ปฏิกิริยาแรกของอันเจิงที่แสดงออกดูไม่ดีเลยจริง ๆ ทำไมถึงได้มีลูกนกอินทรีลมกรดอยู่ในนี้ได้
ไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองคงตาฝาดไปแน่
ถ้าหากมีสิ่งมีชีวิตอยู่ในรังนี้จริง ตอนที่เขาปีนขึ้นมาจะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ
แม้ว่าตอนนี้เขาจะอ่อนแอกว่าแต่ก่อนมากแต่ชาติภพก่อนเขาก็เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดมาแล้ว ดังนั้นััที่หกของเขาจึงแม่นยำมากทีเดียวนี่เป็สาเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้อะไรคิดมากเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า ผู้ที่มีพลังยิ่งใหญ่มักจะมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่แต่อันเจิงในตอนนี้ แม้จะไม่ได้มีพลังยิ่งใหญ่ ทว่าใจเขากลับใหญ่พอจะเผชิญหน้ากับอันตรายทั้งปวงที่ถาโถมเข้ามา
อันเจิงพิจารณาสิ่งนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง โดยอาศัยแสงจันทร์ที่สาดส่องเขาพบว่านั่นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่อย่างใด กลับเป็ซากศพของมนุษย์!
เป็ซากศพที่ไม่สมบูรณ์ซากหนึ่ง
เห็นกระดูกของศพที่มีความมันวาวราวกับหยกอันเจิงรู้ได้เลยว่า ระดับการบ่มเพาะของคนผู้นี้ก่อนที่จะตายอยู่ในระดับสูงมากเพราะไม่อย่างนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงลึกถึงขั้นกระดูกเช่นนี้แน่นอนส่วนอื่นของศพยังมีความสมบูรณ์ดี กะโหลกศีรษะไม่มีร่องรอยบุบสลาย มีเพียงกระดูกขาที่หายไป
ทันใดนั้นเอง อันเจิงก็สังเกตเห็นถึงแสงไฟสีเขียวที่ส่องมาจากเบ้าตาของซากศพ
“ผู้ฝึกตนขอบเขตจุลภาค?”
อันเจิงนิ่งไปครู่หนึ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า เหตุใดผู้ฝึกตนในขอบเขตจุลภาคถึงได้กลายมาเป็ศพอยู่ในรังของอินทรีลมกรดเช่นนี้ต้องรู้ก่อนว่าผู้ฝึกตนที่สามารถบ่มเพาะไปถึงขอบเขตจุลภาคได้มีน้อยมาก อินทรีลมกรดเป็เพียงสัตว์อสูรระดับกลางอาศัยพลังของผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตจุลภาค เพียงนิ้วเดียวก็สามารถเปลี่ยนให้มันกลายเป็เศษขี้เถ้าได้แล้ว
ดังนั้นคนผู้นี้ไม่น่าจะถูกฆ่าตายโดยอินทรีลมกรดน่าจะเป็เพราะอินทรีลมกรดเห็นว่า ศพนี้เป็ศพของผู้มีระดับการบ่มเพาะสูง จึงได้นำกลับรังมาด้วยและใช้แทะเล่นเป็อาหารว่าง
สำหรับอินทรีลมกรด การกินซากศพของผู้ฝึกตนในขอบเขตจุลภาคสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันได้เหมือนกันยิ่งกระดูกของเขายิ่งไม่ต่างอะไรไปจากสมุนไพรชั้นเยี่ยม อย่างไรก็ตาม อินทรีลมกรดไม่ได้ทรงพลังมากพอมันสามารถกินเนื้อและเืได้ แต่ไม่สามารถเคี้ยวกระดูกได้
กระดูกของผู้ฝึกตนในขอบเขตจุลภาคแข็งแกร่งพอๆ กับหยกคุณภาพเยี่ยม ขนาดสัตว์อสูรชั้นสูงยังยากจะที่ย่อยมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสัตว์อสูรชั้นกลางอย่างอินทรีลมกรด
คิดถึงตรงนี้อันเจิงไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมกระแสพลังที่แผ่ออกมารอบๆ ตัวอินทรีลมกรดถึงได้แปลกประหลาดเพียงนั้น เป็เพราะมันดูดซับพลังจากเนื้อหนังของผู้ฝึกตนในขอบเขตจุลภาคนี่เอง!
พรุ่งนี้เช้าก่อนจะจากไป อันเจิงวางแผนว่าจะเอากระดูกของคนผู้นี้ติดตัวไปด้วยแล้วค่อยหาสถานที่ดี ๆ สักแห่งฝังเขาอย่างน้อยก็เคยเป็ผู้ฝึกตนในระดับสูงเหมือนกันมาก่อนปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ดูจะน่าสงสารเกินไปสักหน่อย
อันเจิงทรุดตัวลงขณะที่กำลังจะเอนตัวลงนอนก็เห็นแสงอ่อน ๆ แสงหนึ่งส่องมาจากใต้กระดูก คราแรกเขานึกว่ามันเป็แสงจากกระดูกหยกของศพแต่ก็ไม่ใช่ หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วเขาพบว่ามันแตกต่างจากกระดูกหยกของศพอย่างสิ้นเชิง
อันเจิงคลานเข้าไปพลิกซากโครงกระดูกนั้นออกในที่สุดเขาก็พบบางอย่างวางอยู่ข้างใต้
สีหน้าของอันเจิงเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นของสิ่งนี้
นี่คือ...ปิ่นแมลงปอทับทิม!
ไม่มีใครคุ้นเคยกับของสิ่งนี้มากไปกว่าอันเจิงอีกแล้วฉับพลันเปลวเพลิงแห่งโทสะก็ลุกโชนโชติ่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ปิ่นแมลงปอทับทิมเป็ของแทนใจที่เสวี่ยเหมยไต้ เ้าตำหนักเทียนฮ่าวแห่งเทือกเขาหมอกเมฆามอบไว้ให้กับเขาเป็สมบัติส่วนตัวที่นางรักและหวงแหนมากที่สุด อันที่จริงมันคือปิ่นปักผมของนาง
เสวี่ยเหมยไต้เป็สตรีที่น่าอัศจรรย์และมีพร์สูงส่งปิ่นปักผมอันนี้แต่เล็กไม่เคยห่างจากตัวนางเลยสักครั้งดังนั้นตอนที่นางบ่มเพาะพลังมันจึงได้ดูดซับและบ่มเพาะตามไปด้วยไม่นานก็เลื่อนขั้นขึ้นมาจากปิ่นธรรมดาเป็สมบัติวิเศษ ภายหลังยิ่งเสวี่ยเหมยไต้ตั้งใจใช้หนามแมลงปอทับทิมชุบเลี้ยงมันปิ่นแมลงปอทับทิมอันนี้จึงได้เลื่อนระดับจากสีแดงขึ้นมาเป็สมบัติวิเศษระดับสีม่วง
อันที่จริงอำนาจหรือคุณสมบัติของมันไม่ใช่สิ่งที่อันเจิงสนใจแต่ความหมายแฝงของมันต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกกังวลทุกคนรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเทือกเขาหมอกเมฆากับกรมตุลาการแห่งราชสำนักต้าซีนั้นแแ่ขนาดไหนหากกรมตุลาการมีภัย เทือกเขาหมอกเมฆาจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่แน่
ไม่สนว่าคนผู้นั้นจะเป็ใครมาจากไหนขอแค่มีปิ่นปักผมอันนี้ติดตัวไปด้วยแล้วยื่นมันให้กับเสวี่ยเหมยไต้ดูนางจะเชื่ออย่างสนิทใจทันทีว่าบุคคลนี้คือสหายของอันเจิง...
เหงื่อเย็นไหลอาบไปทั่วแผ่นหลังหรือคนกลุ่มนี้วางแผนคิดจะกำจัดคนที่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมดหากใช้ปิ่นแมลงปอทับทิมอันนี้ พวกนั้นก็จะมีโอกาสเข้าใกล้เสวี่ยเหมยไต้และมีโอกาสสังหารนาง!
เห็นทีคนผู้นี้คงเป็หนึ่งในคนที่เคยลอบโจมตีอันเจิงแน่แล้ว
อันเจิงจับปิ่นปักผมไว้แน่นแม้ผ่านไปเนิ่นนานแต่หัวใจของเขากลับไม่อาจสงบลงได้เลย
การที่คนคนนี้มาตายอยู่ในเทือกเขาชางหมานสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากความขัดแย้งภายในเพราะตอนนั้นสมบัติวิเศษที่อันเจิงนำติดตัวมาด้วยมีอยู่ไม่น้อย ต่อให้เป็ผู้ฝึกตนในขอบเขตจุลภาคก็ไม่อาจต้านทานความโลภได้อันเจิงจำได้ชัดเจนว่า ผู้ฝึกตนที่เข้าโจมตีเขาในตอนนั้นอยู่ในขอบเขตมหภาคหลายสิบคนและขอบเขตจุลภาคอีกสามคนคิดว่านี่คงเป็หนึ่งในนั้น
อันเจิงพลิกรังของอินทรีลมกรดดูอีกหลายครั้งแต่นอกจากของสิ่งนี้ก็ไม่พบอะไรอีก
“สัญญาว่าจะเอาเ้ากลับไป”
อันเจิงพูดกับตัวเองก่อนจะหันไปมองซากศพด้วยแววตาเ็า “คงเป็เพราะ้าจะแย่งของของข้าถึงได้ถูกเก็บสินะตอนนั้นถึงข้าจะตายไปแต่ก็จำได้ว่าทำให้พวกเ้าาเ็ไม่น้อย คนที่ถูกข้าทำลายขาทิ้งเห็นทีคงเป็เ้าน่าเสียดายที่ข้าไม่รู้จักตัวตนของเ้าเลย”
อันเจิงพูดไปก็สังเกตเห็นว่า ตรงศีรษะของโครงกระดูกนี้มีจุดที่แตกต่างจากคนทั่วไปอยู่บริเวณหน้าผากของหัวกะโหลกมีรอยร้าวเล็ก ๆ ที่เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้มาจากอาการาเ็ภายหลังมันคือสิ่งที่มีติดตัวมาั้แ่กำเนิด...นี่คือตาที่สาม!
“ที่แท้ก็คนตระกูลหยาง!”
ในที่สุดอันเจิงก็ไขข้อข้องใจได้การที่พวกลอบโจมตีในครานั้นสวมชุดดำปิดหน้าปิดตามิดชิดมิใช่เพื่อสิ่งใด แต่เพื่อปิดบังดวงตาที่สามที่เป็ลักษณะเฉพาะของคนตระกูลหยาง
อันเจิงบิดปิ่นแมลงปอทับทิมเบา ๆกลไกเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ก็ทำงานทันทีมิติขนาดเล็กปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อนจะดูดเอาซากศพเข้าไป อันเจิงพึมพำกับตัวเองเสียงเบา“ศักยภาพของตู้โซ่วโซ่วอ่อนด้อยเกินไป ต่อให้พยายามฝึกฝนอย่างหนัก ด้วยเวลาเพียงครึ่งปีไม่มีทางเอาชนะโจวมู่ชานได้แน่มีกระดูกของผู้ฝึกตนในขอบเขตจุลภาค อย่างน้อยก็สามารถนำไปหลอมกับสมุนไพรสร้างเป็โอสถิญญาได้โอสถิญญาสามารถยกระดับศักยภาพตู้โซ่วโซ่วให้สูงขึ้นแต่ปัญหาติดอยู่ตรงที่ข้าไม่มีเตาหลอมโอสถนี่สิ”
นี่คงเป็สิ่งที่เรียกว่าลาภลอยสินะหลังจากคลายความโกรธลง อันเจิงพลันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อย
ถ้าคนที่ถือปิ่นแมลงปอทับทิมนี้ไม่ตาย บางทีอาจเกิดเื่ขึ้นกับเสวี่ยเหมยไต้แล้ว
หลังจากพักอยู่ครู่หนึ่งอันเจิงก็หยิบถุงผ้าที่นำติดตัวมาด้วยออกมา แล้วโกยของต่าง ๆ ที่อยู่ในรังอินทรีลมกรดลงไปจากนั้นก็นำถุงเข้าไปเก็บไว้ที่มิติในปิ่นปักผม
คืนนั้นเขาไม่กล้านอนทันทีที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างเขาก็ปีนลงมาจากรังแล้วไต่ไปตามหน้าผาสูง
อย่างไรก็ตาม เดินไปได้เพียงครึ่งทางอันเจิงก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองช่างโง่บัดซบ อินทรีลมกรดเป็สัตว์อสูรที่มีระดับสูงเพียงนั้น พวกมันจะไม่มีสมบัติเก็บไว้เลยหรือสัตว์อสูรยิ่งระดับสูงเท่าไหร่มันก็ยิ่งชื่นชอบสมบัติมากขึ้นเท่านั้น
อินทรีลมกรดเป็ดั่งราชันของสัตว์อสูรทั้งปวงในบริเวณนี้สมบัติของมันจะต้องซ่อนอยู่ใกล้ ๆ หน้าผาแน่ อันเจิงคาดการณ์ว่า ภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรรอบรังของอินทรีลมกรดต้องมีถ้ำที่ใช้เก็บสมบัติล้ำค่าของมันอยู่อย่างแน่นอน
ขณะที่เขากำลังนำแมวออกมาเพื่อช่วยกันมองหาถ้ำ จู่ ๆเขาก็เห็นเงาดำเงาหนึ่งบินเข้ามาจากระยะไกล
ซวยแล้ว!
อันเจิงะโร้องลั่นในใจ ไม่คิดเลยว่าอินทรีลมกรดจะกลับมาเร็วขนาดนี้
ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาในปัจจุบันไม่มีทางต่อกรกับอินทรีลมกรดได้แน่ ต่อให้มีตัวเขาเพิ่มขึ้นมาอีกพันคนไม่สิต่อให้เพิ่มมาอีกหมื่นคนก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ความสิ้นหวังกอบกุมไปทั้งหัวใจอันเจิงไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดมิติที่อยู่ในปิ่นปักผมออกมา ก่อนจะหยิบของบางอย่างที่อยู่ในถุงผ้าแล้วทามันไปทั่วร่างกายโดยเร็วที่สุด...นี่คือมูลของอินทรีลมกรด
แต่เดิมอันเจิงคิดจะพกมันไปด้วยเผื่อใช้ป้องกันตัวในเวลากลางคืน สัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในป่าแห่งนี้ มองอินทรีลมกรดเป็เสมือนดั่งเ้าเหนือหัวของพวกมันดังนั้นพวกมันย่อมไม่กล้าเข้าใกล้ อันเจิงคิดจะใช้มูลของอินทรีลมกรดสร้างเป็อาณาเขตเล็กๆ ของตัวเองยามที่เขาพักผ่อน แบบนี้นอกจากจะไม่ต้องกังวลเื่หาที่พักยังสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของพวกสัตว์อสูรได้ด้วย
แต่ใครเล่าจะไปคิดว่า อินทรีลมกรดจะกลับมาเร็วขนาดนี้?อันเจิงไม่มีทางเลือกอื่นได้แต่กล้ำกลืนเอ่ยขอโทษตัวเองและเ้าแมวในใจแล้ว
เขาปาดมูลลงบนร่างของตัวเองกับแมวด้านข้างหน้าผาฟากหนึ่งมีรอยร้าวอยู่ รอยร้าวนี้มีขนาดไม่กว้างมาก แต่ก็กว้างพอให้เด็กอายุสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่งเข้าไปซ่อนตัวได้โชคดีที่อันเจิงรูปร่างผอมเพรียวเขาจึงสามารถมุดเข้าไปซ่อนตัวได้อย่างไม่ลำบากมากนัก
อันเจิงเพิ่งจะเข้าไปซ่อนตัวได้ไม่นานอินทรีลมกรดก็กลับมาถึงรังมันบินร่อนลงมาพร้อมกับลมกระโชกแรง
ไม่แปลกใจเลยหากมันจะโกรธมากหลังจากกลับถึงรัง ผู้ใดใช้ให้สมบัติของมันหายไปหมดเล่า?
อินทรีลมกรดกระพือปีกแล้วบินขึ้นไปอีกครั้งคำรามร้องเสียงดังลั่นก่อนจะปล่อยรังสีอำมหิตไปทั่วทุกทิศทาง
เสียงคำรามของมันดังไปไกลหลายสิบกิโลเมตรสัตว์อสูรที่อยู่ในอาณาเขตใกล้ ๆ ล้วนตกอยู่ท่ามกลางความโกลาหลเนื่องจากไม่สามารถหาตัวผู้ที่ขโมยสมบัติของมันออกไปได้ อินทรีลมกรดจึงเริ่มกวาดล้างสัตว์อสูรทุกตัวที่มันเห็นตลอดเส้นทางการบินของมันมีแต่คราบโลหิตและเศษซากที่เหลือจากความบ้าคลั่งสัตว์อสูรน้อยใหญ่พากันซุกตัวหลบอยู่ในที่ซ่อน ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
อินทรีลมกรดตัวนี้มีความยาวปีกประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบเมตรทุกครั้งที่มันขยับปีกจะมีพายุขนาดย่อมปรากฏขึ้นอันเจิงพยายามมุดเข้าไปในร่องหินให้ลึกที่สุด แต่ยิ่งมุดเข้าไปเขากลับพบว่า มันไม่มีทางให้ไปต่อได้อีกจึงได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกสุดของรอยแตกในกำแพงหิน มองดูอินทรีลมกรดขยับปีกของมันด้วยความเกรี้ยวกราดบ้าคลั่งอึดใจต่อมาอินทรีลมกรดก็บินออกไปไกล
อันเจิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกคิดกับตัวเองว่าข้านี้ช่างโชคดีจริง ๆ ที่ตัดสินใจเอามูลของอินทรีลมกรดมาพอกตัว...
เขาดันตัวเองออกจากร่องหินเล็กเพื่อพักผ่อน แต่ก็ไม่ได้ออกไปด้านนอกแต่อย่างใดทอดสายตามองออกไปข้างนอกเห็นว่า อินทรีลมกรดยังคงโบยบินอยู่เหนือน่านฟ้าค้นหาเ้าชั่วที่ขโมยของของมันไปไม่หยุดเพราะหาตัวหัวขโมยไม่เจอสักที จำนวนของสัตว์อสูรที่ต้องมาสังเวยชีวิตก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ป่าซึ่งถูกทำลายด้วยอำนาจวายุกว้างไกลหลายร้อยกิโลเมตร เพียงพริบตาสภาพป่าบริเวณรอบๆ ก็อยู่ในสภาพย่อยยับพังพินาศ
เสียงคร่ำครวญโหยหวนดังมาจากอีกฟากของป่าแม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อันเจิงก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองเป็ต้นเหตุทำให้สัตว์อสูรไม่รู้อีโหน่อีเหน่พวกนั้นต้องมารับเคราะห์แทน
หลังจากบินวนไปอีกหลายรอบอินทรีลมกรดก็กลับมาที่รัง
อันเจิงซึ่งกำลังพักผ่อนอย่างชะล่าใจอยู่รีบเด้งตัวขึ้นทันทีที่ััได้ถึงสายลมแรงและกลิ่นเหม็น เขามองออกไปจากรอยแยกพลันก็สบเข้ากับดวงตาดุร้ายของอินทรีลมกรดซึ่งกำลังมองมาทางนี้พอดิบพอดี
ไม่รู้ว่าอินทรีลมกรดพบที่ซ่อนนี้ได้อย่างไรแต่ทันทีที่มันพบว่า คนที่ขโมยของมันไปเป็เพียงมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยผู้หนึ่ง มันก็กลับมาตบะแตกอีกครั้ง
จะงอยปากที่คล้ายทำขึ้นจากเหล็กชั้นดีจิกเข้าไปที่กำแพงหินอย่างบ้าคลั่งหินก้อนแล้วก้อนเล่าตกกระทบลงกับพื้น
อันเจิงคลานเข้าไปหยุดตรงส่วนลึกของรอยแยกเนื่องจากระยะห่างระหว่างปากทางเข้าถึงตรงนี้มีเพียงแค่สิบกว่าเมตรเท่านั้น และดูจะรั้งอินทรีลมกรดได้อีกไม่นานเขาจึงตัดสินใจหยิบปิ่นแมลงปอทับทิมขึ้นมาแล้วใช้มันเจาะผนังถ้ำด้านในทันทีปลายของปิ่นแมลงปอทับทิมมีความคมมาก สามารถใช้มันแทนใบมีดได้อย่างไม่มีปัญหาอย่างไรก็ตาม ปิ่นอันนี้ก็เป็ถึงสมบัติวิเศษในระดับขั้นสีม่วง แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะของอันเจิงในปัจจุบันย่อมไม่อาจควบคุมมันได้สุดท้ายจึงได้แต่ใช้ปิ่นต่างขวาน มิได้เปิดใช้งานอำนาจของมันโดยตรง โชคดีที่ปิ่นอันนี้มีความคมชนิดที่ว่ายากจะหาสิ่งใดเปรียบถึงแม้จะมีขนาดเล็กไปสักหน่อยแต่ก็สามารถตัดผนังหินได้ง่ายดายไม่ต่างอะไรไปจากการตัดก้อนเต้าหู้
อันเจิงขุดลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ด้านนอกอินทรีลมกรดก็กำลังพยายามทำลายรอยแยกนั้นอย่างไม่ลดละจนูเาทั้งลูกสั่นะเื
ด้วยความช่วยเหลือของปิ่นแมลงปอทับทิมที่แสนคมกริบในที่สุดอันเจิงก็สามารถเจาะลึกเข้าไปได้อีกหกถึงเจ็ดเมตร ก่อนจะร่วงลงไปแบบไม่ทันตั้งตัว
ต้องบอกก่อนว่าพื้นที่ด้านล่างตรงนี้มีขนาดใหญ่มาก หลังจากตั้งสติได้แล้วอันเจิงก็หันหน้ากลับไปมองอินทรีลมกรดอีกครั้ง ตลอดเส้นทางเป็เพราะเขาจดจ่ออยู่กับการขุดถ้ำและระวังภัยด้านหลังจึงไม่ได้สนใจหลุมหรือร่องต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณด้านข้างเลยนั่นจึงเป็สาเหตุที่ทำให้เขาร่วงลงมานั่งจุ้มปุกแบบนี้
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดพิจารณาอันเจิงหยัดตัวขึ้นก่อนจะเดินไปข้างหน้า เพราะเขาเสียแรงไปมากกับการขุดถ้ำ ดังนั้นจึงต้องอาศัยผนังถ้ำในการพยุงตัวเดินต่ออันเจิงพบว่า ยิ่งเขาเดินเข้ามาลึกมากเท่าไหร่ เส้นทางด้านในก็ยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มันกว้างมากกว่าหนึ่งเมตรแล้วเวลาเดินจึงให้ความรู้สึกสบายและไม่อึดอัดเท่าก่อนหน้าอีก ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือไม่แต่ผนังของทางเดินนี้ดูราบเรียบมาก ราวกับถูกสร้างขึ้นมาโดยฝีมืุ์อย่างไรอย่างนั้น
เสียงเกรี้ยวกราดบ้าคลั่งของอินทรีลมกรดจากด้านนอกไล่หลังมาติดๆ อันเจิงไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ กัดฟันพยุงร่างของตนให้มุ่งไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
เดินมาได้อีกครู่ใหญ่ก็เห็นว่า อีกราว ๆสิบเมตรด้านหน้ามีจุดซึ่งคล้ายสะพานแขวนห้อยอยู่
ไม่รู้ว่าสะพานแขวนนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อใดแต่ดูจากความเสียหายแล้ว อันเจิงคาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ที่นี่มาได้อย่างน้อยสองถึงสามร้อยปีแล้วเนื่องจากสะพานที่ยื่นออกไปทำมาจากหินแกะสลักสวยงาม มิได้ทำจากไม้เขาจึงไม่กังวลว่าตัวเองจะร่วงลงไปหากเหยียบมัน กระนั้นก็ยังมีทางเดินบางส่วนที่เสริมด้วยแผ่นไม้ที่ผุพังไปแล้วทำให้ต้องคอยระวัง
ไม่มีเวลาให้เขาได้ขบคิดมากเพราะอินทรีลมกรดไล่หลังมาติดๆ อันเจิงจึงได้แต่ะโขึ้นสะพานที่ไม่รู้ว่าจะโค่นลงมาเมื่อไหร่นี้ไป
เขาค่อย ๆเดินไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง ะโไต่ไปตามแผ่นหินบนสะพานอย่างรอบคอบหลังจากเดินมาได้ราวหนึ่งกิโลเมตร ในที่สุดเขาก็มาถึงปลายทาง
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเบื้องหน้าทำให้เขาอดไม่ได้ต้องเบิกตากว้างด้วยความอัศจรรย์ใจ
บนกำแพงหินคือภาพวาดขนาดใหญ่ซึ่งสีได้เลือนหายไปนานแล้ว