หลังจากอันเจิงจัดแจงวางศพเรียบร้อยก็ผละออกมาแล้วก้มลงไปดูของสิ่งนั้นเห็นว่ามันเป็กล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ กล่องหนึ่งด้านนอกคล้องด้วยโซ่ที่มีลูกปัดสีม่วงร้อยต่อกันตลอดสายแวบแรกที่เห็นมันดูเหมือนเครื่องประดับธรรมดาชิ้นหนึ่ง
“สร้อยคอ?”
อันเจิงก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาในใจคิดว่ามันน่าจะหล่นลงมาจากศพ เป็เพราะเขาไม่ได้ระวังให้ดีไม่ทันสังเกตเห็นเลยทำให้มันขาดแบบนี้ เขาค่อย ๆผูกปลายเชือกให้ติดกันอีกครั้งก่อนจะวางมันลงไปบนหน้าอกของศพ
ในถ้ำเย็นมากช่วยไม่ได้หากอันเจิงจะตัวสั่นเพราะบรรยากาศเย็นะเืแบบนี้ เขารีบหันหน้ากลับไปแล้วพูดกับศพ“ขอผู้าุโพักผ่อนอย่างสงบเถิด ข้าเก็บสมุนไพรเสร็จก็จะไปจากที่นี่ทันทีเื่ที่ข้าให้สัญญาไว้ว่าจะไม่บอกใครเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มั่นใจได้เลยว่าข้าจะไม่กลับคำอย่างแน่นอน”
ทว่าเพิ่งก้าวออกไปได้เพียงก้าวเดียว จู่ๆ เสียงดังเปรี๊ยะเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น อันเจิงหันกลับไปมอง พบว่าสร้อยเส้นนั้นบัดนี้มันกำลังลอยอยู่ตรงหน้าเขา!
เมื่อครู่ยังเป็สร้อยคออยู่เลยตอนนี้กลับกลายเป็สร้อยข้อมือลูกประคำไปเสียอย่างนั้น ลูกปัดสีม่วงโปร่งแสงมากมายที่เรียงรายกันอยู่เมื่อครู่บัดนี้ลดลงเหลือเพียงสิบสามเม็ดใหญ่ ๆ เท่านั้น
อันเจิงรีบตวัดสายตามองไปรอบ ๆด้วยความหวาดผวา ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต
หัวใจของอันเจิงบีบรัด เขาหยิบสร้อยลูกประคำสีม่วงขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดเห็นว่ามันทำมาจากไม้ ััจากตัวลูกประคำทั้งเย็นและอ่อนนุ่ม มองไปยังซากศพที่นอนอยู่ในโลงแก้วเจียระไนอีกครั้งอันเจิงก็อดไม่ได้ถามขึ้นด้วยความสงสัย “ผู้าุโ ท่านให้สร้อยลูกประคำนี้กับข้าหรือ?”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ฝาโลงแก้วเจียระไนฉับพลันก็ขยับเลื่อนขึ้นมาปิดผนึกทันที
อันเจิงยืนอึ้งไปครู่หนึ่งนี่หมายความว่าไม่อนุญาตให้คืนของใช่หรือไม่?
บางทีสร้อยลูกประคำสีม่วงเส้นนี้คงเป็ของตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ จากผู้าุโ
เมื่อครู่ตอนที่สร้อยเส้นนี้ร่วงลงมา ผู้าุโคงมีเจตนามอบมันให้เขาอยู่ก่อนแล้วแต่อันเจิงไม่ทราบ คิดว่าเป็เพราะตัวเองประมาทไม่ทันระวังให้ดี จึงเป็เหตุให้เครื่องประดับของผู้าุโเสียหายตนจึงเก็บมันกลับคืนไปให้เขา มาตอนนี้ดูจากที่ผู้าุโปิดฝาโลงหนีไปเห็นทีอันเจิงอยากจะคืนมันให้ก็ทำไม่ได้เสียแล้ว สุดท้ายจึงได้แต่ยอมรับมันมา
ก้มมองสร้อยลูกประคำในมืออันเจิงไม่รู้สึกว่ามันพิเศษหรือแตกต่างจากสร้อยข้อมือธรรมดาทั่วไป อย่างไรก็ดี สำหรับความงามของมันอันเจิงอดไม่ได้จริงๆ ที่จะชื่นชมในใจ แม้มันจะมีขนาดใหญ่ไปสักหน่อยก็เถอะ
อันเจิงตัดสินใจสวมสร้อยลูกประคำไว้ที่ข้อมือซ้ายและทันทีที่ใส่มันเข้าไปมันก็หดตัวลงทันที
ทันใดนั้นเอง ลูกปัดหรือลูกประคำสีม่วงโปร่งแสงทั้งสิบสามเม็ดกลับมีหนามแหลมเล็กๆ ปรากฏขึ้น มันแทงตัวออกจากลูกประคำแต่ละเม็ดก่อนจะเจาะเข้าไปในข้อมืออันเจิงแล้วดูดเืเขาอย่างหิวกระหาย
อันเจิงได้แต่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความเ็ปเมื่อเขาก้มมองดูสร้อยลูกประคำอีกครั้งลูกประคำทั้งสิบสามเม็ดก็เปลี่ยนเป็สีแดงฉานแล้ว!
อันเจิงตระหนักได้ฉับพลันถึงความพิเศษของสร้อยลูกประคำเส้นนี้มีเพียงอาวุธวิเศษระดับสูงเท่านั้นที่ใช้เืในการทำสัญญาเป็เ้าของไม่ต้องกล่าวถึงสร้อยเส้นนี้ที่อุกอาจถึงขนาดดื่มเืเขา มันต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆอันเจิงลองพยายามถอดสร้อยข้อมือออกดู แต่ดูเหมือนมันจะยึดติดไปกับข้อมือของเขาเสียแล้วและทันทีที่นิ้วมืออีกข้างััโดนลูกประคำ ภาพนิมิตหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาในหัว
ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับสร้อยลูกประคำเส้นนี้ถูกบันทึกลงสมองของเขาในชั่วพริบตา!
“อาวุธวิเศษระดับสีม่วงขั้นสูง...”
แม้ไม่รู้ว่าข้อมูลเหล่านี้มาจากไหนและเข้ามาในหัวสมองของเขาได้อย่างไรแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีประโยชน์ต่อเขาอย่างแท้จริงขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขารู้สึกกลัวไม่น้อย
ลูกประคำทั้งสิบสามเม็ดต่างก็มีบทบาทและวิธีการใช้งานที่ต่างกัน
อันเจิงตรวจสอบมันอย่างละเอียดอีกครั้งพบว่าเืของเขาที่ถูกดูดเข้าไปในลูกประคำแต่ละเม็ดเกิดเป็ลวดลายและมีรูปแบบแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดบ้างเป็รูปดวงดาว บ้างเป็รูปสามเหลี่ยม บ้างก็เป็รูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวและก็มีบ้างที่เป็เพียงจุดกลมเล็กกระจายตัวกันออกไป
หากแบ่งลูกประคำทั้งสิบสามเม็ดตามการใช้งานมีอยู่เม็ดหนึ่งสามารถใช้เป็พื้นที่จัดเก็บได้ โดยยิ่งระดับการบ่มเพาะของอันเจิงมากขึ้นเท่าไหร่ความกว้างในมิติจัดเก็บก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้นซึ่งหากอันเจิงบ่มเพาะไปจนถึงขอบเขตจุลภาคเข้าใกล้มหภาคแล้วละก็ความจุของมิตินี้จะกว้างถึงขนาดยัดโลกมายาเข้าไปได้ทั้งเมืองเลยทีเดียว ตรงกันข้ามหากระดับการบ่มเพาะของเขาย่ำแย่ ความกว้างของมิติก็จะกว้างเพียงแค่ห้องเล็ก ๆหรือบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่งเท่านั้น
ลูกประคำอีกเม็ดมีคุณสมบัติคล้าย ๆ กัน นั่นคือเป็มิติอีกมิติหนึ่งซึ่งแยกออกมาอย่างไรก็ตามมิตินี้ทำได้แค่นำของออกเท่านั้น ไม่สามารถบรรจุหรือจัดเก็บสิ่งใดได้ มิตินี้ก็คือมิติสวนสมุนไพรนั่นเอง!
สำรวจดูสวนสมุนไพรที่อยู่ด้านในอันเจิงก็ผงะร่นถอยไปหลายก้าวดูท่าสมุนไพรทั้งหมดของผู้าุโในหุบเขาแห่งนี้จะถูกมอบให้เขาจนหมดแล้วนี่มันเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก อันเจิงลงมือตรวจสอบสวนสมุนไพรทั้งหมดอีกครั้งอย่างละเอียดพบว่าในนี้มีั้แ่สมุนไพรระดับขั้นสีขาว สีแดงและสีทองขึ้นไป แม้แต่ระดับขั้นสีม่วงซึ่งหาได้ยากยิ่งในโลกภายนอกก็ยังมีอยู่มาก
“ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าเกินไปแล้ว”
อันเจิงหันกลับไป “ผู้เยาว์รู้สึกละอายใจยิ่งนักทั้งหมดนี้คือหยาดเหงื่อและเืเนื้อของผู้าุโแล้วผู้เยาว์จะนำมันไปทั้งหมดได้อย่างไรผู้เยาว์ขอเพียงส่วนหนึ่งเพื่อรักษาอาการาเ็ของสหายก็พอแล้ว”
อันเจิงพยายามถอดมันออกแต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่ยอมหลุดออกมาเสียที
เสี่ยวช่านที่ซุกตัวอยู่ในอกเสื้อของเขาโผล่หัวออกมาก่อนจะร้องเบาๆ ดึงดูดความสนใจอันเจิง
“ความหมายของเ้าคือให้ข้ารับมันไว้?” มนุษย์และแมวสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนอันเจิงจะเป็ฝ่ายถามขึ้นด้วยเสียงเบา
“เหมียว...” เสี่ยวช่านครางรับอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในสายตาอันเจิงเขามองว่ามันยังล้ำค่าเกินไปอยู่ดีแต่แม้จะเป็เช่นนั้นในเมื่อถอดออกไม่ได้ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากรับมันไว้ เขายืนตัวตรงหันไปทางบุรุษซึ่งนอนอยู่ในโลงแก้วเจียระไนก่อนจะโค้งคารวะให้ด้วยความเคารพและนับถือสุดหัวใจ “ขอบคุณผู้าุโมากขอรับสำหรับของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้!”
เ้าแมวคลานออกมาจากอกเสื้อของอันเจิงก่อนจะะโขึ้นไปนั่งบนไหล่หัวเล็ก ๆ ของมันสอดส่องไปทั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น แววตาของมันยิ่งมองก็ยิ่งเปล่งประกายระยิบระยับ
มันถูหัวเล็ก ๆ เข้าที่หน้าอันเจิงอย่างออดอ้อนคล้ายกำลังเรียกร้องให้เขาหันไปสนใจศพอื่น ๆ ที่อยู่รายรอบโลงแก้วเจียระไนบ้าง
ศพทั้งเจ็ดอยู่ในสภาพหลับตานั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งแม้่อายุของแต่ละศพจะมีความแตกต่างกันแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือพวกเขาล้วนสะพายดาบยาวขนาดใหญ่ไว้ที่ด้านหลัง
“โลภมาก!”
อันเจิงดีดหน้าผากเสี่ยวช่านแรง ๆออกปากสั่งสอน “แน่นอนข้าย่อมรู้ว่าดาบทั้งเจ็ดเป็สมบัติล้ำค่า อีกทั้งทุกเล่มก็ไม่ธรรมดาเสียด้วยอย่างไรก็ตาม นั่นเป็สมบัติส่วนตัวของผู้าุโทั้งเจ็ด พวกเราไม่อาจหยิบมาโดยพลการได้เสี่ยวช่าน...เ้าจำคำของข้าเอาไว้ให้ดีการที่หยิบของมาส่งเดชโดยที่เ้าของไม่อนุญาตไม่ต่างอะไรจากการลักขโมยซึ่งข้าไม่เห็นด้วยและไม่อนุญาตเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่าของสิ่งนั้นจะไม่มีเ้าของซึ่งเ้าก็เห็นแล้วว่าดาบทั้งเจ็ดมีท่านผู้าุโอยู่ ดังนั้นห้ามยุ่งเข้าใจหรือไม่?”
แมวน้อยร้องครั้งหนึ่งเป็เชิงบ่งบอกว่ามันรับรู้แล้วหากแต่สายตากลับยังสอดส่องต่อไปไม่หยุด มองโน่นมองนี่ด้วยความสนใจระคนเสียดายลึก ๆอันเจิงหันกลับไปมองโลงแก้วเจียระไนอีกครั้ง กล่าวคำลาเบา ๆแล้วสาวเท้าก้าวออกนอกห้องโถงไป
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาเพิ่งจะก้าวพ้นประตูจู่ ๆ เขาก็มีความรู้สึกบางอย่าง คล้ายกับว่าผู้าุโทั้งเจ็ดได้ลืมตาตื่นขึ้นแผ่นหลังอันเจิงเย็นวาบฉับพลัน รีบหันหน้ากลับไปมองศพทั้งเจ็ดอีกครั้งเพื่อความแน่ใจแต่ก็ไม่เห็นว่ามีส่วนใดผิดปกติ ทุกศพล้วนยังคงหลับตาอยู่เหมือนเดิม ท่วงท่าก็ยังคุกเข่าเช่นนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย...บางทีเขาคงคิดมากไปเอง
อันเจิงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว หากเขาเผลอไปแตะดาบของใครสักคนที่อยู่ในนี้เข้ามีหวังได้ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แน่ ๆ
เขาไม่กล้าหันหน้ากลับไป กลัวจริง ๆว่าศพทั้งเจ็ดจะลุกขึ้นมาแล้วพูดกับเขาว่า ไอ้หยา! ไอ้หนูนี่ไม่เลวเลยทั้งซื่อสัตย์และน่ารักพวกเรามาทำให้เขาเป็เหมือนพวกเรากันเถอะ...
เดินไปพลาง ในหัวก็กำลังศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสร้อยลูกประคำเส้นนี้มันมีชื่อเรียกว่าสร้อยลูกประคําโลหิต เป็สมบัติวิเศษระดับสีม่วงขั้นสูง ความสามารถของมันจะผกผันไปตามระดับการฝึกตนของผู้สวมใส่ยิ่งผู้สวมใส่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ คุณสมบัติและการใช้งานของมันก็จะยิ่งน่าทึ่งน่าอัศจรรย์มากเท่านั้น
จากระดับการบ่มเพาะของอันเจิงในปัจจุบัน เขาสามารถใช้งานลูกประคำได้เพียงสามเม็ดเท่านั้น
หนึ่งคือลูกประคำที่มีคุณสมบัติในการเป็พื้นที่จัดเก็บ อีกหนึ่งคือสวนสมุนไพรและสุดท้ายคือลูกประคำที่ใช้ดูดซับไอปราณที่เกินอัตรา
การดูดซับไอปราณที่เกินอัตราหมายถึงเมื่อบุคคลหนึ่งดูดซับพลังจากภายนอกมากจนเกินไปแล้วไม่สามารถนำไปใช้งานได้ทั้งหมดพลังส่วนเกินนั้นจะถูกถ่ายโอนไปยังลูกประคำโลหิตซึ่งสำหรับผู้ฝึกตนแล้วแม้จะไม่ค่อยได้ใช้งานจริงนัก แต่ก็มีประโยชน์มาก
ยกตัวอย่างเช่นหากอันเจิงเกิดาเ็ขึ้นมาระหว่างการต่อสู้ทว่าทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีแต่ยาที่มีฤทธิ์รุนแรงซึ่งหากผู้ฝึกตนในระดับต่ำกว่าขอบเขตสุมารุฝืนกลืนลงไป ร่างกายจะต้องะเิออกและตายลงอย่างแน่นอนอย่างไรก็ดีหากเขาไม่กินยา เขาก็อาจต้องตายเช่นกันเพราะทนพิษาแไม่ไหว ลูกประคำโลหิตเม็ดนี้จะมีบทบาทขึ้นมาทันทีไอปราณส่วนเกินซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายดูดซับเม็ดยาไม่หมดจะถูกถ่ายโอนไปยังลูกประคำโลหิตแทน เท่านี้ร่างกายก็ไม่จำเป็ต้องรับผลจากฤทธิ์ยาที่มากเกินไปแล้วทั้งไม่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วย
นอกจากนี้ ลูกประคำเม็ดนี้ยังมีข้อดีอีกอย่างนั่นก็คือหากต้องปะทะกับผู้ฝึกตนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าตัวเองยามเมื่อต้องรับการโจมตีของอีกฝ่าย ก็สามารถย้ายพลังปราณที่มากเกินไปของศัตรูไปเก็บในลูกประคำโลหิตแทนได้ซึ่งหากทำเช่นนี้ก็จะสามารถลดแรงกระแทกหรือแรงปะทะได้มากทีเดียว
จากที่ได้ตรวจสอบดูอย่างละเอียดอันเจิงพบว่าอัตราการดูดซับของลูกประคำโลหิตในปัจจุบันอยู่ที่หนึ่งส่วนต่อหนึ่งร้อยส่วน
หรือก็คือหากศัตรูโจมตีมาด้วยพลังสิบส่วนลูกประคำโลหิตจะช่วยดูดซับพลังไปได้ราว ๆ หนึ่งส่วน...
คิดถึงตรงนี้จู่ ๆ อันเจิงก็หยุดฝีเท้าลงคิดอยากจะตบบ้องหูตัวเองแรง ๆ หนึ่งครั้ง...มารดามันเถอะ! คิดเลขง่าย ๆแค่นี้ยังคิดผิด น่าอายเกินไปแล้ว!
แม้คุณสมบัติในการดูดซับไอปราณที่เกินอัตราจะยอดเยี่ยมแต่อันเจิงรู้ดีว่าไม่ควรโลภมาก เขาเดินกลับมายังสวนสมุนไพรอีกครั้งในหัวคิดแต่เื่ข้อมูลของสร้อยลูกประคำโลหิตมือจับลูกประคำหมุนไปหมุนมาอย่างไม่รู้ตัว...ทว่าทันใดนั้นเองจู่ ๆ เสียงครืนเสียงหนึ่งก็ดังส่งมาท้องฟ้าเปลี่ยนสีทันใด!
ูเาทั้งลูกเริ่มสั่นะเือย่างไม่อาจควบคุมได้ก้อนหินขนาดใหญ่พากันร่วงหล่นลงมาจากูเาโดยรอบรอยแตกทั้งจากบนพื้นและบนูเาขยายใหญ่ขึ้น ประหนึ่งปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังใช้กรงเล็บของมันฉีกกระชากพื้นและพยายามปีนไต่ขึ้นมาพื้นดินส่วนที่เป็ที่ตั้งของสวนสมุนไพรกว่าร้อยไร่ค่อย ๆ ลอยขึ้นฟ้าไปอันเจิงมองภาพด้านหน้าด้วยความตกตะลึงเฝ้าดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย
วินาทีนี้เองที่เกาะสมุนไพรเล็ก ๆบนฟ้าได้หดตัวลงกลายเป็แสงสีทองสว่างสายหนึ่งก่อนจะพุ่งเข้ามาอยู่ในลูกประคำโลหิตบนข้อมืออันเจิง
สร้อยลูกประคำโลหิตเปล่งแสงสีม่วงออกมาอีกครั้งก่อนจะหายวับไป
บอกตรง ๆ เลยว่า สร้อยลูกประคำเส้นนี้หากมองจากภายนอกมันก็ไม่ต่างอะไรจากเครื่องประดับธรรมดา ไม่มีรัศมีของสมบัติวิเศษระดับสีม่วงชั้นสูงแม้แต่น้อย
ผู้าุโเหล่านี้ใจดีเกินไปแล้วเขาชักจะสงสัยแล้วสิว่า คนพวกนี้เป็ใครมาจากไหนกันแน่
เพราะคงไม่มีผู้ใดยินยอมมอบสมบัติวิเศษระดับสีม่วงขั้นสูงให้กับอีกฝ่ายโดยไม่้าสิ่งตอบแทน
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ไม่มีอะไรทำให้อันเจิงมีความสุขไปได้มากกว่าสวนสมุนไพรขนาดใหญ่ในลูกประคำโลหิตอีกแล้วด้วยเพราะยาและสมุนไพรเป็ส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของทุกคนในนิกายเบิก์การได้รับสิ่งเหล่านี้มา มันจะทำให้เขาไม่ต้องกังวลถึงเื่การรักษาในอนาคต หากเกิดอุบัติเหตุหรือถูกทำร้ายขึ้นมาอีก
ทันใดนั้น ปล่องูเาไฟขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอันเจิงควันดำจำนวนมากพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กระแสน้ำไหลผ่านร่องและซอกหินลงมาด้วยความเชี่ยวกรากรุนแรง
อันเจิงซึ่งกำลังเฝ้าดูอยู่ตระหนักได้ทันทีว่า เขาสมควรออกไปจากที่นี่ได้แล้วไม่เช่นนั้นเขาคงได้จมน้ำตายอยู่ในนี้แน่
เขาเลือกะโเข้าไปในรอยแยกหนึ่งทันทีละทิ้งเส้นทางเก่าที่ตนใช้เข้ามาที่นี่โดยไม่ลังเล เนื่องจากทางนั้นมีอินทรีลมกรดรออยู่เขาไม่อยากเสี่ยง
สภาพของอันเจิงตอนนี้ ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กสามขวบที่สวมสร้อยทองคำไว้เต็มคอแล้วออกมาเดินเฉิดฉายกลางถนนผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติ์ที่ยังไม่ถึงแม้แต่ขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ แต่กลับสมบัติวิเศษระดับสีม่วงถึงสองชิ้นหนึ่งคือปิ่นแมลงปอทับทิม อีกหนึ่งคือสร้อยลูกประคำโลหิต อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของเขาในปัจจุบันตัวปิ่นก็ใช้ได้เพียงฟันหรือขุดแทนกริชเท่านั้น ส่วนสร้อยลูกประคำโลหิตน่ะหรือมันคือลิ้นชักเก็บของดี ๆ นี่เอง...อันเจิงน้ำตาตกใน วิ่งไปด้วยด่าตัวเองไปด้วยว่าช่างเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของสมบัติวิเศษโดยแท้
ไม่รู้ว่าเดินมาได้ไกลแค่ไหนแล้วรู้เพียงแต่ว่าต้องขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
ความสงสัยในสถานที่แห่งนี้แม้จะยังไม่กระจ่างและยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เหตุใดผู้าุโทรงพลังทั้งหลายถึงได้มาเสียชีวิตที่นี่?แต่สวนสมุนไพรกว่าร้อยไร่พวกนั้นอันเจิงเดาว่ามันคงเป็ผลมาจากความรู้สึกเบื่อหน่าย หลังจากต้องเฝ้าสุสานมากว่าห้าร้อยปีแน่นอน
ว่าแต่ศพของทั้งเจ็ดคนนั้นเป็ใครกันผู้ติดตามของชายชราหรือ? หรือว่าเป็ผู้สร้างโลงแก้วเจียระไนขึ้น?แล้วใครคือคนสร้างสะพานแห่งนั้น? ภาพวาดฝาผนังเป็พวกเขาที่วาดใช่หรือไม่?
คำถามเหล่านี้เป็สิ่งที่อันเจิงไม่สามารถหาคำตอบได้ ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรือกระทั่งในอนาคตก็ตาม
เขาค่อย ๆแทรกตัวผ่านรอยแยกในถ้ำออกไปเรื่อย ๆ รอยไหนที่เล็กจนไม่สามารถผ่านได้เขาก็จะใช้ปิ่นแมลงปอทับทิมเจาะให้มันกว้างมากขึ้นและแล้วในที่สุดเขาก็ลงมาถึงตีนเขา
อันเจิงรู้สึกว่าโชคของเขายอดเยี่ยมมากจริง ๆเพราะก่อนูเาจะถล่มลงมาแล้วบีบอัดเขาจนกลายเป็กองเนื้อเขาก็สามารถหลุดออกมาได้อย่างปลอดภัยเสียก่อน
แหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์กลมโตและดวงดาวที่กระจัดกระจายเต็มท้องฟ้าก่อนจะมองไปรอบ ๆ ป่าที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดสนิทอันเจิงคิดว่าป่าในยามนี้อันตรายมากเกินไปแต่การยืนอยู่ที่เดิมเช่นนี้ก็มิใช่ทางออก อาศัยสัญชาตญาณและััที่หกเป็ตัวนำอันเจิงค่อย ๆ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วยความระมัดระวังหลังจากเดินมาได้ครู่ใหญ่เขาก็เริ่มรับรู้ได้ถึงบรรยากาศแปลก ๆ อันเจิงหยิบมูลของอินทรีลมกรดขึ้นมาทาตัวของเขาและแมวน้อยทันทีดูจากแววตาและสีหน้าของมันที่มองมา อันเจิงรู้เลยว่ามันรังเกียจและไม่สบอารมณ์สุดๆ
โชคดีที่สัตว์อสูรในรัศมีโดยรอบนี้พอมีสมองอยู่บ้างไม่โง่พอที่จะกระโจนเข้ามาหลังจากได้กลิ่นมูลของอินทรีลมกรด
หลังจากนอนหลับและฟื้นฟูพลังไปกว่าสองชั่วโมงอันเจิงก็ลุกขึ้นมาบ่มเพาะพลังต่อ เนื่องจากที่แห่งนี้มีอันตรายรอบด้านเขาจึงไม่กล้าหลับลึก
ขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิและเริ่มการบ่มเพาะยามเช้า เสียงร้องหวีดแหลมสายหนึ่งก็ดังส่งมาจากที่ไกลๆ
อินทรีลมกรดตามมาแล้ว!