ขณะที่โม่จ้านกำกริชพลางกวาดสายตามองโดยรอบ คิดว่าจะฝ่าวงล้อมออกไปดีหรือไม่ ทันใดนั้นกระดาษขาดวิ่นม้วนหนึ่งพลันหล่นลงตรงหน้าทุกคน
สีหน้าทหารรับจ้างด้านหลังเคอเอินแปรเปลี่ยนโดยพลัน ต่างพากันถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงโม่จ้านที่ทำหน้าตางุนงง ลายพู่กันชั้นเลว (ในสายตาของโม่จ้าน) เปลี่ยนจากสีดำกลายเป็สีเขียว ปล่อยพายุหมุนขนาดเล็กสูงราวสิบกว่าหลีหมี่ออกมา ภายในระยะเวลาเพียงมินานกลับพบว่ามันลอยสูงขึ้นขนาดเทียบเท่าคนสองคน มันโหมดูดเอาฝุ่นผงบนพื้นพัดมาทางโม่จ้านอย่างรุนแรง
โม่จ้านรีบเบี่ยงกายหลบอย่างรวดเร็ว หลังหยัดยืนอย่างมั่นคงยังคงรักษาสภาพเบิกตาอ้าปากค้างเอาไว้
...นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่าวิชาเวทธาตุลม? ถือเป็ครั้งแรกที่ตนได้เห็นกับตา ทั้งการเห็นด้วยตานั้นยังมาพร้อมความตกตะลึง
“ผ่านไปเสียกี่ปี กิลด์ทหารรับจ้างยังคงป่าเถื่อนไร้สมองเช่นนี้อยู่อีก มิน่าจึงเป็เหมือนสายน้ำไหลลงที่ต่ำ”
น้ำเสียงใสกังวานของเด็กหนุ่มดังขึ้น โม่จ้านหันกลับไปมอง พบว่าเด็กหนุ่มผมสีแดงถือคทาสั้นผู้หนึ่งกำลังกวักมือเรียกตน
“...เก๋อจือ? เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” แววตาของเคอเอินฉายแววหวาดระแวงมิกี่ส่วน “เ้ามิได้ไปเข้าร่วมการประเมินเลื่อนระดับอย่างนั้นหรือ?”
“เดิมทีมิได้คิดจะเข้ามา เพียงแต่คุณชายน้อยอย่างข้าได้ยินคนผ่านทางพูดคุยกันหน้าประตู บอกว่าเ้าลิงอุรังอุตังตัวโตสมองทึบอย่างหลู่เต๋อถูกคนนอกทุบตี ข้ามิอาจหักใจจึงได้มาชมเื่น่าสนุกสักหน่อย”
เก๋อจือกะพริบตาอย่างซุกซนพลางฉีกยิ้มเห็นฟัน คทาเล็กงามประณีตวาดอากาศเป็วงกลม
“มิรู้เหตุใด ผู้เข้าสอบปีนี้จึงมีจำนวนมากเหลือเกิน ข้าไปช้าเพียงวันเดียว ลำดับก็ยาวเหยียดไปอีกหนึ่งวันเสียแล้ว”
คนผ่านทาง? เกรงว่าในเมืองจะมีสายลับของเ้าเสียมากกว่า
เคอเอินขมวดคิ้วเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “นี่เป็เื่การจัดการภายในเมืองทหารรับจ้างของพวกเรา คุณชายน้อยเก๋อจืออย่ายื่นมือเข้าแทรกจะเป็การดีที่สุด”
“เื่ภายใน? เป็เื่ภายในของประตูบานใดงั้นหรือ?” เก๋อจือโอบไหล่โม่จ้านด้วยท่าทางสนิทสนม “ฝีมือของท่านมิเลว หากมิถือสาจะไปเข้าร่วมกิลด์นักดาบพเนจรหรือไม่? ระยะหลังมานี้กิลด์ทหารรับจ้างถูกเผ่าปีศาจทำให้อ่อนไหว เพียงเห็นคนแปลกหน้าก็ร้อนรนเสียยิ่งกว่าเจอสัตว์ปีศาจเสียอีก”
“...เผ่าปีศาจอีกแล้ว?” เมื่อโม่จ้านได้ยินสองคำนี้พลันะเืจนรู้สึกปวดท้อง “าาปีศาจมิได้ถูกสังหารแล้วหรือ เหตุใดจึงยังมิหยุดอีก”
เก๋อจือยักไหล่อย่างช่วยมิได้ “เ้าเป็ผู้ที่มาจากด้านนอกจริงด้วย มีข่าวแพร่กระจายออกมานานแล้วว่าเผ่าปีศาจ...”
“คุณชายน้อยเก๋อจือ! ที่นี่คือเมืองแห่งทหารรับจ้าง ขอท่านอย่าได้ขัดขวางหน้าที่หลักของพวกเรา”
เมื่อเห็นคนทั้งสองต่อบทสนทนากันไปมา ในที่สุดเคอเอินผู้ถูกหมางเมินก็ข่มเพลิงโทสะเอาไว้มิไหว
“อ่าๆ ที่แท้หน้าที่หลักของพวกเ้าก็คือการช่วยเหลือคนเลวที่อ้าปากเอ่ยฟ้องก่อนสินะ?” เก๋อจือทำสีหน้ารังเกียจพลางเบะปาก
“เป็ความจริงที่คนผู้นี้ทำร้ายหลู่เต๋อจนได้รับาเ็ แม้จะเป็ความผิดของหลู่เต๋อ แต่พวกเราก็ต้องพาเขากลับกิลด์เพื่อคิดบัญชีค่ายารักษาให้เรียบร้อย”
หน้าผากของเคอเอินใกล้จะมีเส้นเอ็นปูดโปนขึ้นมาเสียแล้ว เก๋อจือผู้เป็คุณชายน้อยเอาแต่ใจมิอาจใช้ได้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อนเช่นนี้ ทุกครั้งที่ตนได้พบมักถูกยั่วโทสะมิน้อยทีเดียว
“คือว่า...ข้าจะพูดแทรกสักคำได้หรือไม่?”
โม่จ้านเผยใบหน้าใสซื่อพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้น ดึงดูดความสนใจของเก๋อจือและคนของกิลด์ทหารรับจ้าง
“...ผู้น้อยมิได้ทำให้ท่านหลู่เต๋อาเ็เสียหน่อย เหตุใดจึงต้องชดใช้เงินค่ารักษาด้วย...”
“ห๋า?”
“ห๊ะ?”
กลุ่มทหารรับจ้างกับเก๋อจือเบิกตากว้างในเวลาเดียวกัน หลู่เต๋อโมโหจนหน้าแดงลำคอพอง ชี้ด้านข้างลำคอของตนเองแล้วร้องะโออกมาเสียงดัง
“เ้าพูดจาไร้สาระอันใด! เ้าเห็นว่าเตะคอข้ามิได้ผลจึงร่ายเวทตามในทันที ทำให้ร่างทั้งร่างของข้ามิอาจขยับเขยื้อน!”
“ความหมายของเ้าคือ หลู่เต๋อหน้ามืดจนล้มไปเองงั้นรึ?” ท่านลุงไว้หนวดเครายกมือทั้งสองข้างกอดอก มองโม่จ้านที่ทำหน้าตาใสซื่อด้วยสายตาเ็า
โม่จ้านถอนหายใจหนึ่งเฮือก ชี้ไปยังหลู่เต๋อด้วยสีหน้าได้รับความมิเป็ธรรม
“เฮ้อ ลำคอของท่านหลู่เต๋อมิมีกระทั่งรอยฟกช้ำ เพียงแต่หมัดที่ส่งมาถูกข้าน้อยเบี่ยงกายหลบ มิทันยืนมั่นคงจึงล้มลงกับพื้น เพราะท่านอับอายจึงได้ใส่ร้ายว่าผู้น้อยใช้วิชาเวท”
การแสดงออกทางสีหน้าของโม่จ้านใสซื่อบริสุทธิ์เหลือเกิน กระทั่งมีเสี้ยวนาทีหนึ่งที่เก๋อจือคิดว่าสิ่งที่ตนได้เห็นเป็เพียงภาพลวงตา เด็กหนุ่มหันหน้ามาอย่างฉงนและมองโม่จ้านปราดหนึ่ง จากนั้นก็เสียบคทาเล็กลงบนพื้น ปากบริกรรมคาถา ปรากฏระลอกคลื่นกระจายออกไปทั่วบริเวณที่ทุกคนยืนอยู่ มิมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นแต่อย่างใด
“...มิมีร่องรอยของการใช้เวทมนตร์จริงๆ ”
เก๋อจือเอ่ยด้วยความสงสัย แอบเหลือบมองโม่จ้านด้วยหางตา เคอเอินกับกลุ่มทหารรับจ้างต่างมองหน้ากัน พวกเขาก็ใช้สายตาฉายแววสงสัยมองพิจารณาโม่จ้าน
เหลวไหล แน่นอนว่ามิมี เพราะข้าอาศัยเทคนิค
โม่จ้านเผยสีหน้าได้รับความมิเป็ธรรมพร้อมทั้งพูดแขวะอยู่ในใจ วิชาเวทคืออันใด กินได้หรือไม่ อร่อยหรือเปล่า
“พวกเ้ามิมีกระทั่งหลักฐานยังกล้าบอกว่าผู้อื่นใช้วิชาเวท? เช่นนั้นคุณชายน้อยอย่างข้าจะใช้นามของท่านพ่อคุ้มครองเขา ได้หรือไม่?”
เก๋อจือดึงไหล่โม่จ้าน จากนั้นผิวปากใส่กลุ่มทหารรับจ้างที่เผยสีหน้ามิยินยอม
“แล้วพบกันเคอเอิน คราหลังไปเที่ยวเล่นที่กิลด์จอมเวทบ้างเล่า”
สีหน้าของเคอเอินดำทะมึน มองโม่จ้านที่ทำหน้าตาแปลกประหลาดขณะถูกเก๋อจือลากออกไป ก่อนหันไปถลึงตาใส่หลู่เต๋ออย่างดุดัน
หลู่เต๋อที่ถูกตำหนิมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้ามิเข้าใจ “ท่านรองหัวหน้ากิลด์เหตุใดจึงปล่อยเขาไปทั้งเช่นนี้? ใช่ว่าพวกเราจะสู้เก๋อจือมิได้เสียหน่อย”
ท่านลุงไว้หนวดเครากุมหน้าผาก “หลู่เต๋อ ข้าคิดว่าเ้าควรจะบำรุงสมองบ้างแล้วจริงๆ...”
“???”
“กระทั่งข้าที่สมองมิค่อยปราดเปรื่องยังเข้าใจ เก๋อจือปรากฏตัวโดยบังเอิญเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าเตรียมการเอาไว้ั้แ่แรก ต่อให้วันนี้เ้าคนน่าสงสัยนั่นเป็จารชนจริงๆ พวกเราก็มิอาจพาตัวเขาไปได้”
ขณะมองสายตาสับสนมึนงงของหลู่เต๋อ ท่านลุงไว้หนวดเคราอดกังวลใจมิได้ เริ่มหวนนึกถึงเหตุการณ์ในตอนแรก
“ผู้ที่มิต้องใช้วิชาเวทก็สามารถล้มหลู่เต๋อลงได้...หม่าลี้ การเผยวิชาเวทเมื่อครู่ของเก๋อจือใช่ของจริงหรือไม่?”
นักธนูหญิงผมยาวพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง
“หากเป็การเสแสร้ง ข้าจะต้องดูออกทันทีเ้าค่ะ นอกจากหลู่เต๋อได้รับแผลถลอกเล็กน้อย เขาก็มิมีร่องรอยอาการาเ็อื่นใดเ้าค่ะ”
เคอเอินใคร่ครวญครู่หนึ่ง จากนั้นหันมองไปทางท่านลุงไว้หนวดเครา
“ท่านหัวหน้ากิลด์ คงต้องยกหลู่เต๋อให้เป็หน้าที่ท่านแล้ว ข้าจะไปทำความเข้าใจสถานการณ์โดยรอบเสียหน่อย ดูว่าจะสืบพบจุดประสงค์การมาเยือนของคนผู้นี้ได้หรือไม่”
ท่านลุงไว้หนวดเคราพยักหน้า ตามด้วยส่งมือที่ราวกับคีมเหล็กลากหลู่เต๋อที่สูงกว่าครึ่งศีรษะไปทางกิลด์
“เ้ารู้หรือไม่ เพราะนิสัยเสียๆ ของเ้า พวกเราต้องคอยตามเช็ดก้นให้เ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว? ยามนี้เป็เดือนจับจ่าย ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยพ่อค้าที่ออกมาชมความครึกครื้น หากยังมีครั้งต่อไป ข้าจะเอาเ้าไปโยนไว้ในป่าใบดำให้สัตว์ปีศาจกิน”
......
อีกฝั่งหนึ่ง โม่จ้านที่ถูกเก๋อจือลากออกจากประตูเมืองสะบัดมือที่วางอยู่บนไหล่ของตนออก
“เ้าเป็ใคร? ข้าขอบคุณมากที่เ้าช่วยเหลือ แต่มิได้หมายความว่าข้าจะเชื่อเ้า”
โม่จ้านมิได้รังเกียจเด็กหนุ่มเปี่ยมชีวิตชีวาแต่อย่างใด ความจริงตนเพียงมิอยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับการประลองอำนาจก็เท่านั้น
“ข้ามีนามว่าเก๋อจือ เป็จอมเวทกึ่งระดับกลาง”
เรียวฟันขาวและผมสั้นสีแดงที่ค่อนข้างร้อนแรง ผนวกกับดวงตากลมโตเป็ประกาย เมื่ออยู่ใต้แสงตะวันทำเอาโม่จ้านมิกล้าสบมองตรงๆ
“เ้ามิจำเป็ต้องเสแสร้งแล้ว เดิมทีข้าก็มิได้ลงรอยกับเ้าพวกนั้น หากจะหมางใจเพิ่มอีกสักครั้งเพื่อแลกกับไมตรีของอัศวินแห่งราชวงศ์ก็นับว่าคุ้มค่ายิ่ง”
โม่จ้านระมัดระวังตัวทันใด “เ้าสะกดรอยตามข้า?”
“มิใช่ สถานที่ที่เ้าใช้ฝังสิ่งของอยู่ใกล้กับประตูเมืองมากเกินไป”
เก๋อจือยิ้มเยาะพลางโบกมือทำท่าทางเป็รูปต้นไม้ต้นหนึ่ง
“ข้าเพียงบังเอิญผ่านมาพอดี เ้าเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าประตู คนพเนจรมิกี่คนก็ไปขุดสิ่งของเ่าั้ออกมา คิดจะเอาไปขายเป็เศษเหล็ก หลังผู้คุ้มกันตระกูลของข้าไล่พวกเขาไปจึงรู้ถึงรูปแบบของชุดเกราะ”
“....เอาเถอะ...” โม่จ้านกุมขมับ ความสะเพร่านำพาหายนะมาเยือนโดยมิมีเค้าลางโดยแท้
“ดังนั้นท่านอัศวินติดหนี้บุญคุณข้าครั้งหนึ่ง จะต้องจดจำเอาไว้ด้วยนะ”
เก๋อจือขยับเข้าใกล้พลางเผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ ยังคงวางมือลงบนไหล่ของโม่จ้านอีกครั้ง โม่จ้านขมวดคิ้วพักหนึ่ง คิดว่าเ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้าค่อนข้างน่าสนใจอยู่บ้าง กระนั้นยังคงคว้ามือของเก๋อจือแล้วสะบัดไปด้านข้างอีกครั้ง ผู้มีสติรู้เหตุผลสามารถเอาตัวรอด หากสามารถก่อเื่วุ่นวายให้น้อยลงได้สักหน่อยก็ควรจะทำให้น้อยลง
“ข้ามิเคยพูดว่าข้าเป็อัศวิน ชุดเกราะชุดนั้นก็มิใช่ของข้า”
“เอ๋ งั้นหรือ...” เก๋อจือมองโม่จ้านอย่างใช้ความคิด สีหน้านั้นทำให้ผู้อื่นมิอาจคาดเดา
“หากข้าเป็อัศวินพเนจรที่หนีออกจากกองอัศวินแห่งราชวงศ์เล่า?” โม่จ้านเผยยิ้มคลุมเครือออกมา
“อ่า เช่นนั้นคงจะแบกรับแผลใจเพราะสหายสิ้นใจ หรืออาจถูกบีบคั้นกลั่นแกล้ง จำต้องหันหลังให้บ้านเกิดมุ่งหน้าสู่แดนอื่น!”
เก๋อจือเกิดความสนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันใดและกำมือแน่น
....ห๋า? เ้าพูดว่าอันใดนะ?
โม่จ้านมองเด็กหนุ่มที่จู่ๆ ก็ฮึกเหิมขึ้นมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ มุมปากถึงกับกระตุกอย่างมิอาจควบคุม
“...เช่นนั้นหากข้าเป็นักโทษที่สังหารอัศวินแห่งราชวงศ์เล่า?”
“ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งเก่งกาจ! ถือเป็คู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การยกย่อง สามารถถอดชุดเกราะของอีกฝ่ายออกแล้วนำมาฝัง ช่างหล่อเหลาเอาการยิ่งนัก!”
ดวงตาของเก๋อจือมีประกายดวงดาวเผยออกมา ภายในหัววาดภาพฉากนองเื
“...ขออภัยด้วย ข้าต้องกลับเข้าไปในเมืองอีกรอบ”
โม่จ้านที่รู้สึกปวดหัวขึ้นมากะทันหันเข้าใจความรู้สึกของเคอเอินแล้ว เ้าเด็กคนนี้มิเพียงเป็คุณชายน้อยที่เอาแต่ใจ ทว่ายังเป็โรคเด็กมิรู้จักโต
“ถูกบอกว่าเป็จารชนแล้วแท้ๆ นึกมิถึงว่าเ้าจะยังอาลัยอาวรณ์เมืองเยวียหนา”
มือที่มิอาจอยู่อย่างสงบของเก๋อจือคล้องหลังคอของโม่จ้าน ยังคงพาดคอของโม่จ้านเอาไว้อีกครั้ง
“อาวุธและอาภรณ์ของข้ายังอยู่ที่โรงเตี๊ยมในเมือง”
โม่จ้านตอบกลับด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง ข้ายังอาวรณ์กระบี่เล่มนั้น เพิ่งจะถือไว้ในมือได้มิทันอุ่น มิอาจปล่อยทิ้งไว้ทั้งเช่นนี้ได้
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะสั่งให้คนของข้าช่วยไปเอามาให้เป็พอ มิคิดค่าแรง”
เก๋อจือโบกมือ เผยรอยยิ้มแลดูลึกลับพลางโน้มหน้าเข้าใกล้โม่จ้าน
“เพื่อเป็การตอบแทน บอกข้าได้หรือไม่ว่าเ้าใช้วิธีการใดทำให้เ้าหลู่เต๋อนั่นทรุดหมอบลงกับพื้น? มิได้ใช้วิชาเวทจริงหรือ?”
“นั่นมิใช่วิชาเวท เ้าอยากลอง?”
โม่จ้านมองดวงตากลมโตเปี่ยมด้วยความสนใจใคร่รู้ทั้งสองข้างที่อยู่ตรงหน้า ก่อนยื่นมือออกไปตรงหลังคอของเด็กหนุ่ม จากนั้นออกแรงบีบบนลำคอของเด็กหนุ่มสองจุด
เก๋อจือสงสัยว่าด้วยเรี่ยวแรงเพียงเท่านี้จะทำให้ผู้อื่นเป็ลมได้อย่างไร ทว่าภายในเวลาอันรวดเร็วกลับเริ่มรู้สึกว่าบนตัวเย็นเฉียบ ดวงตาทั้งสองข้างพร่าเลือน อัตราการเต้นของหัวใจแปรเปลี่ยนเป็ถี่กระชั้น แม้ว่าโม่จ้านจะปล่อยมือไปนานแล้ว ทว่าเก๋อจือกลับยังต้องใช้เวลาพักครู่หนึ่งกว่าจะได้สติกลับคืนมา
...หลังจากนั้นกลายเป็ยิ่งสนใจใคร่รู้มากกว่าเดิมเสียอีก
“ยอดเยี่ยมมาก! นี่คือจุดตายตามคำเล่าขานกระมัง?” เก๋อจือมองโม่จ้านด้วยสายตาเจือความเลื่อมใส
“...เอ่อ ไม่...อืม ใช่แล้ว”
เดิมทีโม่จ้านคิดจะอธิบายเื่คาโรติดไซนัส [1] ให้พ่อมดฟังว่าคือสิ่งใดโดยเริ่มต้นจากศูนย์ ทว่าหลังจากนั้นกลับเลือกที่จะยอมแพ้
“เพียงแต่ข้าดูจากท่าทางเมื่อครู่ของเ้า คล้ายจะมิรู้วิชาเวทจริงๆ ช่างน่าเสียดาย เดิมทีคิดจะเชิญเ้าให้มาเข้าร่วมกิลด์จอมเวท” เก๋อจือรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
ตนอาจมิรู้วิชาเวท แต่ถ้าเป็าาปีศาจก็มีอยู่ตนหนึ่ง...
โม่จ้านมองเก๋อจือที่เกาหูเกาแก้มพลางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้เป็เื่ที่มีประโยชน์กับตนเอง
“เดิมทีข้าคิดอยากเข้ากิลด์ทหารรับจ้าง ข้ามิมีรายได้ ทำได้เพียงอาศัยการรับจ้างเพื่อดำรงชีวิต”
เก๋อจือได้ยินเช่นนั้นพลันคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานใจยิ่งนัก “เ้าพวกนั้นเป็คนโง่ ปฏิเสธยอดฝีมือถึงเพียงนี้ไว้นอกประตูตนเอง เช่นนั้นยามนี้เล่า?”
“คงจบสิ้นแล้ว หากมิได้เป็ทหารรับจ้าง ข้าก็ทำอย่างอื่นมิได้แล้ว” โม่จ้านยักไหล่
“...ห๋า? เข้ากิลด์ทหารรับจ้างกับเป็ทหารรับจ้างมีความเกี่ยวโยงที่หลีกเลี่ยงมิได้งั้นหรือ?” เก๋อจือมองโม่จ้านด้วยสีหน้าฉายแววมิเข้าใจ
โม่จ้านถึงกับเป็ใบ้ หรือทั้งสองสิ่งมิได้มีความเกี่ยวข้องที่เลี่ยงมิได้งั้นหรือ?
เชิงอรรถ
[1] คาโรติดไซนัส carotid sinus เป็ศูนย์ควบคุมระดับความดันเืของร่างกาย (baroreceptor)ที่อยู่บริเวณหลอดเืแดง การกดหรือเบียดคาโรติดไซนัสจะทำให้ความดันภายในร่างกายเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งเกิดอาการเป็ลม