ก่อนอันเจิงจะเข้ามาแล้วค้นพบที่นี่เขาคิดอยู่เสมอว่าโลกมายาคือสถานที่เพียงแห่งเดียวในเทือกเขาชางหมานที่มีมนุษย์อาศัยอยู่
แต่บัดนี้ดูเหมือนเขาคิดจะผิดเสียแล้ว!
อย่างไรก็ตาม หากไม่จนตรอกจริง ๆใครหน้าไหนจะอยากเข้ามาอยู่ในสถานที่สิ้นหวังแบบนี้ ทุกคนล้วนถูกบีบบังคับให้ต้องมาหลบภัยอยู่ที่นี่ทั้งนั้นคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ หากไม่ใช่ประชาชนทั่วไปที่ถูกบีบให้ร่วมา ก็เป็พวกอันธพาลหรือโจรชั่วที่ถูกตั้งค่าหัวและถูกตามล่าแม้เหตุผลแตกต่างแต่ผลลัพธ์กลับไม่ต่างกันมาก ดังนั้นในความคิดของพวกเขาคือ เมื่อไม่ว่าเลือกทางไหนก็ต้องตายอยู่ดีเช่นนั้นไปตายเอาดาบหน้าไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยหากพวกเขาเลือกเข้ามาอยู่ในเทือกเขาชางหมานบางทีพวกเขาอาจจะมีชีวิตรอดต่อไปได้
กับสถานที่โหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้ไม่รู้คนแบบไหนว่างมากถึงขนาดมาสร้างสะพานแขวน ฉาบผนังถ้ำ รวมถึงรังสรรค์ภาพฝาผนังงดงามแบบนี้ขึ้น?
อย่างไรก็ดี การปรากฏตัวขึ้นของภาพวาดบนฝาผนังใช่ว่าจะไม่มีที่มาที่ไปเสียทีเดียวภาพวาดฝาผนังเป็ที่นิยมและรุ่งเรืองอย่างมากในเขตการปกครองของสำนักฉานจงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบหนานเจียงและซีเฉิงแต่กลับไม่เป็ที่สนใจเท่าไหร่ในเขตเป่ยเจียงที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย เนื้อหาของภาพวาดฝาผนังส่วนใหญ่หากไม่เพื่อบันทึกพิธีกรรมสำคัญของนิกาย ก็เพื่อบันทึกประเพณีท้องถิ่น หรือไม่ก็สลักไว้เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์สำคัญต่างๆ
และจากที่อันเจิงสังเกตดู พบว่าภาพนี้เหมือนกับภาพเหตุการณ์า
เนื้อหาของภาพวาดบนฝาผนังทุกภาพ ล้วนแสดงให้เห็นถึงฉากการต่อสู้และการนองเืภาพส่วนแรกเป็ภาพคล้ายกับผู้ใช้แรงงานกำลังขุดหาอะไรบางอย่างอยู่แต่เพียงไม่นานพวกเขาก็ถูกกลุ่มสิ่งมีชีวิตหนึ่งซึ่งวิ่งออกมาจากความมืดสังหารจนหมดภาพต่อมาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ขบวนทัพบุกเข้ามาในูเาในนั้นยังมีผู้ฝึกตนที่สามารถบังคับกระบี่บินได้ด้วยภาพสุดท้ายแสดงให้เห็นถึงชัยชนะของฝ่ายกองทัพและเหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มสิ่งมีชีวิตสีดำถูกขับไล่และถูกสังหารไปเป็จำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาพวาดบนฝาผนังภาพนี้ถูกทิ้งไว้เป็เวลานานมากแล้วเนื้อหารวมถึงสีที่ใช้วาดส่วนใหญ่จึงหลุดลอกหายไปจนแทบไม่เหลืออะไรไว้ให้เห็นอีก
อินทรีลมกรดด้านหลังยังคงไล่จี้มาอย่างไม่ลดละอันเจิงเห็นว่า อยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่ดีแน่เลยตัดสินใจข้ามสะพานหินผุพังนี้ต่อไล่ปีนไปตามเศษหินที่แตกหัก หลังจากผ่านมาได้ประมาณห้าถึงหกกิโลเมตรบรรยากาศรอบตัวจู่ ๆ ก็สดชื่นขึ้นอย่างน่าประหลาด
สุดทางเดินมีรอยแตกขนาดใหญ่รอยหนึ่งอยู่หลังจากเดินเข้าไปใกล้แล้วส่งสายตามองออกไปด้านนอก ภาพหุบเขาอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาอันเจิงเนื่องจากเส้นทางที่อันเจิงเลือกใช้เป็เส้นทางทิศใต้และอยู่ในมุมสูงเขาจึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนทางออกบริเวณฝั่งตะวันออกและตะวันตกมีขนาดเล็กและแคบมากเมื่อมองจากมุมนี้ ทางออกฝั่งทิศเหนือซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามแม้จะใหญ่กว่าสองฟากที่เหลือนักแต่ก็ยังเล็กกว่าทางออกเส้นนี้ของเขาอยู่ดี อีกทั้งดูจะมีเส้นทางคดเคี้ยวเดินลำบากพอสมควร
หลังจากเข้ามาในหุบเขาแล้ว เ้าแมวที่เอาแต่ซุกตัวอยู่ในอกเสื้อของอันเจิงมาโดยตลอดก็โผล่หัวออกมามันยื่นหน้าเล็ก ๆ ออกไปพร้อมสอดส่ายสายตามองไปทั่วด้วยความตื่นเต้นเสี่ยวช่านส่งเสียงร้องครางเบา ๆ จักรวาลดวงดาวเล็ก ๆ ในดวงตาของมันหมุนเร็วขึ้น
อันเจิงค่อย ๆไต่ลงมาตามทางบันไดบนหน้าผา เมื่อมาถึงตีนเขาถึงได้พบว่า พืชพันธุ์ทั้งหมดที่ขึ้นอยู่ที่นี่แตกต่างจากที่อื่นๆ โดยสิ้นเชิง
จะไม่ให้เขาตื่นเต้นและประหลาดใจได้อย่างไรเล่า ในเมื่อพืชพันธุ์ทุกชนิดที่ขึ้นอยู่ที่นี่ล้วนเป็สมุนไพรที่มีระดับขั้นสีขาวขึ้นไปทั้งสิ้นกระทั่งระดับขั้นสีแดงยังมีให้เห็นละลานตา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอินทรีลมกรดถึงได้หวงที่นี่นักที่แท้หุบเขาแห่งนี้ก็คือสวนสมุนไพรชั้นยอดนี่เอง!
เมื่อลองสังเกตดูดี ๆอันเจิงเห็นว่าสวนสมุนไพรเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาจากฝีมืุ์แน่นอน อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันถูกทิ้งร้างมานานปี สมุนไพรที่เติบโตขึ้นจึงมีสภาพรกและยุ่งเหยิงมาก
ท่ามกลางกองสมุนไพรที่ขึ้นรกรุงรังอันเจิงยังสังเกตเห็นก้อนหินขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งถูกซ้อนทับกันจนกลายเป็สันเขาขนาดย่อมแต่ส่วนใหญ่พวกมันก็ถูกเถาวัลย์และต้นหญ้าปกคลุมไปหมดแล้ว
แม้สภาพร่างกายของเขาตอนนี้จะค่อนข้างแย่แต่อันเจิงก็ยังบังคับตัวเองให้เดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ และยิ่งเขามองไปรอบ ๆมากเท่าไหร่ ความตื่นตระหนกในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มพูน
เนื่องจากสวนสมุนไพรเหล่านี้ไม่ได้ถูกแตะต้องและทำลายการเติบโตและขยายพันธุ์ของพวกมันจึงแทบเรียกได้ว่าไร้ซึ่งกฎเกณฑ์อย่างสิ้นเชิงยกตัวอย่างเช่นโสมป่าระดับสี่ขึ้นไปพวกนั้น มันหาได้ยากมาก ๆ ในเมืองหลวงแต่ที่นี่ขั้นต่ำก็มีหลายไร่ ทั้งยังมีหลินจือหยกดอกใหญ่และดงหญ้ากระดูกงูอีก...ที่นี่คือหุบเขาอภิมหาขุมทรัพย์ชัดๆ
หากการมีอยู่ของที่นี่ล่วงรู้ไปถึงหูผู้คนภายนอก คงได้นำมาซึ่งาอย่างไม่ต้องสงสัยและเพื่อให้ได้สวนสมุนไพรแห่งนี้ไปไว้ใน เยี่ยนโยวสิบหกแคว้นคงไม่ลังเลหากต้องเปิดศึกแย่งชิงกันไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนในยุทธภพ ถ้าหากพวกเขารู้ทะเลโลหิตคงได้ย้อมอาบไปทั่วผืนปฐี และที่นี่คงได้กลายเป็หลุมฝังศพของผู้ฝึกตนจำนวนมาก
เพราะได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมอันสมบูรณ์ของที่นี่พืชสมุนไพรสามัญบางชนิดจึงแปรเปลี่ยนกลายเป็สมุนไพริญญา ซึ่งที่นี่ก็มีั้แ่ระดับขั้นสีเขียวไปจนถึงระดับขั้นสีขาว
อันเจิงรู้สึกติดใจมากจริง ๆเขาสงสัยว่าดินของที่นี่จะต้องมีความลับบางอย่างแน่
หลังจากเดินไปได้เกือบสองกิโลเมตร ก็เห็นกระท่อมมุงด้วยจากหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางสวนสมุนไพร
“มีใครอยู่บ้างหรือไม่?”
อันเจิงลองถามออกไปแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
เขาค่อย ๆก้าวขึ้นไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังหลังจากเห็นว่าหน้าต่างของกระท่อมบานหนึ่งถูกแง้มไว้ จึงได้ลองชะโงกหน้าเข้าไปดูและตอนนั้นเองที่เขาเห็นคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น
อันเจิงรีบหยุดฝีเท้าของตัวเองทันทีก่อนจะประสานมือเข้าด้วยกัน “ขออภัยที่ผู้เยาว์บุกรุกเข้ามาโดยพลการรบกวนการบ่มเพาะของท่านผู้าุโแล้ว ขอผู้าุโโปรดอภัยด้วย”
แม้ที่แห่งนี้จะรกร้างไปบ้างแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเ้าของดังนั้นอันเจิงจึงคิดไว้แต่แรกแล้วว่า หากเขาเจอเ้าของสวนสมุนไพรแห่งนี้ เขาก็จะลองขอสมุนไพรจากคนผู้นั้นดูหากเ้าของสวนนี้ไม่เต็มใจจะให้ อันเจิงย่อมไม่กล้ารั้งอยู่ต่อยินดีจากที่นี่ไปแต่โดยดี
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจเห็นคนผู้นั้นไม่ตอบกลับมาแม้แต่ประโยคเดียว อันเจิงก็รู้สึกโกรธอยู่บ้าง
ตัดสินใจก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกหลายก้าวกระนั้นภาพที่ปรากฏสู่สายตากลับทำเอาอันเจิงแทบสติหลุด นิ่งอึ้งไปพักใหญ่ นั่นเพราะชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้กลายเป็ซากศพแห้งๆ ไปแล้ว ไม่รู้ว่าตายมานานแค่ไหนแต่จากความสมบูรณ์ของศพบวกกับสภาพแวดล้อมอันยอดเยี่ยม ที่ทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยลมปราณและห้อมล้อมไปด้วยสวนสมุนไพรต่อให้เขาตายมานานมากแล้วจริง ๆ ก็สามารถรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อยได้อย่างง่ายดาย
ร่างของผู้าุโเบื้องหน้าเป็เพศชายดูแล้วค่อนข้างมีอายุ เขานั่งหันหน้าไปทางหน้าต่างและมองออกไปข้างนอก เนื่องจากดวงตาไม่ได้ถูกทำลายหรือมีสภาพเสียหายดังนั้นจึงยังมองเห็นความเหงาและความโดดเดี่ยวในแววตาของเขาได้เลือนรางแม้ิัจะเหี่ยวเฉาและซีดขาวลงไปแล้ว แต่อันเจิงบอกได้เลยว่า ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่รูปร่างหน้าตาของเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนบรรยากาศรอบตัวที่แผ่ออกมาจาง ๆ ยังคงความยิ่งใหญ่น่าเคารพไว้ไม่สูญสลาย
“คงเป็ท่านผู้าุโผู้ทรงธรรมเร้นกายเข้ามาอยู่อย่างสันโดษกระมัง”
อันเจิงปรับเปลี่ยนท่าทีเป็จริงจังเคร่งขรึม คารวะให้กับศพ “ผู้เยาว์มีความจำเป็ต้องใช้สมุนไพรบางอย่างจากสวนแห่งนี้ผู้เยาว์สัญญาว่าจะไม่ทำให้สวนสมุนไพรแห่งนี้เสียหาย ไม่ทำให้ความยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมาของท่านผู้าุโต้องสูญเปล่า”
หลังจากอันเจิงหันไปสังเกตบริเวณรอบ ๆครั้งหนึ่ง ก็ตวัดสายตากลับมาพูดกับศพอีกครั้ง “แม้ผู้เยาว์จะไม่รู้ว่าท่านผู้าุโเป็ใครแต่หากมีผู้อื่นเข้ามายังที่แห่งนี้เกรงว่าพวกเขาจะดูิ่ศพของท่านได้ดังนั้นผู้เยาว์ตัดสินใจฝังศพให้ท่าน สลักแท่นศิลาและสร้างหลุมศพให้”
เขาเดินสำรวจไปทั่วห้อง มองดูกระท่อมที่ใกล้จะพังมิพังแหล่ก่อนเขยิบเข้าไปหยุดอยู่หน้าศพแล้วก้มมองดูโต๊ะเล็กเบื้องหน้าชายชราทันทีที่เดินมาถึงจุดนี้อันเจิงยิ่งััได้ถึงความเหงาและความอ้างว้างของผู้าุโก่อนตายได้อย่างชัดเจน
ก้มลงอ่านอักษรที่สลักไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าอันเจิงคิดว่าน่าจะเป็ผู้าุโท่านนี้เขียนไว้ก่อนตาย
ห้าร้อยปีแห่งการเฝ้าสุสาน
เนิ่นนานท้ายสุดมิอาจสมดั่งหวัง
มองย้อนกลับไปยังโลกมนุษย์
วอนถามผู้ใดบ้างจักมีวาสนา?
สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรอันเจิงไม่อาจรู้และคงไม่มีทางได้รู้ แต่หากอ้างอิงจากข้อความจารึกเขาพอเดาได้ว่า ผู้าุโท่านนี้น่าจะมีชีวิตอยู่กว่าห้าร้อยปีแล้วและที่ผ่านมาท่านเฝ้าสุสานแห่งนี้มาโดยลำพังตลอด? อย่างไรก็ตามประโยคที่ว่าเนิ่นนานท้ายสุดมิอาจสมหวัง กับวอนถามผู้ใดบ้างจักมีวาสนา? สองประโยคนี้คงเป็ปริศนาตลอดไปเพราะหากไม่ทราบสภาพจิตใจและความคิดของผู้าุโในเวลานั้นคงเป็ไปได้ยากที่จะเข้าใจความหมายลึกซึ้งของบทพูดทั้งสี่
อันเจิงคุกเข่าลงข้างหนึ่งยกกำปั้นขึ้นและคารวะ “ผู้เยาว์มิได้มีเจตนาล่วงเกินเพียงขอเชิญท่านผู้าุโไปสู่ที่สงบ”
หลังจากพูดจบอันเจิงก็ลุกขึ้นยืนและแบกศพขึ้นด้วยสองมือ ก่อนจะเดินออกนอกกระท่อมไป
ทันทีที่เขาก้าวพ้นประตูตัวกระท่อมก็ถล่มลงมาเสียงดังลั่น กระท่อมสภาพโกโรโกโสเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็กองขี้เถ้าในพริบตา
อันเจิงรู้สึกประหลาดใจมากแต่เพียงไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่า บางทีกระท่อมหลังนี้อาจมีความคิดเป็ของตัวเองมันคงรักและภักดีต่อเ้านายของมันมาก ดังนั้นทันทีที่เ้านายของมันจากไปมันจึงได้ละสังขารแปรเปลี่ยนเป็กองขี้เถ้าหวนคืนสู่พื้นดิน
ห่างจากกระท่อมไม่ไกลนัก บนเนินสูงแห่งหนึ่งมีต้นสนเก่าแก่ยืนต้นอยู่อันเจิงตัดสินใจเข้าไปพักตรงนั้น วางศพของผู้าุโพิงไปกับลำต้นของต้นสนเบา ๆแล้วลงมือขุดดินในบริเวณนั้น หลังจากขุดไปได้ลึกพอสมควรแล้วเขาก็หันหน้ากลับมาแต่ภาพที่ปรากฏสู่สายตาทำเอาเขาต้องดวงตาเบิกโพลงใบหน้าซีดเผือดไปด้วยความหวาดกลัว
ศพที่ถูกวางพิงไปกับลำต้นของต้นสนบัดนี้ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าในสภาพมีชีวิต
อันเจิงกลัวจนหน้าถอดสียืนเอ๋ออยู่อย่างนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
ก่อนหน้านี้ตอนที่อันเจิงแบกศพมา เขารู้สึกว่าศพนั้นแข็งเหมือนกับก้อนหินตอนที่วางศพลงไปเขาก็วางไว้ในท่วงท่านอนพิงไปกับต้นไม้
แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เขากำลังขุดหลุม?
แม้อันเจิงจะมีความรู้และมีประสบการณ์ในการต่อสู้นับไม่ถ้วน ทว่าเอาจริง ๆแล้วเขาไม่เคยเจอประสบการณ์ขนหัวลุกเช่นนี้มาก่อน คนที่ตายไปแล้วหลายร้อยปี ทั้งศพยังมีสภาพแห้งเหี่ยวซีดเผือดเพียงพริบตากลับมามีน้ำมีนวล ทั้งยังขยับขึ้นมานั่งได้ด้วยตัวเองซ้ำร้ายแววตาและสีหน้าก็ยังเปลี่ยนเป็ยิ้มแย้ม มองดูสีหน้าของศพดังกล่าวอันเจิงรู้สึกว่าศพนั้นกำลังยิ้มให้เขา!
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ให้เขาเก่งกล้าสามารถมากแค่ไหนแต่อันเจิงพูดเลยว่าเขาไม่สามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้จริง ๆ
รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะทะลุออกจากอกเสียงหัวใจเต้นถี่ระรัวแขนขาและลำตัวของอันเจิงบัดนี้สั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป
“ผู้าุโ...ท่านคิดจะทำอะไรหรือ?”
อันเจิงถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทว่าข้างในกลับกำลังสวดอ้อนวอนอย่างหนัก ได้โปรดเถิด...อย่าได้ตอบข้ากลับมาเชียว
โชคดีที่ซากศพนั้นไม่ได้ตอบเขากลับมาจริงๆ ไม่เช่นนั้นอันเจิงคงได้สับฝีเท้าวิ่งหนีไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่พูดอะไรแต่ท่าทางของศพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
เขาประสานมือไว้ด้านหน้าก้มหัวให้เล็กน้อยราวกับกำลังตอบโต้กับอันเจิง
อันเจิงตอบสนองอย่างรวดเร็ว ประสานมือกลับเช่นกัน“ผู้าุโไม่จำเป็ต้องขอบคุณ เป็เื่ที่ผู้เยาว์สมควรกระทำอยู่แล้วไม่ทราบว่าผู้าุโท่านยังมีห่วงหรือมีเื่ใดที่ยังติดค้างอีกหรือไม่หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงผู้เยาว์ยินดีช่วยเหลือ”
พูดจบ อันเจิงก็อดไม่ได้รู้สึกเสียใจขึ้นมา
หากซากศพนี้ลุกขึ้นมาแล้วขอให้ผู้เยาว์อย่างเขาไปฆ่าใครสักคนแล้วเขาจะทำอย่างไร?แต่คนผู้นี้ตายไปนานมากแล้วศัตรูของเขาเองก็น่าจะตายไปแล้วเหมือนกัน
ซากศพแห้งค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมานิ้วข้างหนึ่งชี้ฟ้า ส่วนนิ้วอีกข้างชี้ไปที่ดินบ่งบอกว่าดวงิญญาของเขาได้กลับสู่์แล้วส่วนร่างของเขายังคงอยู่ตรงนี้บนพื้นดิน อันที่จริงอันเจิงคิดว่า นิ้วมือที่ชี้ลงดินของเขานั้นน่าจะหมายถึงสวนสมุนไพรแห่งนี้มากกว่า
“ผู้าุโโปรดวางใจข้าจะไม่พูดเื่เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ให้ใครฟังเป็อันขาดจะไม่ให้หยาดเหงื่อและเืเนื้อของผู้าุโต้องถูกเหยียบย่ำทำลาย”
อันเจิงประสานมืออีกครั้งทว่าในตอนนั้นเองเขาค้นพบว่า จุดที่ซากศพชี้ไปมีบางอย่างผิดปกติ อันเจิงหันกลับไปมองตามนิ้วที่ชี้ไปของศพพบว่าไม่ไกลจากจุดนี้มากมียอดเขาแหลมสูงลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บรรยากาศที่แผ่ออกมาบริสุทธิ์และคมกริบ ประหนึ่งดาบศักดิ์สิทธิ์ที่หาใดเทียบไม่ได้
อันเจิงนิ่งไปครู่หนึ่งนึกย้อนไปถึงคำว่า ห้าร้อยปีแห่งการเฝ้าสุสาน ในใจพลันมีคำตอบหนึ่งผุดขึ้นมาทันทีหรือว่าในูเาลูกนั้นจะมีสุสานโบราณซ่อนอยู่? อันเจิงไตร่ตรองสักครู่ก่อนจะถามออกไป“ผู้าุโท่าน้าให้ข้าฝังท่านทีู่เาลูกนั้นหรือ?”
เสียงดังแกรกของกระดูกดังขึ้นมือศพซึ่งเมื่อครู่ยังชี้อยู่ร่วงลงทันที ศีรษะตกลง ไม่เงยหน้าขึ้นมาอีก
อันเจิงมองดูศพกับูเาสลับไปมาหลายครั้งนั่นมันสูงกว่าหน้าผาที่เขาปีนขึ้นมาอีกนะ!
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อรับปากเอาไว้แล้วอันเจิงก็ไม่อยากผิดคำพูดเขาเดินเข้าไปหยุดใกล้ศพ พูดขึ้นว่า “ล่วงเกินแล้ว” ก่อนจะยกศพขึ้นผูกติดกับแผ่นหลังด้วยเชือกที่นำติดตัวมา
อันเจิงมุ่งหน้าไปยังทิศทางของูเาเรื่อย ๆ ยิ่งเข้าใกลู้เามากเท่าไหร่กระดูกสันหลังของเขาก็ยิ่งรู้สึกเย็นเยียบมากขึ้นเท่านั้น
แต่เดิมอันเจิงคิดว่าเป็เพราะความกลัวซึ่งมันก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไรเพราะซากศพนี้มันประหลาดและสยองมากจริง ๆแต่เมื่อเดินมาได้อีกครู่ใหญ่ เขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่า ความเย็นนี้แท้จริงแล้วแผ่ออกมาจากูเาด้านหน้าความเย็นที่เสียดลึกไปจนถึงกระดูก อุณหภูมิที่ต่ำถึงขนาดเปลี่ยนให้หยดน้ำกลายเป็น้ำแข็งได้ในพริบตาทว่าพืชพันธุ์โดยรอบกลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อยยังคงเจริญงอกงามอย่างแข็งแรงและเขียวชอุ่ม
จวบจนกระทั่งมาถึงตีนเขาอันเจิงก็เห็นประตูไม้บานหนึ่งซ่อนอยู่หลังพงหญ้าที่ขึ้นรกรุงรัง
เขาแหวกพงหญ้าออกเปิดประตูเข้าไปด้วยความลังเล ฝุ่นและควันจากด้านในลอยขึ้นมาเตะจมูกอันเจิงก้าวไปข้างหน้าช้า ๆ ด้วยความระมัดระวังหลังจากเดินมาได้ครู่หนึ่งเขาก็พบว่า นอกจากความมืดและอากาศที่เย็นชื้นแล้ว ในนี้ไม่มีอันตรายอย่างอื่นอีก
ตอนนี้เองซากศพอื่น ๆ ก็ปรากฏสู่สายตา...
อันเจิงลองนับดู พบว่าในห้องโถงนี้มีซากศพมากถึงเจ็ดศพด้วยกันทุกศพล้วนอยู่ในท่วงท่านั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งเนื่องจากมีสวนสมุนไพรล้อมรอบและมีไอปราณเข้มข้นกระจายอยู่ทั่วศพเหล่านี้จึงยังคงสภาพอยู่ได้โดยไม่เน่าเปื่อยหรือผุพังประกอบกับในห้องโถงมีอุณหภูมิต่ำกว่าข้างนอกมากดังนั้นใบหน้าของศพทั้งเจ็ดจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง อันที่จริงดูจากสภาพตรงหน้าแล้วแทนที่จะพูดว่าพวกเขาตายไปแล้ว มันเหมือนกับพวกเขาถูกแช่แข็งไว้ที่นี่มากกว่า
อันเจิงยกมือขึ้นประสาน หันไปทางซากศพเ่าั้แล้วกล่าวด้วยเสียงเบา“ล่วงเกินทุกท่านแล้ว”
ขณะที่เขากำลังลุกขึ้นยืนนั้นเองสายตาพลันเหลือบไปเห็นแท่นหินแท่นหนึ่งตั้งอยู่กลางวงล้อมของศพทั้งเจ็ด
อันเจิงพิจารณาศพทั้งเจ็ดอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งรู้สึกว่าบรรยากาศที่แผ่ออกมาน่าประหลาดมากจริง ๆ มองดูอาวุธและการแต่งกายอันเจิงยอมรับเลยว่าเขาไม่เคยเห็นลวดลายของเสื้อผ้าเช่นนี้มาก่อน เดาไม่ถูกจริง ๆว่าคนเหล่านี้มาจากไหน ยิ่งดาบยาวที่ถูกสะพายไว้บนหลังของแต่ละศพยิ่งให้ความรู้สึกบอกไม่ถูก มันมีทั้งประกายคมกริบเ็าแต่ก็แฝงไว้ด้วยอำนาจบางอย่างในทีน่าเกรงขามเป็อย่างมาก
เวลานี้เอง ลมกระโชกสายหนึ่งซึ่งไม่รู้มาจากที่ไหนพัดแรงขึ้นฉับพลันฝุ่นละอองซึ่งเกาะอยู่บนแท่นหินถูกขจัดออกไปในพริบตา
หลังจากฝุ่นเ่าั้ถูกกำจัดไปจนหมดแท่นหินขมุกขมัวด้านหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็โลงแก้วเจียระไนสวยงาม
อันเจิงร้องะโในใจขึ้นมาทันทีที่แท้ผู้าุโก็ได้เตรียมโลงศพไว้สำหรับตัวเองเรียบร้อยแล้วดังนั้นตอนที่เขาขุดหลุมฝังศพให้ ท่านถึงได้รู้สึกไม่ชอบใจ
ความรู้สึกขุ่นเคืองจู่ ๆก็ปะทุขึ้นอย่างอดไม่อยู่ อย่างไรก็ตาม แม้เขาอยากจะะโออกไปดัง ๆ แต่บอกตรง ๆเลยว่าเขาไม่กล้า แค่มองดูศพทั้งเจ็ดที่อารักขาอยู่โดยรอบอันเจิงก็ยอมยกธงขาวขอศิโรราบแล้ว
อันเจิงเดินขึ้นไปบนแท่นหิน ค่อย ๆวางศพลงในโลงแก้วเจียระไนอย่างเบามือ
ตอนนี้เองของบางอย่างได้ร่วงลงมาจากศพแล้วมาตกอยู่ใกล้ๆ เท้าของอันเจิง เสียงตกกระทบพื้นดังกังวาน