อันเจิงตรวจสอบาแของตู้โซ่วโซ่วคร่าวๆ พบว่ามีเพียงอาการกระดูกแตกเท่านั้น
สำหรับคนทั่วไป การาเ็ระดับนี้อาจใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยสามเดือนครึ่งปี หรืออาจนานเกินหนึ่งปีกว่าจะหายขาด
แต่ตู้โซ่วโซ่วผ่านการชำระล้างไขกระดูกมาแล้วดังนั้นอัตราการฟื้นฟูของเขาจึงเร็วมากกว่าคนปกติหลายเท่าตัวนัก
ในขณะที่อันเจิงกำลังช่วยพยุงร่างตู้โซ่วโซ่วขึ้นมาด้วยความระมัดระวังอีกด้านชวีเฟิงจื่อกำลังมองไปที่ชวีหลิวเอ๋อด้วยสีหน้าเป็ห่วง
เขาอาศัยจังหวะที่ทั้งอันเจิงเสี่ยวชีเต้าและตู้โซ่วโซ่วไม่สนใจ ดึงตัวชวีหลิวเอ๋อไปด้านข้าง “สถานที่เช่นนี้พวกเราไม่น่าเข้ามาเลยอย่างที่เ้าเห็น พวกเขาได้แต่ปล่อยให้ผู้อื่นรังแก ไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่น้อย”
ชวีหลิวเอ๋อส่ายหัวของนางอย่างดื้อรั้น “ท่านอาจารย์ท่านจะไปก็ได้ แต่ข้าไม่ไป พวกเราก็มีกันอยู่เพียงเท่านี้ ถ้าข้าไปแล้วนั่นไม่ดูแล้งน้ำใจเกินไปหน่อยหรือ”
ประโยคของเด็กหญิงเต็มไปด้วยจิติญญาขณะที่นางพูดใบหน้าแดงก่ำน่ามองยิ่งนัก
อันเจิงได้ยินทุกคำพูดของชวีเฟิงจื่อแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ยังจะมาห่วงนิกายเบิก์อะไรกันอีก!”
ชวีเฟิงจื่อเปล่งเสียงดังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว“แค่เด็กหน้าเหม็นไม่กี่คนอย่างพวกเ้าคิดจะสร้างนิกายรึ?ข้าเองก็เคยผ่านวัยเด็กมาก่อน รู้ดีว่าเื่เช่นนี้ล้วนเป็ความฝันของเด็กทุกคนรู้ดีว่าพวกเ้าคิดว่าตัวเองนั้นยอดเยี่ยมแต่ในความเป็จริงแล้วพวกเ้าไม่มีอะไรเลยหอสมุดมายาฝั่งตรงข้ามมีอาจารย์ที่เหมาะสมที่สามารถชี้แนะและสั่งสอนแนวทางในการบ่มเพาะได้แต่พวกเ้ามีหรือไม่? อันเจิงช่วยให้เ้าฝึกฝนได้จริงหรือ?ข้าเห็นแล้ววันนั้นที่เ้าทดสอบศักยภาพ เ้ามีศักยภาพสูงถึงสี่ดาราฟังข้า หลังจากที่ข้าช่วยรักษาาแต่าง ๆ ให้ตู้โซ่วโซ่วแล้วเ้าตามข้าออกไปจากที่นี่เสีย หากเ้าไม่ปรารถนาที่จะเข้าศึกษาในหอสมุดมายาจริง ๆอาจารย์จะพาเ้าออกไปจากโลกมายาแห่งนี้ แล้วไปหานิกายข้างนอกที่เหมาะสมกับเ้าเ้าว่าดีหรือไม่?”
ชวีหลิวเอ๋อพองแก้ม “ไม่ดี ๆ ๆ!”
นางวิ่งไปช่วยดามเฝือกให้ตู้โซ่วโซ่ว “เป็เด็กแล้วอย่างไร?เป็เด็กแล้วมีความฝันไม่ได้หรือ? ที่นี่คือนิกายเบิก์และอันเจิงก็เป็ท่านผู้นำนิกายของพวกเราแม้ว่าตอนนี้พวกเราจะยังอ่อนแอแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะข้าเชื่อว่าครึ่งปีหลังจากนี้พวกเราจะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน บ่มเพาะมานานกว่าแล้วอย่างไร คนของหอสมุดมายาพวกนั้นรังแกได้แม้กระทั่งคนที่ยังไม่ได้เริ่มบ่มเพาะด้วยซ้ำมีอะไรให้น่าภาคภูมิใจนักหรือ? รอให้พวกเราเอาชนะพวกเขาได้ก่อนเถิดนั่นสิถึงจะเรียกว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!”
ชวีเฟิงจื่อเหลือบตามองไปทางอันเจิง ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี
อันเจิงทำเพียงยิ้มให้กับชวีเฟิงจื่อจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นไปตบไหล่ตู้โซ่วโซ่วเบา ๆ “กำลังรู้สึกอัดอั้นอยู่ใช่หรือไม่?ทนไว้อีกแค่หนึ่งร้อยแปดสิบวันเท่านั้น”
ตู้โซ่วโซ่วกัดฟันพูดด้วยความเ็ป “ไม่ต้องห่วงแค้นนี้ข้าต้องทวงคืนกลับมาแน่!”
“เ้าไม่จำเป็ต้องรู้สึกขายหน้า”อันเจิงกล่าว
“เ้าเพิ่งผ่านการชำระล้างไขกระดูกมาได้ไม่นานส่วนโจวมู่ชานเขาอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นสามแล้วเ้าเอาชนะเขาไม่ได้นั่นก็เป็เื่ปกติ พูดตามตรง แม้แต่โค่วลิ่วข้าคิดว่ายังเอาชนะเขาไม่ได้ด้วยซ้ำเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็เหมือนกับเ้าที่เพิ่งผ่านการชำระล้างไขกระดูกมา สามารถทำลายต้นไม้ขนาดเล็กต้นหนึ่งได้ง่ายๆ เพียงหมัดเดียวหากอาศัยกำลังของเ้าตอนนี้ไปต่อยตีกับคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกฝนพลังพวกนั้นพวกเขาให้ตายก็ไม่มีปัญญาเอาชนะเ้าได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาสมควรรู้สึกขายหน้าหรือ?โจวมู่ชานตอนนี้อยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นสามพลังของเขามากถึงขั้นสามารถบีบอัดปราณจนกลายเป็ใบมีดได้ใบมีดของเขาคมพอที่จะตัดต้นไม้ขนาดเล็กให้กลายเป็เศษผงได้อย่างไม่ต้องเปลืองแรง เขากับเ้าตอนนี้จึงเรียกได้ว่าอยู่กันคนละระดับอย่างแท้จริง”
“แต่เ้าก็อย่าเพิ่งท้อใจไปข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรดาอาจารย์ที่อยู่ในหอสมุดมายาพวกนั้นมาก เ้าทำเพียงเชื่อใจข้าก็พอ”
ตู้โซ่วโซ่วฟังแล้วพยักหน้าให้อย่างมุ่งมั่น “วางใจเถอะอันเจิงข้าจะไม่ทำให้เ้าผิดหวัง!”
ทว่าเขาก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่สิั้แ่วันนี้เป็ต้นไปข้าก็จะเรียกเ้าว่าท่านผู้นำนิกายด้วยเหมือนกันแม้ในสายตาของผู้อื่นนี่จะดูเป็เพียงการละเล่นเล็ก ๆ ของเด็กน้อยทว่าพวกเรารู้ดีว่ามันจริงจังแค่ไหน! ข้าเชื่อสุดใจว่า ไม่ช้าก็เร็วนิกายเบิก์แห่งนี้จะขึ้นมาเป็นิกายที่ทรงพลังที่สุดในโลก”
อันเจิงหัวเราะลั่น “คำเยินยอสูงส่งของเ้าทำเอาเืในกายข้าเดือดพล่านทีเดียวข้าชอบนะ แต่มันจะดีกว่าหากครั้งหน้าเ้าสามารถควบคุมอารมณ์ได้มากกว่านี้”
“เ้าเป็ถึงท่านผู้นำนิกายวางตัวให้องอาจกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ?”
อันเจิงพยักหน้ารับ “เอาละ ๆข้าผู้นำยังมีอีกหลายสิ่งต้องจัดเตรียมเพื่อให้เ้าฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด”
เขาหันหลังกลับไปแล้วถามชวีเฟิงจื่อ “าแพวกนี้ใช้หญ้าเชื่อมกระดูกรักษาได้ผลดีที่สุดใช่หรือไม่?”
ชวีเฟิงจื่อกล่าว “แน่นอนว่าหญ้าเชื่อมกระดูกย่อมให้ผลดีที่สุดแต่ใครเล่าจะโง่พอเอาสมุนไพรระดับขั้นสีขาวมารักษาอาการาเ็เล็กน้อยแค่นี้?สรรพคุณของหญ้าเชื่อมกระดูกแม้ใช้โดด ๆ แล้วจะไม่มีฤทธิ์รุนแรงมากแต่หากนำไปหลอมรวมกับกระดูกของอสรพิษเจ็ดหวนจะได้เป็เม็ดยาคืนิญญาขึ้นมาทันทีต้องรู้ก่อนว่าเม็ดยาคืนิญญานั้นแตกต่างกับเม็ดยาคืนสภาพราวฟ้ากับเหวเม็ดยาคืนสภาพเป็เพียงเม็ดยาในขั้นธรรมดา แต่เม็ดยาคืนิญญาคือยาที่อยู่ในระดับขั้นสีขาวชั้นสูงขอเพียงาแนั้นไม่ถึงตายเม็ดยาคืนิญญาเม็ดเดียวก็สามารถช่วยให้ผู้าเ็ฟื้นฟูกลับมาได้ในพริบตาราวปาฏิหาริย์”
อันเจิงถามย้ำอีกครั้ง “ท่านว่าในเทือกเขาชางหมานจะมีหญ้าเชื่อมกระดูกอยู่หรือไม่?”
ชวีเฟิงจื่อตอบว่า “มีสิแต่ข้าแนะนำให้เ้ารีบล้มเลิกความคิดนี้ไปเสียจะดีกว่า สมุนไพรเองก็มีการแบ่งระดับของมันยิ่งระดับสูงมากเท่าไหร่สัตว์อสูรที่ทำหน้าที่ปกป้องก็จะยิ่งมีระดับสูงมากขึ้นเท่านั้นสมุนไพรระดับขั้นสีเขียวยังดีที่พวกมันไม่มีสัตว์อสูรคอยคุ้มครองแต่ั้แ่ระดับขั้นสีขาวขึ้นไปล้วนมีสัตว์อสูรคอยปกป้องทั้งสิ้น ยิ่งระดับขั้นสีแดงยิ่งไม่ต้องพูดถึงอันเจิง ขออภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง แต่ความสามารถของเ้าในตอนนี้ คิดจะเข้าไปในเขตสัตว์อสูรแล้วแย่งชิงสมุนไพรระดับขั้นสีขาวออกมาเป็เื่ที่ไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง”
“ข้ารู้”
อันเจิงหันกลับไปพูดกับชวีหลิวเอ๋อ “ฝากดูแลตู้โซ่วโซ่วด้วย”
โลกมายาแท้จริงเป็เมืองเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาชางหมานอาคารบ้านเรือนที่นี่กระจัดกระจายไม่เป็ระเบียบอาจด้วยเพราะกลุ่มคนที่เข้ามาตั้งรกรากที่นี่เป็รุ่นแรก ๆ ล้วนแต่เป็พวกชั่วร้ายดังนั้น ขอแค่เป็จุดที่พอใจก็จะสร้างบ้านขึ้นมาทันทีโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น เวลาผ่านพ้นไปโลกมายาจึงได้มีสภาพวุ่นวายอย่างที่เห็น
เทือกเขาชางหมานแต่เดิมก็เป็สถานที่ซึ่งขึ้นชื่อเื่ความโหดร้ายป่าเถื่อนผู้ฝึกตนจำนวนมากไม่เต็มใจแม้แต่จะย่างกรายเข้ามาที่นี่คงเพราะถึงแม้จะมีคนอาศัยอยู่เป็จำนวนมาก แต่ก็มักจะถูกโจมตีโดยสัตว์ร้ายอยู่เสมอ
อันเจิง้าหาสมุนไพรไม่ใช่แค่เพื่อนำมารักษาอาการาเ็ของตู้โซ่วโซ่วแต่ในอนาคตหลังจากที่ทุกคนเริ่มบ่มเพาะ ยากนักจะหลีกเลี่ยงการาเ็หรืออุบัติเหตุเล็กๆ น้อย ๆ ได้ สมุนไพรที่ชวีเฟิงจื่อมีก็ล้วนเป็ของธรรมดา กระทั่งสมุนไพรระดับขั้นสีเขียวสักต้นก็ยังไม่มีให้เห็นยิ่งไม่ต้องพูดถึงนิกายเบิก์แห่งนี้ ที่แค่ยาเม็ดระดับพื้นฐานก็ยังไม่มีแม้แต่เม็ดเดียว
อันเจิงรู้วิธีระบุประเภทของสมุนไพร ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเข้าไปในเทือกเขาชางหมานและเสาะหามันด้วยตนเอง
ที่ใดก็ตามที่มีสมุนไพรขึ้น มักจะดึงดูดสายตาของผู้ที่คลั่งไคล้และอยากได้มันไว้ในเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มของนักหลอมโอสถและพวกที่ขุดหาสมุนไพรเลี้ยงชีพพวกเขายินดีเข้าไปเสี่ยง ขอเพียงแค่ได้พบกับลาภก้อนใหญ่สักครั้งต้องรู้ไว้ก่อนว่าสมุนไพรระดับสูงหนึ่งต้น สามารถขายได้ถึงหลายหมื่นตำลึงทองแล้ว จำนวนเงินเท่านี้เพียงพอให้พวกเขาใช้ชีวิตไปได้อีกนานโดยไม่จำเป็ต้องกังวลถึงเื่อาหาร เสื้อผ้า หรือที่อยู่อีก
ดังนั้นสมุนไพรที่ขึ้นอยู่บริเวณรอบ ๆโลกมายาทั้งหมด จึงถูกขุดรากถอนโคนไม่เหลือไปนานแล้ว สำหรับนักหลอมโอสถ เวลาพวกเขาเก็บสมุนไพรพวกเขาจะเด็ดมาเฉพาะใบและผลของมันเท่านั้น จะไม่ดึงออกมาทั้งราก เพราะ้าให้มันเติบโตและให้ผลผลิตต่อไปเรื่อยๆ แต่ชาวบ้านพวกนั้นไม่สนเื่นี้ขอแค่เจอสักต้นพวกเขาก็จะขุดออกมาทั้งหมดโดยไม่ให้เหลือแม้แต่เศษราก
อันเจิงหยิบมีดสั้นและกริชขึ้นมาในห้องเก็บอาวุธของนิกายเบิก์ไม่คิดว่าจะยังมีหน้าไม้ขนาดเล็กที่พอใช้งานได้อยู่หลังจากเตรียมเชือก เหล้าที่มีฤทธิ์แรง และเหยือกน้ำพร้อมแล้วเขาก็ออกจากนิกายไปอย่างเงียบ ๆ
ตอนนี้เป็เวลาเกือบเที่ยงวัน อันเจิงคาดการณ์ไว้ว่าเขาจะไปถึงป่าก่อนค่ำกะระยะจากที่นี่น่าจะต้องเดินอีกหลายสิบกิโลเมตร และคิดว่าระหว่างทางไม่น่าจะเจอสมุนไพรที่มีประโยชน์ใดๆ
อันเจิงตระเตรียมอาหารแห้งและน้ำดื่มไว้สำหรับสามวันเต็มตั้งใจใช้หนึ่งวันในการเดินทางไปให้ถึงเทือกเขาชางหมาน หนึ่งวันในการเสี่ยงโชคและอีกหนึ่งวันในการเดินทางกลับ
เทือกเขาชางหมานขึ้นชื่อเื่ความอันตรายและมีชื่อเสียงที่สุดในเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นแนวชายเขาลาดยาวไปั้แ่ทิศตะวันออกจนถึงทิศตะวันตก มีอาณาเขตติดกับแคว้นเล็ก ๆมากมาย แคว้นเยี่ยนแม้จะเป็แคว้นที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในบรรดาแคว้นทั้งหมดแต่กลับไม่อาจเทียบได้กับเทือกเขาชางหมานที่กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งเรียกได้ว่าต้องเดินจนเหนื่อยจริง ๆ
อันเจิงออกจากโลกมายาจงใจใช้เส้นทางที่คนธรรมดาไม่อาจเดินได้มุ่งหน้าสู่เทือกเขาชางหมานแม้เขาเพิ่งชำระล้างไขกระดูกมาและพร์ของเขาไม่ได้ดีเท่าไหร่ แต่ร่างกายของเขาแข็งแรงและยืดหยุ่นมากพอเดินมาได้หลายสิบกิโลเมตร ท้องฟ้าตอนนี้แทบจะแปรเปลี่ยนเป็สีดำสนิทแล้วเนื่องจากต้องคอยใช้มีดสั้นที่พกมาด้วยตัดเถาวัลย์และกิ่งไม้ที่ขวางทางอยู่ออกจึงทำให้การเดินทางล่าช้าลงไปกว่าที่กำหนดไว้มาก
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า เทือกเขาชางหมานในยามค่ำคืนนั้นเป็อย่างไรแต่หากกระทั่งผู้ฝึกพลังวัตรยังต้องหลีกเลี่ยง ก็พอจะเดาได้ว่าคงมีสิ่งน่ากลัวออกมาเคลื่อนไหวในตอนกลางคืนเป็แน่
แมวน้อยเสี่ยวช่านซุกตัวอยู่ในอกเสื้อของอันเจิงมันไม่ได้หลับ แต่กลับเบิกตาโพลงแล้วมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นตัว ดวงตาของเ้าแมวยิ่งสุกสว่างและงดงามมากขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีอันเจิงเอื้อมมือออกไปแตะมันเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “อดทนหน่อยนะพวกเราเดินต่ออีกนิดแล้วค่อยพัก จากนั้นพรุ่งนี้เช้าค่อยไปต่อ”
เสี่ยวช่านดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เ้านายของมันพูดมันส่งเสียงร้องเหมียวออกมาเป็เชิงขานรับ
มนุษย์และแมวเดินฝ่าป่าอันตรายไปท่ามกลางความมืดมิดดวงจันทร์ไต่สูงขึ้นมาลอยอยู่เหนือศีรษะแล้วอันเจิงแหงนหน้าขึ้นไปมองก็ตระหนักได้ว่า สมควรหยุดและหาที่พักที่เหมาะสมสักแห่งซ่อนตัว
กลิ่นอายอันตรายค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาใกล้และยิ่งเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
ล่วงมาจนถึงยามดึกสงัดและแล้วนักล่าก็ปรากฏโฉม!
อยู่ท่ามกลางป่าดึกดำบรรพ์เช่นนี้การเลือกปีนขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ไม่ได้ปลอดภัยมากนักเพราะอย่างบนต้นไม้เบื้องหน้านี้ ก็มีงูเหลือมขนาดั์ที่มีความยาวกว่าหนึ่งเมตรอาศัยอยู่
ต้องขอบคุณอันเจิงที่สายตาดี สามารถมองเห็นระยะไกลในความมืดได้ขณะที่เขากำลังมองหาสถานที่เหมาะสมในการพักผ่อนและซ่อนตัว ลมพายุสายหนึ่งจู่ ๆก็โฉบผ่านเหนือศีรษะไป อันเจิงมองตามเงาดำขนาดใหญ่ เห็นว่ามันไปหยุดตรงจุดหนึ่งกลางป่าลึกเสียงหวีดร้องของมันดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งป่า อันเจิงรีบหมอบตัวลงทันทีอดไม่ได้หัวเราะให้กับตัวเองเสียงเบา “นั่นคงเป็อินทรีลมกรด สัตว์อสูรระดับกลางขั้นสูงที่หาได้ยากยิ่งว่ากันว่าขนทุกเส้นบนตัวของมันล้วนเป็สมุนไพรที่มีระดับขั้นสีแดง!...ดูเหมือนมันจะออกมาล่าเหยื่อแต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่สนใจเหยื่อตัวเล็ก ๆ อย่างพวกเราเลย”
“อินทรีลมกรดแต่ไหนแต่ไรมามักจะอยู่โดดเดี่ยวการที่มันกล้าบินไปรอบ ๆ ป่าแล้วอวดอ้างตัวเองอย่างอหังการเช่นนี้ ตำแหน่งาาของที่นี่คงเป็มันอย่างไม่ต้องสงสัยอินทรีลมกรดมีลักษณะเฉพาะคือ มันจะออกล่าเมื่อพระอาทิตย์ตกดินและจะกลับเข้ารังทันทีเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแตะขอบฟ้าตอนนี้ที่รังของมันคงจะว่างเปล่า พวกเราไปพักที่นั่นกันเถอะเพราะคงไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้าบุกเข้าไปในรังของอินทรีลมกรดแน่”
แมวน้อยเสี่ยวช่านฟังแล้วหดหัวกลับเข้าไปแทบไม่ทันท่าทีดูหวาดกลัวไม่ใช่น้อย
อันเจิงยกมือขึ้นไปเคาะปลายจมูกมันเบา ๆ “อินทรีลมกรดมีกลิ่นตัวแรงพวกเราเดินตามกลิ่นของมันไป คิดว่าน่าจะหารังมันเจอได้ไม่ยาก”
ถ้าระดับการบ่มเพาะของอันเจิงยังอยู่ในขอบเขตแห่ง์เหมือนเมื่อก่อน เขาจะไม่รู้สึกกลัวเลยแต่นี่เขาเพิ่งผ่านการชำระล้างไขกระดูกมาหมาด ๆอินทรีลมกรดออกแรงเพียงนิดเดียวก็สามารถบดขยี้เขาได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่อาจไม่ระวัง
อันเจิงค่อย ๆ เดินตามกลิ่นของมันไปตลอดเส้นทางพวกเขาไม่พบอันตรายสักนิด แน่นอนว่าที่อยู่ของอินทรีลมกรดจะมีสัตว์อสูรตัวไหนกล้าเข้าใกล้บางทีอาจต้องขอบคุณในโชคของอันเจิงเดินมาได้ไม่นานในที่สุดเขาก็เห็นรังอินทรีลมกรดบนหน้าผาสูง
ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาอย่างเลือนรางอันเจิงกะขนาดรังของมันได้ว่าน่าจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบเมตร อย่างไรก็ตามไม่มีทางให้เดินขึ้นไปหากคิดจะขึ้นไปพักในรังของมันจริง ๆ มีทางเดียวคือต้องปีนหน้าผาขึ้นไปเท่านั้น
อันเจิงยัดแมวเข้าไปในอกเสื้อก่อนจะเริ่มปีนขึ้นไปบนหน้าผา
ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดสนิทมีเงาร่างของเด็กน้อยคนหนึ่งทั้งที่ตัวเล็กเพียงนั้นแต่กลับแลดูแข็งแกร่งยิ่งนัก รังของอินทรีลมกรดสร้างอยู่สูงขึ้นไปเหนือพื้นดินกว่าร้อยเมตรดังนั้นจึงไม่ใช่เื่ง่ายที่อันเจิงจะปีนขึ้นไปถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืนเช่นนี้ ยิ่งทวีความอันตรายมากขึ้นหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม กลางป่าลึกเช่นนี้ไม่มีสถานที่ใดจะปลอดภัยไปกว่ารังของอินทรีลมกรดแล้วใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม ในที่สุดอันเจิงก็มาถึงใต้รังของมันจนได้เมื่อเข้ามาใกล้อันเจิงถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วรังของอินทรีลมกรดตัวนี้มีขนาดใหญ่โตมากมากพอที่จะจุคนหลายร้อยคนได้อย่างสบาย
อันเจิงเก็บกวาดเศษซากและกิ่งไม้ในรังของมันครู่หนึ่งจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ
อย่างน้อยที่สุดในคืนนี้เขาก็สามารถหลับได้อย่างไม่ต้องกังวลแล้ว
รู้สึกได้ว่าเ้าแมวที่อยู่ในอกเสื้อขยับตัวไปมาหลายครั้งอย่างไม่สบายใจ อันเจิงก้มลงไปดูก็เห็นว่าดวงตางดงามของมันกำลังจ้องมาที่เขาเขม็ง