ผู้เฒ่าฮั่วเป็บุรุษที่มีเื่ราว
อันเจิงนั่งฟังเื่ของผู้เฒ่าฮั่วและหอสถิตดาราอย่างตั้งใจ
“ข้าเป็นักหลอมอาวุธทุ่มเทและมุ่งมั่นให้กับการหลอมอาวุธมาตลอดทั้งชีวิต สิ่งประดิษฐ์ที่เคยผ่านมือข้านั้นทุกชิ้นล้วนแต่ล้ำค่ามากเสียจนผู้คนทั้งยุทธภพต้องอิจฉาตาร้อน อย่างไรก็ตาม ในฐานะบิดาคนหนึ่งตัวข้าเรียกได้ว่าล้มเหลวอย่างแท้จริง ข้าไม่อาจขัดเกลาบุตรชายของตนให้กลายเป็ดั่งสมบัติล้ำค่าได้นี่ไม่อาจกล่าวโทษเขา ล้วนเป็เพราะข้าไม่ได้ตั้งใจสอนเขาให้ดีไม่ได้ดูแลและเอาใจใส่เขาให้มาก ปล่อยให้เขาบ่มเพาะและใช้ชีวิตตามลำพังั้แ่เด็กทุกครั้งที่เขามีปัญหาแล้วมาหาข้าข้ามักจะบอกเขาไปว่าข้ายุ่งมากและทิ้งให้เขาเล่นคนเดียวอยู่เสมอ...”
ผู้เฒ่าฮั่วกระดกเหล้าขึ้นดื่มพลางกล่าวพร้อมเสียงไอ“์เบื้องบนเป็ธรรมนัก คงเห็นว่าข้าไม่สนใจไยดีบุตรชายคนนี้ ดังนั้นจึงได้เอาเขากลับไป”
อันเจิงตบบ่าผู้เฒ่าฮั่วเป็เชิงปลอบใจ “แต่ท่านก็ไม่ได้ไปแก้แค้น”
ผู้เฒ่าฮั่วส่ายหัว “แก้แค้นหรือ?ที่ข้าไม่ไปแก้แค้นนั่นเพราะศัตรูหาใช่มู่ฉางเยียนไม่แต่เป็ตัวข้าต่างหาก อู่ฟูไม่ได้ตายด้วยเงื้อมมือของมู่ฉางเยียนมู่ฉางเยียนเพียงทำให้เขาาเ็สาหัสแต่ไม่ได้ลงมือฆ่า ที่อู่ฟูตาย เป็เพราะเขาทนเสียหน้าไม่ได้จึงฝืนกลืนเม็ดยาทองคำจักรพรรดิิลงไป”
อันเจิงฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปทันที...เม็ดยาทองคำจักรพรรดิิหรือที่ถูกอีกเรียกชื่อว่ายาอายุวัฒนะเป็สมบัติล้ำค่าที่สุดของสำนักฉานจงที่ยิ่งใหญ่ ว่ากันว่าสรรพคุณของมันนั้นพลิกฟ้าพลิก์อย่างแท้จริงท่านเ้าสำนักฉานจงสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้ ก็เพราะอาศัยเม็ดยาตัวนี้
หลังจากที่กลืนเม็ดยาตัวนี้ลงไปขั้นต่ำสามารถรับประกันได้เลยว่า จักรพรรดิิจะสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อย่างราบรื่นยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของจักรพรรดิิคนเก่า จะถูกสืบทอดต่อไปยังจักรพรรดิิคนใหม่ทั้งหมดนี่เป็สมบัติสุดยอดของสำนักฉานจงที่ไม่อนุญาตให้หลุดออกไปภายนอกคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าฮั่วจะมีมันไว้ในหนึ่งเม็ด
“ฉะนั้นแล้วสุดท้ายก็เป็ข้าที่ทำร้ายเขา”
ผู้เฒ่าฮั่วยกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง “ยาอายุวัฒนะเม็ดนั้นก็เหมือนกับตราประทับท้าทาย์ชิ้นนี้แต่เดิมก็ใช้เพื่อต่อชีวิตของเขา เขาเป็คนหัวรั้นซ้ำยังชอบเอาชนะข้ารู้อยู่แล้วว่า ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งเขาต้องเสียเปรียบให้แก่ผู้อื่น ดังนั้นข้าจึงใช้เวลาทั้งหมดสามสิบหกปีเพื่อหลอมตราประทับท้าทาย์ชิ้นนี้ขึ้นมาสละสมบัติระดับขั้นสีม่วงเพื่อสร้างมันขึ้น ยินยอมใช้เวลาอีกกว่าสิบปี เพื่อซ่อมแซมคทาสยบมารให้สำนักฉานจงแลกกับเม็ดยาอายุวัฒนะหนึ่งเม็ด ข้าคิดว่า ขอเพียงมียาอายุวัฒนะเม็ดนี้ บวกกับตราประทับท้าทาย์ที่ข้าสร้างขึ้นบุตรชายของข้าจะสามารถมีชีวิตที่ดีต่อไปได้”
“แต่ในตอนที่เขาาเ็สาหัสเพราะไม่รู้ถึงวิธีใช้งานเขาจึงได้กลืนเม็ดยาอายุวัฒนะลงไปโดยตรงร่างกายของเขาไม่อาจรองรับฤทธิ์ของเม็ดยาอายุวัฒนะได้หมดสุดท้ายร่างเขาก็ะเิออก...”
ผู้เฒ่าฮั่วมองไปที่อันเจิงและยิ้มอย่างขมขื่น “นานหลายปีแล้วที่ไม่มีคนมานั่งพูดคุยกับข้าเช่นนี้วันนี้ข้าก็เลยพูดมากไปสักหน่อย ขอท่านผู้นำนิกายโปรดอย่าได้เห็นเป็เื่แปลก”
อันเจิงส่ายหัว “ท่านผู้าุโอย่าได้เรียกข้าเช่นนี้ข้าแค่ล้อพวกเขาเล่นเท่านั้น”
“ไม่”
ผู้เฒ่าฮั่วกล่าว “บุตรชายข้าสร้างสำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์ขึ้นแต่เขาไม่มีความสามารถพอที่จะเปิดมันต่อไปได้ ข้าอยากให้เ้าเข้ามารับ่ต่อเมื่อวันก่อนที่เ้าพูดว่า เ้า้าเปลี่ยนชื่อสำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์เสียใหม่ให้กลายเป็นิกายเบิก์แล้วขยายมันให้ยิ่งใหญ่ขจรขจายไปทั่วทั้งใต้หล้า เ้าไม่รู้หรอกว่า หลังจากที่ข้าได้ฟังคำพูดนั้นข้ารู้สึกดีใจมากเพียงใดข้ารู้สึกเหมือนกับว่า ลมหายใจที่หายไปของอู่ฟูได้กลับมาแล้วเืเนื้อและหัวใจของอู่ฟูได้ฟื้นกลับคืนมาอีกครั้งแล้ว”
“ดังนั้นเ้าต้องรับตำแหน่งผู้นำนิกายนี้”
ผู้เฒ่าฮั่วหยิบกุญแจดอกเล็ก ๆดอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วโยนมันให้กับอันเจิง “นี่คือกุญแจที่ใช้เปิดมิติที่อยู่ในแท่นนวดาราภายในแท่นนวดาราจะมีโลกใบเล็ก ๆ อีกใบหนึ่งซ่อนอยู่ เ้ารู้หรือไม่ ทำไมข้าถึงใช้เวลายาวนานกว่าสามสิบหกปีจึงสร้างตราประทับท้าทาย์ชิ้นนี้เสร็จ? นั่นเพราะผลของมันคือสิ่งที่ท้าทายอำนาจ์อย่างแท้จริง”
“ตราประทับท้าทาย์คือสิ่งที่เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลาทั้งปวงเมื่อเ้าเข้าสู่โลกเล็ก ๆ ในแท่นนวดารา เ้าจะพบว่าเวลาที่เ้าใช้ฝึกฝนและบ่มเพาะนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยเวลาที่อยู่ข้างในจะเดินช้ามากจนเ้าััไม่ได้ หากเ้าเข้าไปอยู่ในนั้นหนึ่งปีเมื่อเ้าออกมา มันจะเท่ากับเวลาของข้างนอกเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้นและถ้าหากเ้าเข้าไปข้างในเป็ระยะเวลาสามปี เมื่อเ้าออกมาก็จะยังคงเป็วันนั้น วันที่เ้าเข้าไป”
อันเจิงหัวใจเต้นผิดจังหวะทันที “นี่ไม่ต่างอะไรกับการขัดความประสงค์ของ์เลย”
ผู้เฒ่าฮั่วกล่าว “มันคือสิ่งที่ใช้แย่งชิงเวลาจาก์อย่างแท้จริงดังนั้นแล้ว หากถูก์พบเข้า ของสิ่งนี้เกรงว่าคงไม่อาจรักษาไว้ได้อีก คงจะถูก์ทำลายเป็แน่แท้ด้วยเหตุนี้ข้าจึงซุกซ่อนมันไว้ในเหล็กอุกกาบาต หลอมรวมมันเข้ากับแท่นนวดาราและซ่อนตราประทับท้าทาย์ไว้ในแท่นนวดาราอีกที อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เคยเปิดใช้งานมันมาก่อนดังนั้นข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเ้าจะถูกทัณฑ์์หรือไม่ จะใช้หรือไม่ใช้สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเ้าแล้ว”
อันเจิงพยักหน้า “ขอบคุณท่านผู้าุโมากขอรับ!”
ผู้เฒ่าฮั่วส่ายหน้า “ข้าไม่เหลือสิ่งใดแล้วตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้ แทนที่จะทิ้งมัน แล้วปล่อยให้มันกลายเป็บ่อเกิดแห่งหายนะถูกผู้คนแย่งชิงมิสู้ส่งมอบมันให้กับผู้มีบุญมีวาสนาเสียยังจะดีกว่า เ้าเป็เด็กดีอุปนิสัยก็ไม่เลวแม้ว่าด้านการบ่มเพาะและการฝึกฝนจะไม่ได้ทรงพลังและมีพร์เฉกเช่นคนอื่น ๆแต่จากสายตาในการมองคนและประสบการณ์ที่สั่งสมมาเกือบร้อยปีของข้าข้าเชื่อว่าของสิ่งนี้อยู่ในมือเ้าดีกว่าไปตกอยู่ในมือของคนอื่น”
ชายชราลุกขึ้นยืนด้วยสภาพโงนเงนไม่มั่นคง“ในโลกของตราประทับท้าทาย์ยังมีข้าอีกคนหนึ่งอยู่ นั่นคือตัวข้าที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาโดยความมุ่งมั่นตลอดทั้งสามสิบหกปีของข้าดังนั้นในอนาคตแม้ว่าข้าจะตายไป หากเ้าประสบกับความยากลำบากใด ๆเ้าก็ยังสามารถถามเอาจากข้าที่อยู่ในตราประทับท้าทาย์ได้”
อันเจิงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น พูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่
ผู้เฒ่าฮั่วโบกมือเป็สัญญาณบ่งบอกให้อันเจิงไม่ต้องตามเขาไป “มนุษย์มีทั้งดีและชั่วเื่ราวมีทั้งถูกและผิด โลกเล็ก ๆ ที่อยู่ในตราประทับท้าทาย์นั้น ดีชั่วถูกผิดล้วนถูกกำหนดโดยผู้ที่และเข้าไปโลกมายาแห่งนี้ก็เป็โลกใบเล็ก ๆ อีกใบหนึ่งเช่นกันแต่เมื่อมันถูกมองมาจากโลกที่ใหญ่กว่า ก็เป็ได้เพียงเงาเล็ก ๆ จุดหนึ่งเท่านั้นดังนั้นแล้ว ข้าหวังว่าจิตใจของเ้าจะไม่ถูกความดำมืดและชั่วช้าของโลกภายนอกทำให้แปดเปื้อนเพราะถ้าใจเ้าไม่บริสุทธิ์ ตราประทับท้าทาย์ก็จะไม่บริสุทธิ์ตามไปด้วยดังนั้นจะขาวหรือดำทุกอย่างขึ้นอยู่กับเ้าแล้ว”
สาเหตุที่ผู้เฒ่าฮั่วไม่สามารถมองเห็นที่มาของอันเจิงได้ ไม่ใช่เพราะพลังบ่มเพาะของเขาด้อยกว่ามู่ฉางเยียนการที่มู่ฉางเยียนสามารถเดาความเป็มาของอันเจิงได้นั้น ก็ด้วยอาศัยการคาดเดาจากวิธีฝึกวรยุทธ์ขั้นสูงเล่มนั้นที่อันเจิงมอบให้แก่เสี่ยวชีเต้าส่วนแม่นางเยว่ ครั้งแรกที่นางเห็นอันเจิงก็แค่รู้สึกว่าตัวตนของเขาค่อนข้างพิเศษกว่าผู้อื่นเท่านั้นไม่ได้รู้สึกว่าความเป็มาของอันเจิงมีสิ่งผิดปกติแต่อย่างใดบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตาทิพย์ แม้แต่คนที่มีความแข็งแกร่งมากก็ไม่อาจมองลึกเข้าไปถึงจิติญญาของผู้อื่นได้
อันเจิงก้มลงไปมองลูกกุญแจในมือรู้สึกราวกับทุกอย่างเป็ความฝันตื่นหนึ่ง
ผู้เฒ่าฮั่วเดินไปด้วยแล้วก็ยิ้มไปด้วย “ไยเ้าไม่รีบไปบ่มเพาะพลังอีก?ด้วยศักยภาพร่างกายที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นนี้ไหนเลยจะยังมีเวลาให้เลอะเลือนได้?”
อันเจิงคุกเข่าลงทันที โขกหัวให้ผู้เฒ่าฮั่วหลายครั้งด้วยความตื้นตันใจอย่างถึงที่สุด
ฝีเท้าของผู้เฒ่าฮั่วชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้ายังไม่ใช่คนของนิกายหากข้าจะรับศิษย์ ก็จะรับเฉพาะศิษย์ที่คิดจะฝึกฝนทางด้านการหลอมอาวุธเท่านั้น ดังนั้นเ้าไม่จำเป็ต้องโขกหัวให้ข้าเช่นนี้ทุกอย่างล้วนเป็เพราะเ้าโชคดีก็เท่านั้น”
“ขอบคุณมากจริง ๆขอรับสำหรับน้ำใจของท่านผู้าุโ เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอปฏิเสธแล้ว”
ผู้เฒ่าฮั่วเงยหน้าขึ้นกระดกเหล้าลงคออึกใหญ่ “อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย รีบ ๆไปฝึกฝนเถอะ ด้วยศักยภาพของเ้าตอนนี้ไม่มีวันตามอัจฉริยะพวกนั้นทันแน่เ้าก็เห็นอยู่ว่า ศักยภาพของเ้าไม่สามารถเทียบกับคนอื่น ๆ ในนิกายนี้ได้เลยการฝึกฝนเพียงแค่หนึ่งวันของพวกเขา ก็เทียบเท่ากับการบ่มเพาะพลังตลอดทั้งปีของเ้าแล้วผู้ใดใช้ให้เ้าลุกขึ้นมาต่อยตีเสาไม้ตอนดึก ๆ ดื่น ๆ กันผู้าุโเช่นข้านอนไม่หลับนี่จึงเป็เหตุผลที่ข้ามอบตราประทับท้าทาย์ให้เ้า อย่างน้อย หากเ้าเข้าไปฝึกฝนในตราประทับท้าทาย์ตาแก่อย่างข้าก็ยังสามารถนอนหลับได้บ้าง จงจดจำไว้ให้ดีว่า มีเพียงเ้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ตราประทับท้าทาย์ได้เพราะสิ่งนี้สามารถเรียกทัณฑ์จาก์ ดังนั้น ยิ่งผู้ใช้มีความสามารถมากเท่าไหร่ทัณฑ์์ที่ถูกกระตุ้นลงมาก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น อันที่จริง การที่เ้ามีพร์ค่อนข้างแย่มาแต่เดิมบางทีนั่นอาจเป็โชคอย่างหนึ่งของเ้าก็ได้”
อันเจิงโขกหัวให้เขาสามครั้งด้วยท่าทีจริงจังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วคารวะผู้เฒ่าฮั่วอีกครั้งเพื่อแสดงความเคารพ
ผู้เฒ่าฮั่วเดินกลับไปที่ห้องของเขาแล้วเขาเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างแล้วยกเหล้าขึ้นดื่มด้วยแววตาเหม่อลอย
แต่เดิมอันเจิงยังมีความคิดที่จะพาตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆเข้าไปฝึกฝนในตราประทับท้าทาย์เพราะถ้าทำอย่างนั้นความเร็วในการฝึกฝนของเสี่ยวชีเต้าจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างก้าวะโแน่ๆ อย่างไรก็ตาม คำเตือนที่ผู้เฒ่าฮั่วให้ไว้ก็ไม่อาจเมินเฉยหลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนเขาก็ตัดสินใจว่าจะรอดูผลของทัณฑ์์ก่อนว่าเป็เช่นไร จากนั้นค่อยตัดสินใจอีกครั้ง
เมื่ออันเจิงกลับเข้ามาในห้องเรียนเขาก็เห็นตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆกำลังนั่งส่ายหน้าท่องจำตำราอย่างขะมักเขม้น แต่เมื่อขยับเข้ามาใกล้อีกนิดกลับพบว่าที่จริงแล้วตู้โซ่วโซ่วส่ายหัวเพราะว่าเขาง่วงนอนต่างหาก
ในเวลานี้เอง เสียงของใครคนหนึ่งก็ะโดังมาจากทางประตูของนิกายเบิก์อันเจิงเดินออกไปแล้วชะเง้อคอมอง เขาพบว่า นักเรียนสองสามคนในเครื่องแบบสีขาวของหอสมุดมายากำลังยืนเต๊ะท่าหาเื่อยู่ด้านนอกประตูสำนักหนึ่งในนั้นที่ดูเหมือนจะเป็หัวโจกของกลุ่มมีอายุประมาณสิบหกหรือสิบเจ็ดปีใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลา ชายหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่งผอมเพรียวเส้นผมถูกหวีและมัดรวบไว้อย่างประณีต ดอกหมู่ตานดอกหนึ่งที่ถูกเหน็บไว้ตรงบริเวณหูยิ่งส่งให้รัศมีรอบตัวของเขาแลดูชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น
“เ้าคืออันเจิงรึ?”
เด็กหนุ่มผู้เหน็บดอกไม้มองมาที่อันเจิงก่อนจะเชิดหน้าขึ้นและสบถเสียงใส่ในลำคอ “ข้าก็นึกอยู่ว่าเ้าเป็อัจฉริยะแบบไหนแต่เท่าที่เห็นก็แค่ไอ้ยาจกที่พอจะมีความสามารถอยู่บ้างเท่านั้น ได้ยินมาว่า เ้าท้าพนันกับท่านอาจารย์ใหญ่มู่ก็เลยอยากจะมาชี้แนะเ้าสักหน่อยจำใส่หัวสมองของเ้าไว้เสีย ชื่อของข้าคือโจวมู่ชาน ลูกศิษย์ของหอสมุดมายาในอีกครึ่งปีต่อจากนี้ข้าจะขอท้าดวลกับพวกเ้า”
อันเจิงมองชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
โจวมู่ชานพูดต่อ “แต่เดิมข้าก็แค่อยากจะมาดูหน้าไอ้พวกสวะที่กล้ามาท้าดวลกับพวกข้าแต่มาวันนี้บอกตรง ๆ ว่ารู้สึกผิดหวังนักน้ำหน้าอย่างพวกเ้าเอามาเป็ทาสข้ายังรู้สึกขายหน้าเลย ครึ่งปีต่อจากนี้ เมื่อพวกเ้าแพ้แล้วก็ทำลายการบ่มเพาะของตัวเองทิ้งเสียก็แล้วกัน”
ตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆ วิ่งออกมาจากห้องเรียนเมื่อได้ยินคำพูดโอหังของโจวมู่ชาน ตู้โซ่วโซ่วก็พลันเดือดพล่านชี้หน้าขึ้นด่าโจวมู่ชานที่ยืนอยู่หน้าประตูสำนักอย่างอดไม่ไหว “ไอ้หนู!อีกครึ่งปีท่านปู่ผู้นี้จะทุบตีเ้าให้บิดามารดาเ้าจำหน้าไม่ได้เลย!”
โจวมู่ชานสีหน้าเปลี่ยนเป็เ็าทันที “เ้าคงไม่อยากตายดีสินะ?”
ตู้โซ่วโซ่วไม่กลัวขยับขึ้นไปข้างหน้าอีกก้าว ยืดอกพูดด้วยน้ำเสียงดังลั่น “ถ้าเ้าทนไม่ไหวอยากถูกข้าบรรพบุรุษอัดท่านปู่เช่นข้าก็ไม่ติดใจหากจะต้องลงมือสั่งสอนบทเรียนเ้าล่วงหน้า”
โจวมู่ชานเตะประตูนิกายที่ถูกเปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่งปลิวทันทีแรงเตะนั้นมหาศาลยิ่งนัก มากเสียจนประตูไม้แตกกระจายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยเศษประตูส่วนหนึ่งปลิวเข้าใส่ตู้โซ่วโซ่วด้วยความรวดเร็ว
ตู้โซ่วโซ่วผ่านการชำระล้างไขกระดูกมาแล้วดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองน่าจะรับมือไหวนั่นเป็สาเหตุที่เขาไม่หลบเศษประตูที่ปลิวเข้ามาเวลานี้อันเจิงคิดอยากจะกระโจนเข้าไปช่วยก็ไม่ทันกาลแล้ว หมัดของตู้โซ่วโซ่วปะทะเข้ากับเศษประตูอย่างจังเห็นได้ชัดว่ากระดูกแขนของเขายามนี้แหลกไปเป็ที่เรียบร้อยแล้ว!
เศษบานประตูถูกทำลายจนแหลกละเอียดหลังจากออกหมัดไป ตู้โซ่วโซ่วก็เสียหลักจนกระเด็นออกมา ล้มก้นกระแทกกับพื้นแขนทั้งสองข้างตกลงข้างตัว บ่งบอกอาการกระดูกหักชัดเจน!
โจวมู่ชานแค่นเสียงใส่อย่างเ็า “ระดับการบ่มเพาะเพียงเท่านี้ยังมีหน้ามาท้าดวลกับหอสมุดมายา...ไม่รู้บิดามารดาของพวกเ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ถ้ายังมีชีวิตอยู่พวกเขาคงได้กระอักเืตายเพราะความอัปยศเป็แน่สวะอย่างพวกเ้าเกิดมาก็ชั้นต่ำพอแล้ว นี่ยังไม่รู้จักที่ยืนของตัวเองอีกอย่างพวกเ้าน่ะ เป็ขี้ข้าต่อไปก็ดีอยู่แล้วเชียวดันหวังสูงคิดปีนป่ายขึ้นมาเทียบเท่าชนชั้นสูงอย่างพวกข้า คิดจริง ๆหรือว่าพวกเ้าจะทำได้?”
“ข้าเริ่มบ่มเพาะั้แ่อายุสี่ขวบเลื่อนขึ้นมาอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นสองตอนอายุสิบขวบและขึ้นมาอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นสามตอนอายุสิบห้าอาศัยพลังของข้าเพียงคนเดียวก็สามารถล้างนิกายของพวกเ้าได้แล้ว!”
เขาเตะออกไปอีกครั้งกำแพงของนิกายก็พังครืนลงมาทันที
“จำใส่หัวไว้ซะสำนักศึกษาที่แกร่งที่สุดในโลกมายาแห่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือหอสมุดมายา”
“เด็กยากจนอย่างพวกเ้าไม่คู่ควรที่จะมาเป็คู่ต่อสู้ของพวกข้าแต่ในเมื่อท่านอาจารย์ใหญ่มู่ได้ให้โอกาสพวกเ้าเช่นนั้นข้าก็จะให้พวกเ้าได้มีชีวิตอยู่ต่ออีกครึ่งปีหลังจากนั้นดินแดนแห่งนี้จะไม่มีสำนักที่ชื่อนิกายเบิก์อะไรนี่อีกข้าจะให้พวกเ้าได้ใช้ชีวิตเหมือนสุนัขเร่ร่อน ครึ่งปีต่อจากนี้ พวกเ้าเตรียมไสหัวออกไปจากโลกมายาได้เลย”
โจวมู่ชานถ่มน้ำลายลงพื้นพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “ไอ้พวกขยะเอ๊ย”
ผู้เฒ่าฮั่วนั่งดื่มเหล้าอยู่ในห้องหรี่ตามองโจวมู่ชานด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก โจวมู่ชานหมุนตัวกลับมาเห็นผู้เฒ่าฮั่วมองมาที่ตนพอดีก็ด่ากราดไปด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ “มีปัญหาหรือไงไอ้แก่กล้ามองข้าอีกครั้งสิ ข้าจะควักลูกตาเ้าแล้วโยนให้สุนัขกินเสีย”
ผู้เฒ่าฮั่วไม่พูดอะไรทำเพียงนั่งดื่มเหล้าต่อไป
ฝ่ายโจวมู่ชานเมื่อรู้สึกว่าตนเองด่าจนพอใจแล้วเขาก็เดินขึ้นไปหยุดอยู่หน้าอันเจิง “ไอ้หนู ถ้าเอ็งกลัวจะหอบผ้าหนีไปตอนกลางคืนก็ได้นะ”
นิ้วของเขาจิ้มไปที่หน้าอกของอันเจิงติดต่อกันสามครั้ง “อย่าให้ท่านปู่ผู้นี้ได้เห็นหน้าเ้าอีกไม่อย่างนั้นเห็นเ้าหนึ่งครั้งข้าก็จะอัดเ้าหนึ่งครั้ง”
อันเจิงเดินเข้าไปช่วยพยุงร่างตู้โซ่วโซ่วขึ้น พูดด้วยใบหน้านิ่งสงบ “อีกครึ่งปี”
โจวมู่ชานหัวเราะร่วน “ไม่รู้จักที่ตายเสียแล้วไอ้หนูก็ดี เช่นนั้นอย่ามาหาว่าข้าไร้เหตุผลทีหลังก็แล้วกัน อีกครึ่งปีพวกเรามาเจอกันใหม่ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าเ้าจะอาศัยอะไรมาเอาชนะข้า ถ้าเ้าชนะจริง ๆข้ายอมคุกเข่าโขกหัวแล้วเรียกเ้าว่าบิดาเลย!”
อันเจิงผายมือไปทางประตูนิกาย “ไม่ส่ง”
โจวมู่ชานเชิดหน้าขึ้น ถ่มน้ำลายอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินจากไป
ในนิกายเบิก์ ทุกคนพากันกำหมัดแน่นแม้แต่เสี่ยวชีเต้าเองก็ยังระงับความโกรธเอาไว้ไม่อยู่