีความสามารถ เห็นทีโลกทัศน์ของกิลด์ทหารรับจ้างของพวกเราจะถูกตัดขาดจากภายนอกเสียแล้วกระมัง”
“ขอถามท่านมีนามว่าอย่างไร? ผู้น้อยเคอเอิน”
บุรุษผมสีม่วงที่กำลังคลี่ยิ้มแลดูอ่อนโยนสง่างาม แว่นสายตาขนาดครึ่งแผ่นเลี่ยมกรอบสีทองสะท้อนแสงภายใต้แสงอาทิตย์
“โม่เจ๋อเอ่อร์” โม่จ้านกำกริชแน่นพลางเอ่ยอย่างสุขุม เห็นทีนี่คงเป็คนเ้าเล่ห์ผู้หนึ่ง
“เช่นนั้นโม่เจ๋อเอ่อร์พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า พ่อค้าพเนจรอย่างเ้าทะเลาะกับหลู่เต๋อด้วยเหตุอันใด?” เคอเอินคลี่ยิ้มเอ่ยถาม
หลู่เต๋อที่อาการยังมิดีขึ้นชี้ไปทางโม่จ้านด้วยความโมโห “เขาเป็จารชน! ทั้งยังใช้วิชาเวทแปลกประหลาดกับข้า! เมื่อครู่ข้าเกือบจะเอาชีวิตมิรอดแล้ว!”
“…………”
“…………”
ผู้ใดก็ได้มาลากเ้าพิการทางสมองนี่ออกไปที หากเ้าตัวตลกนี่อยู่ในเมืองเยวียหนา มิช้าก็เร็วคงจบเห่เป็แน่
ยามนี้ความคิดภายในใจของโม่จ้านกับเคอเอินเป็ไปในทิศทางเดียวกันอย่างน่าประหลาด
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดไป เ้าก็น่าจะได้ยิน ข้ามิพูดซ้ำเป็ครั้งที่สอง” โม่จ้านแค่นหัวเราะ
“ข้าเพียงอยากพักเท้าในเมืองเยวียหนา วันพรุ่งก็จะเริ่มออกเดินทาง หากพวกเ้ามิวางใจ เพียงสั่งให้คนไปเฝ้าโรงเตี๊ยมเป็พอ จะได้มิต้องอกสั่นขวัญแขวน หากพวกเ้าคิดลงมือกับข้า ข้าก็จะให้ความร่วมมืออย่างถึงที่สุด”
“หากเป็เช่นที่ท่านพูดมา ข้าต้องขออภัยท่านในนามกิลด์ทหารรับจ้างด้วย”
แต่ทว่าเคอเอินที่วินาทีที่แล้วยังคงแย้มยิ้มกลับมีสีหน้านิ่งขรึมลง หันไปส่งสัญญาณมือให้กลุ่มคนด้านหลัง
“เพียงแต่เื่ค่าชดเชยจากการที่ท่านทำให้หลู่เต๋อาเ็ หวังว่าท่านจะไปพูดคุยรายละเอียดกับพวกเราที่สหภาพแรงงาน”
โม่จ้านรู้สึกเย็นเยียบในใจทันใด เห็นทีตนคงหนีหายนะไร้เค้าลางนี้มิพ้นเสียแล้ว