Chapter nine: Simon’s gift
เพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการตามหาสร้อยให้ไซม่อนร่วมหลายชั่วโมงนั้นทำคนตัวเล็กปวดร้าวไปแทบทั้งร่างและอุณหภูมิในร่างกายที่สูงขึ้นบวกกับความปวดหัวที่แล่นเข้ามาทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมาสู้แสงยิ่งทำให้แพทริเซียอยากจะนอนจมลงในผ้าห่มนิ่มทั้งวัน
แพทกะพริบตาถี่ ๆ มองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงและพบว่าเขาเหลือเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นในการเตรียมตัวสอนในวันนี้ คนตัวเล็กพยายามประคองตัวเองให้ลุกขึ้นโดยไม่ล้มแต่นั่นมันก็ดูเป็เื่ยากเหลือเกินเพราะเพียงแค่ลุกขึ้นยืนได้เต็มความสูง แพทก็รู้สึกเหมือนตอนนี้ในห้องกำลังเกิดแผ่นดินไหวยังไงอย่างนั้น
ปกติแล้วในเวลาที่เขาป่วยหรือร่างกายอ่อนแอแบบนี้ เขามักจะขลุกอยู่บนโซฟาตัวใหญ่กับคุณแม่และรอให้คุณแม่ทำซุปฟักทองร้อน ๆ ให้ทาน เพราะคุณแม่ของเขาเชื่อว่าไม่ว่าร่างกายจะป่วยขนาดไหนแต่ถ้าหัวใจยังคงแข็งแรงและได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ว่ายังไงก็จะหายป่วยได้อย่างรวดเร็ว
แย่แล้วละแพท
คิดถึงบ้านขึ้นมาซะอย่างนั้น
ก๊อก ก๊อก..
เสียงเคาะประตูที่เปรียบเหมือนเสียงจาก์ หากไม่มีใครมาเจอเขาในตอนนี้ เขาคิดว่าเขาอาจจะต้องตายโดยที่ไม่มีใครรู้เลยก็ได้ ในเมื่อคฤหาสน์ควินท์เรลนั้นเงียบสงบซะจนคิดว่าเป็คฤหาสน์ร้าง แพทได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจก่อนจะค่อย ๆ เกาะผนังเพื่อพยุงตัวเองขึ้นเปิดประตูให้คนที่มาเคาะ
ในตอนแรกที่แพทคิดว่าต้องเป็คนที่นำอาหารขึ้นมาให้แน่ ๆ
แต่ทำไมในตอนนี้กลับกลายเป็อัลฟ่าตายิ้มอย่างไซม่อน
และเ้าขนปุยตัวโตที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กันอย่างแซมมี่ไปได้ล่ะ
“คุณควินท์เรล แค่กๆ” เสียงแหบแห้งพร้อมใบหน้าซีดเซียวของโอเมก้าตัวเล็กตรงหน้าทำเอาไซม่อนต้องชะงัก อัลฟ่าตัวโตมองสำรวจแพทริเซียในชุดนอนและพบว่าอีกฝ่ายดูหมดแรงมากกว่าที่เคยเป็ ดวงตากลมโตที่มักจะจ้องมองเขาพร้อมคำถามในตอนนี้ก็ดูอิดโรยเหลือเกิน
หรือเป็เพราะอีกฝ่ายช่วยเขาเมื่อคืน?
“ไม่สบาย?” เขาโพล่งถามไปทันที
“นิดหน่อยครับ แค่ก เดี๋ยวเราจะเตรียมตัวไปสอนแล้ว”
“..”
“ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
ฝ่ามือเล็กดันปิดประตูแต่ก็ถูกมือใหญ่ของอัลฟ่าตัวโตดันไว้ก่อน ดวงตากลมโตที่ในตอนนี้ดูอ่อนแรงมากกว่าทุกวันเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“วันนี้เลื่อนไปบ่ายแล้วกัน”
“ทำไมล่ะครับ? ผมไหว”
“บ่าย”
“คุณควินท์เรล ผมไหวจริ-”
“บอกว่าบ่ายก็บ่าย”
เ้าของแพขนตายาวกะพริบตาถี่ ๆ มองทายาทควินท์เรลที่กำลังสั่งด้วยท่าทีจริงจังแล้วเขาแทบพูดไม่ออก อีกฝ่ายยังคงดันประตูบานใหญ่ไว้เหมือนเดิมก่อนแพทจะเหลือบไปเห็นถุงกระดาษที่บรรจุอะไรบางอย่างในมือของไซม่อน
“อันนั้นอะไรเหรอครับ?”
“เห็นว่าไม่ได้ลงไปทานมื้อเช้า แล้วคนมาเคาะก็ไม่เปิด”
“คุณควินท์เรลก็เลยเอามาให้เราเหรอ?”
“แค่ทางผ่าน”
ปากแข็งซะด้วย
ดูแล้วการยอมรับว่าเอาอาหารเช้ามาให้เขาคงจะเป็เื่น่าหนักใจของคุณชายควินท์เรลเข้าแล้วจริง ๆ เพียงแค่ตอบประโยคสั้น ๆ กลับมาและถูกเขาจ้องอยู่ก็ทำอีกฝ่ายต้องเมินหน้าหนีพร้อมกระแอมแก้เขินเหมือนอย่างที่เคยเป็
เมื่อวานก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วแท้ ๆ
ยอมป่วยเพื่อให้ได้คุยกับหมอนี่มากขึ้นมันคุ้มมั้ยเนี่ย
“มียาหรือเปล่า?”
“มีครับ”
“ถ้ามีก็ทานอาหารเช้าแล้วนอนซะ” เขาพูดพร้อมยื่นถุงกระดาษมาให้คนป่วยรับ
“แต่เราไหวจริง ๆ นะ”
“ไม่ได้ถามว่าไหวหรือไม่ไหว เราตัดสินใจว่าเช้านี้เราจะพาแซมมี่ไปเดินเล่นต่างหาก”
“โฮ่ง!”
พอกันทั้งหมาทั้งเ้านายจริง ๆ
แพทก้มลงไปมองแซมมี่ที่เห่าตอบรับเ้านายได้อย่างทันท่วงทีทุกครั้ง เ้าแซมมี่ที่ถูกแพทมองก็ค่อย ๆ ขยับมาเลียเข้าที่หลังฝ่ามือขาวเบา ๆ และนั่นก็ทำให้แพทอดไม่ได้ที่จะลูบหัวและขยี้ขนมันเบา ๆ ให้หายมันเขี้ยว
“แซมมี่บอกให้ไปนอน”
“คุณควินท์เรลฟังภาษาแซมมี่ออกด้วยหรือไง?”
“ออก เราอยู่กับแซมมี่ั้แ่เขาเกิด”
แปลก
แต่ก็น่าเอ็นดูอยู่ดี
แพทเอื้อมมือขึ้นมาแตะเบา ๆ ตามลำคอของตัวเองและพบว่าในตอนนี้อุณหภูมิในร่างกายเขาสูงมากกว่าตอนแรกอีก อาการเวียนหัวที่มีก็ดูชัดมากขึ้นซะจนเขาอยากล้มตัวลงนอนที่พื้นหน้าห้องให้มันจบไป
“จะพาแซมมี่ไปเดินเล่นแล้ว” จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาอย่างนั้น
“ครับ”
“เจอกันบ่ายสองแล้วกัน”
“แต่..”
“ไม่มีแต่ ถ้าไม่ไหวก็ไปบอกที่ห้องสมุด”
เขาพูดจนจบประโยคและดึงปิดประตูห้องของแพทริเซียด้วยตัวเองทั้ง ๆ ที่ยังไม่ฟังคำตอบจากคนตัวเล็กเลยด้วยซ้ำ แพทส่ายหัวน้อย ๆ อย่างหมดแรงก่อนจะเปิดดูถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยมื้อเช้า นม น้ำผลไม้ อย่างครบครัน
อย่างน้อยก็มีคนแวะเอาอาหารเช้ามาให้เพราะเป็ทางผ่าน
ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณชายควินท์เรลเขาละนะ
- Simon’s theory -
หลังจากได้พักผ่อนไปหลายชั่วโมง ในตอนนี้แพทริเซียก็กำลังกุลีกุจอไปที่ห้องเรียนเพราะถึงเวลานัดที่ไซม่อนบอกไว้ได้สักพักแล้ว และเมื่อแพทเปิดประตูบานใหญ่ไปก็ต้องพบกับความใ เมื่อได้เห็นว่าอัลฟ่าหนุ่มกำลังนั่งรออยู่ที่โซฟาอยู่แล้ว
“คุณควินท์เรล?”
“ว่าไง?”
อีกฝ่ายวางหนังสือในมือลงทันทีที่เห็นว่ามีผู้มาเยือนใหม่ เขายังคงกอดอกและจ้องแพทริเซียเหมือนเดิมแบบที่เคยทำ แต่ในครั้งนี้แพทริเซียไม่ได้เห็นเพียงใบหน้าเรียบเฉยจากอีกฝ่ายแล้วเพราะแววตาของเขาฉายชัดถึงความเป็ห่วงจนแพทรู้สึกได้
“แค่แปลกใจที่เห็นคุณมาเร็ว”
“ก็บอกไปแล้วว่าจะไม่สาย”
“ขอบคุณครับ”
แพทส่งยิ้มหวานไปให้อีกฝ่ายพลางจัดอุปกรณ์การสอนไปด้วย ถึงแพทจะยิ้มให้เขาบ่อยพอสมควรแต่ไซม่อนก็พอจะมองออกว่าอันไหนคือรอยยิ้มจากใจจริงหรืออันไหนที่เป็รอยยิ้มฝืน ๆ แต่รอยยิ้มที่โอเมก้าตัวเล็กส่งมาให้ในวันนี้ก็ทำเขาอดยิ้มมุมปากไม่ได้จริง ๆ
ดวงตากลมโตเหลือบมองแผ่นกระดาษสองสามแผ่นที่ถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างสงสัยก่อนจะหยิบขึ้นมาอ่านอย่างเบามือและพบว่าเป็จดสรุปทั้งหมดจากการเรียนครั้งล่าสุดอย่างละเอียด แพทไล่อ่านทีละบรรทัดด้วยความตั้งใจ ก่อนรอยยิ้มสวยจะปรากฏบนใบหน้าหวานอีกครั้ง
“จดละเอียดดีจังคุณควินท์เรล”
“ถามได้นะ จำได้ทั้งหมดแล้ว”
“ถามแน่ ขอให้ตอบก็แล้วกัน”
แพทริเซียยิ้มขำก่อนจะบรรจงเก็บกระดาษทั้งสามแผ่นไว้ในแฟ้มอย่างระมัดระวัง และการกระทำเ่าั้ของแพทริเซียก็อยู่ในสายตาของไซม่อนทั้งหมด คนที่นั่งจ้องมองอยู่ระบายยิ้มบาง ๆ ออกมาด้วยความดีใจ
อย่างน้อยได้มีคนเห็นค่าความตั้งใจสักคน
นั่นมันก็เป็สิ่งที่ดีมากจริง ๆ
“เรามาเริ่มเรียนของวันนี้กันเลยไหม?”
“ได้”
“แต่เรียนบทนี้จบต้องเล่าเื่ที่สัญญาไว้ด้วยนะ”
“รู้แล้ว”
- Simon’s theory -
หลังจากเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงที่แพทริเซียได้เริ่มสอนเกี่ยวกับความสำคัญและสิ่งจำเป็ที่จะต้องใช้ในพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดทายาทในวันนี้นั้น ก็ทำให้เขารู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่ไซม่อนนั้นมีอะไรบางอย่างในตัวที่พร้อมจะรับตำแหน่งนี้ ถึงแม้คุณลอร่าจะบอกมาว่าไซม่อนไม่พร้อมอย่างนั้นก็เถอะ แต่ในสายตาของคนที่เฝ้าดูไซม่อนมาั้แ่วันแรกของการเรียนการสอนอย่างจริง ๆ จัง ๆ มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่อีกฝ่ายจะต้องปรับเปลี่ยน
และจากที่เคยคิดว่าการสอนไซม่อนนั้นเป็งานยาก
ในตอนนี้เขาก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว
ไหวพริบ ความชาญฉลาด และสติในการตอบคำถามต่าง ๆ ของไซม่อนนั้นค่อนข้างดี และพื้นฐานในการเป็ทายาทตระกูลเก่าแก่ก็ไม่ได้หายไปจากตัวเขาง่าย ๆ บางอย่างที่เขาแสดงออกมา ถึงจะไม่ได้เข้าที่เข้าทางนักแต่ก็แสดงความเป็ทายาทตระกูลควินท์เรลออกมาได้อย่างชัดเจนมาเสมอ อย่างในตอนนี้ที่เขากำลังนั่งอ่านทบทวนบทเรียนอยู่นั้น ความน่าเกรงขามหน่อย ๆ ที่ไม่ได้ออกมาเพียงเพราะแค่เขาเป็อัลฟ่าก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเป็ผู้นำในอนาคตของไซม่อนแล้วละ
หวังว่ามันจะเป็อย่างที่เขาคิดนะ
เข็มนาฬิกายังคงเดินไปเรื่อย ๆ แผ่นเสียงเพลงคลาสสิกที่ถูกเปิดคลอเบา ๆ ลดความเครียดให้กับผู้เรียนก็ยังคงทำงานได้อย่างดี ความเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องเรียนนั้นชวนให้แพททริเซียที่กินยาเข้าไปง่วงอยู่ตลอด แต่เพราะเสียงพลิกกระดาษของอัลฟ่าหนุ่มตรงหน้านั่นแหละที่ทำให้เปลือกตาที่หนักอึ้งของเขาถูกกล่อมมากเข้าไปทุกที
อัลฟ่าหนุ่มที่กำลังปวดเมื่อยคออยู่เงยหน้าขึ้นมาพบกับคุณครูจำเป็ตรงหน้าที่ดูเหมือนจะนั่งหลับแบบไม่รู้ตัวก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เ้าของกลุ่มผมสีอ่อนนั่งคอตกจนน่าสงสาร ทั้งอากาศในห้องที่เย็นซะจนคนไม่ได้ป่วยอย่างเขายังรู้สึกหนาว แล้วอีกฝ่ายที่ป่วยอยู่จะไม่หนาวได้ยังไงกัน
ไซม่อนก้าวไปหาคนตัวเล็กที่นั่งอยู่โต๊ะตรงหน้าของเขา อัลฟ่าหนุ่มเดินอ้อมไปปรับเก้าอี้และถือวิสาสะหยิบผ้าห่มผืนเล็กคลุมร่างเล็กให้อย่างเบามือ เขายืนมองดูท่าทางคนป่วยที่กำลังหลับใหลแล้วก็นึกขำขึ้นมา
ป่วยขนาดนี้จะฝืนมาสอนกันทำไมนะ
เ้าของใบหน้าหล่อส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม อย่างน้อยก็ดีมากแล้วที่วันนี้เขาตัดสินใจฝากแซมมี่ไว้กับพี่เลี้ยง ไม่อย่างนั้นละก็เ้าสุนัขตัวโตจะต้องไปวอแวคนป่วยจนไม่ได้หลับพักผ่อนอย่างแน่นอน ไซม่อนพลิกหน้ากระดาษดูและพบว่ายังเหลืออีกหลายหน้าที่เขาต้องอ่านเพื่อตอบคำถามให้กับอีกฝ่ายในท้ายชั่วโมง
ถ้าหากแพทริเซียตื่นขึ้นมาถามทันน่ะนะ
เวลาผ่านไปล่วงเลยไปจนท้องฟ้าข้างนอกเริ่มเปลี่ยนเป็สีส้ม อัลฟ่าหนุ่มก็ปิดวางหนังสือเล่มข้างหน้าลงที่ข้างตัวทันที เขายกแขนขึ้นบิดคลายกล้ามเนื้อเล็กน้อยก่อนจะพบว่าแพทริเซียยังคงนอนหลับสนิทอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังหลับในหน้าที่อยู่ ไซม่อนส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูขึ้นมาอ่านข้อความบนหน้าจอ และยังไม่ทันที่เขาจะได้อ่านจบ เสียงพึมพำในลำคอจากคนที่กำลังจมอยู่ในห้วงนิทราก็ดังขึ้น
“แม่.. แพทหนาว”
“อะไรนะคุณมอร์แกน?”
“แม่ ซุปฟักทอง.. แม่”
“คุณละเมอเหรอ?”
“ซุปฟักทอง”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจเพราะคำพูดเพ้อ ๆ จากริมฝีปากเล็กนั้น คำพูดที่เขาพอจับใจความได้มีเพียงแค่ซุปฟักทองเท่านั้น ถึงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่เขาก็พอจะตีความได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะอยากกินซุปฟักทอง ไซม่อนสายหัวน้อย ๆ กับคำละเมอที่ออกมาเรื่อย ๆ อย่างจับใจความไม่ได้
แต่ถึงตัวเขาจะอยากปลุกอีกฝ่ายขึ้นมาถามเท่าไหร่
เขาก็ไม่ได้ทำมันและปล่อยให้เวลาผ่านไปจนจวนจะหมดชั่วโมงเรียนเท่านั้นแหละ
- Simon’s theory -
หากความปวดเมื่อยที่แพทยังมีอยู่มันไม่มากพอ การที่ต้องมานั่งหลับแบบนี้ก็เหมือนเป็การลงโทษซ้ำสองจากพระเ้าเลยก็ว่าได้ แพทค่อย ๆ ยกแขนขึ้นเพื่อบิดี้เีทั้ง ๆ ที่ยังไม่ลืมตา อาการปวดยังคงลามไปทั่วหลังและคอหลังจากที่ต้องก้ม ๆ เงย ๆ หาของอยู่ร่วมหลายชั่วโมงนั่นแหละ
แต่เดี๋ยวนะ
ก่อนหน้านี้เขาสอนไซม่อนอยู่ไม่ใช่เหรอ?
เปลือกตาสีอ่อนถูกเปิดกว้างทันทีที่รู้สึกตัวว่าตัวเองหลับไปในหน้าที่และภาพตรงหน้าก็เป็ไซม่อน ควินท์เรลที่นั่งกอดอกและพิงพนักโซฟาหลับอยู่ ดวงตากลมโตจ้องมองไปที่นาฬิกาแล้วก็พบว่านี่มันเลยเวลาสอนของเขามาเกือบชั่วโมงแล้ว ทันทีที่ตั้งสติได้ เสียงหวานปนแหบของคนป่วยก็รีบเอ่ยเรียกนักเรียนจำเป็ของตนเบา ๆ
“คุณควินท์เรล”
เพียงเสียงเรียกแค่นิดเดียวจากแพทริเซียก็ทำให้อัลฟ่าหนุ่มที่กำลังงีบอยู่สะดุ้งตื่นได้ เขาคลายแขนจากการกอดอกช้า ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มแห้ง ๆ มาให้อย่างรู้สึกผิด
“ตื่นแล้วเหรอ?”
“เราขอโทษครับ เรากินยาไปแล้วมันเพลีย”
“ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ”
“แต่มันเกินเวลาเรียนไปตั้งนานแล้ว ทำไมคุณไม่ปลุกล่ะ?”
“คนจะนอน ปลุกเพื่ออะไรล่ะ?”
“งั้นถึงเวลาเลิกเรียนแล้วนะครับ ถ้ายังไงพรุ่งนี้ก็ช่วยจดสรุปที่คุณควินท์เรลอ่านมาให้เราเหมือนเดิมด้วยนะ”
แพทยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เขินก่อนจะค่อย ๆ ทยอยเก็บข้าวของบนโต๊ะพลางเหลือบมองอัลฟ่าหนุ่มที่ยังคงนั่งจ้องมองเขาอยู่ในท่าเดิม ทั้ง ๆ ที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลาของมื้อเย็นแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมวันนี้ไซม่อนกลับไม่ได้ดูรีบร้อนอยากออกจากห้องเรียนเหมือนในวันแรก ๆ กันนะ
จนถึงเวลาที่แพททยอยเก็บข้าวของทั้งหมดจนครบ อีกฝ่ายก็ยังคงนั่งจ้องเขาอยู่แบบนั้น และคนขี้สงสัยอย่างแพทก็ต้องได้รับคำตอบในทันทีที่ตัวเองอยากรู้นั่นแหละ
แต่จะถามยังไงให้มันดูไม่เหมือนการไล่ดีล่ะ
เพราะทั้งห้องนี้และทุก ๆ ห้องในคฤหาสน์ก็เป็ของเขาทั้งหมด
“คุณควินท์เรลครับ”
“ว่าไง?” อีกฝ่ายตอบมาในทันทีที่เขาเรียก
“เปล่าครับ เราแค่สงสัยว่าคุณมีอะไรอยากถามเราไหม?”
“ไม่มีนะ”
“อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้วนะครับ ทำไมถึ-”
“เื่สร้อยไง”
เขาตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“บอกแล้วว่าจะเล่าให้ฟัง”
“จริงด้วย”
“มานั่งตรงนี้ก็ได้นะคุณมอร์แกน”
หากเป็ในวันแรก ๆ ที่เขาและไซม่อนรู้จักกัน แพทคงไม่อยากจะเชื่อว่าเื่นี้จะเกิดขึ้นได้จริง แพทค่อย ๆ ก้าวเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กข้าง ๆ โซฟาอย่างไม่รีบร้อน ในตอนนี้เขารู้สึกว่ากำแพงในใจที่เคยมีกับอัลฟ่าหนุ่มตรงหน้าเริ่มลดลงจนเขาเองก็พร้อมจะเปิดใจรับฟังทุกอย่างจากอีกฝ่ายแล้ว
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าไซม่อนนั้นจะสบายใจแค่ไหนก็เถอะ
แต่แค่ยอมเล่าเื่เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ฟังมันก็คงดีมาก ๆ แล้วละ
“สร้อยเส้นนี้ไม่ใช่สร้อยของเราหรอก” เขาพูดพลางจับสร้อยสีเงินบนคอไปด้วย
“จริง ๆ แล้วสร้อยเส้นนี้เป็ของคุณแม่ รู้จักใช่ไหม? คุณโรสซีลิน”
แพททำได้แค่เพียงพยักหน้าตอบกลับไปช้า ๆ เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากให้ไซม่อนรู้ว่าเขารู้เื่เกี่ยวกับคุณแม่ของตัวเองมากแค่ไหน เพราะถ้าเป็ตัวแพทเอง เขาก็คงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าต้องได้ยินเื่เกี่ยวกับคุณแม่ที่ฟังมาจากคนอื่นอีกที
อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงวันที่ไซม่อนยอมเปิดใจเล่าเื่นี้
จนถึงวันนั้นเขาคงเข้าใจทุกอย่างได้อย่างถูกต้องสักที
“สร้อยนี้เป็สร้อยที่คุณพ่อกับคุณแม่สั่งทำด้วยกัน เป็สร้อยคู่เส้นแรกที่เป็ของขวัญครบรอบแต่งงานในปีแรกของพวกท่าน สร้อยเส้นนึงเป็แม่กุญแจ ส่วนอีกเส้นเป็กุญแจ”
“สร้อยคู่สินะ”
“ตอนแรกเราก็เคยถามคุณพ่อเหมือนกันว่าทำไมถึงให้แม่กุญแจกับคุณแม่ ทั้ง ๆ ที่ตามความรู้สึกแล้วมันควรจะเป็ของคุณพ่อมากกว่า แต่คุณพ่อก็ให้เหตุผลมาว่าที่คุณพ่อได้สร้อยรูปกุญแจเป็เพราะคุณพ่อเป็คนที่ปลดปล่อยคุณแม่จากความเศร้าและคุณพ่อก็เป็คนที่เก็บความรักของคุณแม่ไว้อย่างดี เหมือนกับกุญแจที่คอยไขเก็บรักษาความปลอดภัยได้ตลอด”
“..”
“คุณพ่อและคุณแม่ใส่สร้อยนี้คู่กันมาตลอด ไม่เคยถอดเลยสักครั้ง”
แพทก้มจ้องอัลฟ่าหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่วางตา ไม่ใช่เพียงเพราะแค่เื่ราวที่เขาเล่ามันรู้สึกกินใจแต่กลับเป็เพราะแววตาและน้ำเสียงที่เขาเล่ามันช่างดูอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึกจนคนฟังต้องรู้สึกตามไปด้วย
“แล้ววันสุดท้ายก่อนคุณแม่จะไม่ได้ใส่มันอีกก็คือวันที่คุณแม่จะไปงานเลี้ยงครบรอบหนึ่งร้อยปีของสี่ตระกูลผู้ก่อตั้งเอดมันตัน เคยได้ยินเื่นี้ใช่ไหม?”
“..อื้ม”
“ก่อนคุณแม่จะไปที่งานเลี้ยง คุณแม่ถอดสร้อยเส้นนี้ให้เราในตอนที่เราหลับอยู่ในเปลและยังไม่รู้เื่หรือจำความอะไรได้เลยด้วยซ้ำ นั่นเป็ครั้งสุดท้ายจริง ๆ”
“คุณควินท์เรล”
“เพราะสร้อยเส้นนี้สำคัญมาก ๆ สำคัญมากกว่าตำแหน่งผู้สืบทอดทายาทที่ทุกคนอยากให้เราเป็ด้วยซ้ำ เราถึงรีบตามหามันและไม่ได้บอกคุณก่อน”
“ไม่เป็อะไรครับ เราเข้าใจแล้ว”
“ไม่ได้อยากทำตัวเป็เด็กมีปัญหาอย่างที่คุณพูดเลย”
แพทริเซียชะงักเล็กน้อยเพราะคำพูดของตัวเองที่พูดไปเพราะอารมณ์โมโหชั่ววูบได้ย้อนกลับมาให้ฟังในตอนที่เข้าใจทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่เขาก็ควรจะรู้อยู่แล้วว่าควรระวังทุกคำพูดกับทุกคน เพราะทุกคนมีเหตุผลเป็ของตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เขาก็ไม่น่าไปตัดสินให้มันเป็เื่เล็กหรือต่อว่าใครให้เป็าแในใจแบบนี้เลย
“คุณควินท์เรล”
อีกฝ่ายสบตากลับมาพร้อมแววตาที่อ่อนไหวเหมือนในตอนแรกที่เขายังคงตามหาสร้อยอย่างหมดหวัง ทุกเหตุการณ์มันวนกลับมาทำเอาแพทริเซียต้องนั่งเม้มปากแน่น
“ว่าไงคุณมอร์แกน?”
“เราขอโทษ”
“เมื่อคืนคุณขอโทษไปแล้ว”
“เรารู้ แต่ในครั้งนี้เราขอโทษในเื่ที่ตัดสินคุณผิดไป”
“ยังไง?”
“เอาเป็ว่าเราเปลี่ยนความคิดแล้ว”
อัลฟ่าหนุ่มพยักหน้ากลับมาเป็คำตอบ เขาเอื้อมมือหยิบเก็บข้าวของสำหรับการเรียนทุกอย่างไว้ตรงหน้าก่อนจะส่งยิ้มให้แพทจนโอเมก้าตัวเล็กใเล็กน้อย
นี่มันยิ้มแรกเลยหรือเปล่า?
“ขอบคุณนะคุณมอร์แกน”
“ขอบคุณอะไรครับ?”
“ขอบคุณที่อุตส่าห์ลำบากช่วยเราหาสร้อยจนเจอแล้วก็ขอบคุณที่ฝืนตัวเองมาสอนทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่สบายอยู่ด้วย”
“มันหน้าที่เราต่างหากครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณที่ทำหน้าที่ได้อย่างดีนะ”
แพทริเซียไม่รู้เลยว่าในตอนนี้ที่เขากำลังรู้สึกว่าหัวใจพองโตมากกว่าที่เคยเป็นั้นเป็เพราะว่าคำชมหรือท่าทีแสดงความห่วงใยจากคนตรงหน้า และดูเหมือนว่าเื่ที่เคยขุ่นเคืองในใจกับอีกฝ่ายกำลังเลือนหายไปช้า ๆ ทั้งที่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
และถึงแม้ข้อสงสัยที่เขาเคยสงสัยหลาย ๆ อย่างในตัวอัลฟ่าตรงหน้าจะถูกคลี่คลายไปทีละเื่แล้ว แต่เื่เกี่ยวกับคุณป้าแมรี่ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาจนได้ ถ้าหากไม่ถามวันนี้ เขาเองก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีโอกาสได้นั่งคุยกับไซม่อนแบบนี้ในทุก ๆ วันไหม
ถามเลยก็แล้วกัน
“คุณควินท์เรล เรามีเื่จะถาม”
“ว่ามาสิ”
“เื่คุณป้าแมรี่ คุณได้แกล้งเราหรือเปล่า?”
“ไม่ได้แกล้ง ก็ชูครีมของคุณป้าแมรี่คือของโปรดจริง ๆ”
“แต่..”
“ใช่ คุณป้าแมรี่ท่านเสียไปแล้ว”
จริง ๆ แพทริเซียก็เพิ่งรู้ตอนนี้เลย
ว่าทักษะการตีความของเขามันอาจจะผิดเพี้ยนไปหมด
ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้หลอกเขาด้วยซ้ำ เขาแค่บอกมาว่าขนมโปรดคือสิ่งนี้
“แต่ถ้าขนมที่พอกินได้ในทุก ๆ วันก็มีโ-”
“อะแฮ่ม”
“เจซ!”
เสียงกระแอมจากบุคคลปริศนาที่กำลังยืนพิงกรอบประตูอยู่ทำไซม่อนตาโตวิ่งถลาเข้าไปหาทันที และเมื่อแพทหันไปมองก็พบกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่อยู่ในชุดสูทอย่างเป็ทางการ ผมของเขาเป็สีบลอนด์อ่อนที่รับกับใบหน้าของเขาได้อย่างสมบูรณ์และจุดสังเกตที่เขาจะไม่มีทางลืมอีกฝ่ายแน่ ๆ ก็คือ
เขามีตาสองสี
ข้างนึงเป็สีดำ ส่วนข้างนึงเป็สีเทา
และเพียงแค่จ้องมองอยู่ชั่วครู่บรรยากาศโดยรอบก็เหมือนกดดันให้แพทต้องจนมุม สบตาเพียงครู่เดียวก็ได้เข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นเป็อัลฟ่าอย่างแน่นอน
หรือจะเป็คนนี้ที่เป็เพื่อนเพียงคนเดียวของไซม่อน?
แต่ยังไม่ทันได้แนะนำตัว ไซม่อนก็ลากชายหนุ่มที่ชื่อเจซออกไปจากตรงนั้นด้วยความตื่นเต้นและทิ้งให้เขาอยู่ในห้องนั้นทั้งที่ยังไม่ได้บอกลากันด้วยซ้ำ แพทริเซียส่ายหัวน้อย ๆ เอ็นดูอัลฟ่าหนุ่มที่ดูตัวเล็กจ้อยลงทันทีเมื่อเจอเพื่อน
อย่างน้อยก็หวังว่าเขาจะดีใจจนลืมเื่ที่เคยทำให้เศร้าได้บ้างนะ
- Simon’s theory -
และเย็นวันนั้นแพทริเซียก็ไม่ได้ลงไปทานมื้อเย็นอีกตามเคยเพราะผล็อยหลับไปหลังจากที่เขากินยาในตอนกลับขึ้นมาบนห้อง แสงไฟจากโคมไฟส่องสลัวให้ทั่วห้องดูอบอุ่นสำหรับคนป่วยมากขึ้น เขาซุกตัวลงในผ้าห่มนิ่มพร้อมความรู้สึกที่หิวจนทนไม่ไหว
แต่ก็ยังโชคดีที่ก่อนขึ้นห้องนั้น เขาแวะไปขอขนมปังกับนมมาไว้เผื่อตัวเองหิว สองเท้าน้อยค่อย ๆ ก้าวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง เขาเดินไปหยิบขนมปังและนมที่เตรียมไว้มาวางบนโต๊ะก่อนจะจัดการเปิดไฟให้สว่างไปทั่วห้องเพิ่มความสดชื่นให้ตัวเอง
ก๊อก ก๊อก..
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนที่แพทกำลังจะนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะทำงานเพื่อทานอะไรรองท้อง คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยเพราะในตอนนี้เป็เวลาที่ครัวปิดหมดแล้ว และมันก็เกินเวลาที่จะเอาอาหารขึ้นมาให้แล้วด้วย
หรือจะเป็ไซม่อน?
คนตัวเล็กรีบเดินไปที่ประตูพร้อมจัดแต่งเสื้อผ้าและทรงผมของตัวเองให้เข้าที่ก่อนจะเอื้อมมือบิดกลอนประตูช้า ๆ เพื่อสอดส่องคนที่อยู่หน้าประตู
ไม่ใช่ไซม่อน
“สวัสดีค่ะคุณมอร์แกน”
แพทริเซียเองก็มั่นใจมาตลอดว่าตัวเองจำสาวใช้ที่ขึ้นมาบนชั้นสองได้หลายคนเพราะคุณเจมส์ให้จำเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แต่สาวใช้ตรงหน้าถึงจะคุ้นตาอยู่บ้างแต่ก็เหมือนไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่คุณเจมส์ให้มาเลยด้วยซ้ำ
“ฉันชื่อจัสมินนะคะ, เป็พี่เลี้ยงของคุณไซม่อนค่ะ”
“สวัสดีครับ”
คนตัวเล็กยืนงุนงงเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายแนะนำตัว เพราะที่เคยได้ยินมาก็คือพี่เลี้ยงของไซม่อนจะไม่รับหน้าที่อื่นเลยนอกจากดูแลไซม่อนแต่แล้วทำไมวันนี้ถึงเป็พี่เลี้ยงของทายาทควินท์เรลที่ถือถาดอะไรสักอย่างมาให้เขาล่ะ
กลิ่นอย่างกับซุปฟักทองแน่ะ
“อันนี้คุณไซม่อนให้เอามาให้คุณมอร์แกนค่ะ”
“ครับ??”
และยิ่งได้รับคำตอบจากคนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้แพทริเซียสับสนเข้าไปใหญ่
“ซุปฟักทองจากคุณไซม่อนค่ะ”
“หมายถึงให้ผมเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ คุณไซม่อนสั่งทำพิเศษให้คุณมอร์แกน มียาลดไข้และวิตามินบำรุงด้วยนะคะ ถ้ายังไงขอรบกวนเข้าไปวางถาดสักครู่นะคะ”
หูของแพทริเซียอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงจากคุณจัสมินเลยด้วยซ้ำ เขาทำเพียงแค่ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปวางถาดบนโต๊ะ และรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ปิดประตูไปแล้วนั่นแหละ
นี่มันคือความฝันหรือเขาไม่สบายจนเกิดภาพหลอนกันนะ
หากเป็ความฝันก็ขอให้พระเ้าโปรดช่วยให้ลูกหลุดจากความฝันนี้ที
เพราะในตอนนี้ลูกที่เคยพูดไว้ว่าจะไม่รู้สึกดีกับอัลฟ่าหน้าไหน
กำลังรู้สึกดีอย่างห้ามใจไม่ได้จริง ๆ
- Simon’s theory -