Chapter ten: Jesse Mcqoid
เสียงนกร้องประสานกับเสียงคลื่นน้ำในทะเลสาบที่ก้องไปทั่วบริเวณ ท้องฟ้าโปร่งในยามเช้าของวันเสาร์ทำให้โอเมก้าตัวเล็กยืดตัวสุดแขนพร้อมสูดลมหายใจลึกรับอากาศบริสุทธิ์อย่างอารมณ์ดี ถึงแม้่อาทิตย์ที่ผ่านมาทำให้เขาเริ่มปรับตัวจนชินกับการมาอยู่ที่คฤหาสน์ได้บ้างแล้วก็เถอะ แต่ยังไงทุกคนก็้าวันหยุดอยู่ดีนั่นแหละ
กลิ่นหอมของดอกไม้หลากหลายชนิดที่ถูกดูแลอย่างดีลอยมาพร้อมกับลมเย็น ๆ ทำคนที่นั่งอยู่ริมทะเลสาบเผลอพริ้มหลับตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม โดยปกติแล้วถ้าหากจะได้มองทัศนียภาพที่งดงามขนาดนี้ เขากับเพื่อนสนิทอย่างบลูต้องเดินทางเป็ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงจะเหนื่อยขนาดไหน เพียงเพราะแค่อยากัับรรยากาศดี ๆ ที่ไม่ได้มีในย่านที่เขาอยู่อาศัย พวกเขาก็ต้องยอมอยู่ดี
แต่ดูที่นี่สิ เหมือนยกทุกอย่างมาบรรจงวางไว้เลย
มีครบทุกอย่างจนเขาเองก็อดอิจฉาไม่ได้
ถ้าได้อยู่ที่นี่ตลอดชีวิต เขาคงไม่อยากออกไปไหนแน่ ๆ
เสียงย่ำเท้าของสาวใช้ที่หอบของพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือดังมาจากทางด้านหลังของแพทริเซีย คนที่หลับตาพริ้มคิดฟุ้งซ่านอยู่ต้องหลุดจากภวังค์และหันกลับไปมองทันที เบต้าสาวส่งยิ้มให้แพทริเซียพร้อมก้มหัวให้น้อย ๆ เป็การทักทาย
หลังจากวันนั้นที่แพทและเบลล์ได้รู้จักกันโดยบังเอิญเพราะเื่ของคุณป้าแมรี่ เพราะอายุที่ไล่เลี่ยกันและการพูดคุยที่ค่อนข้างถูกคอทั้งสองคนก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ หากแพท้าที่จะรู้เื่เกี่ยวกับคฤหาสน์ควินท์เรลในมุมอื่น ๆ บ้าง เขาก็ต้องพึ่งพาเบลล์ที่เติบโตในคฤหาสน์หลังนี้ั้แ่เด็ก ๆ นี่แหละ
“หนูมาแล้วค่ะคุณแพท”
“บอกให้เรียกพี่แพทไง”
“คือหนู..เกรงใจ” เบต้าสาวกกะพริบตาปริบ ๆ พลางมองหน้าก่อนจะค่อย ๆ วางถาดผลไม้และขนมที่เขาเตรียมมาฝากแพทริเซียลงข้าง ๆ อีกฝ่ายอย่างเบามือ
“ไหนลองเรียกพี่แพทซิ”
“คุณแพท”
“พี่แพท”
“..พี่แพทก็ได้ค่ะ”
แพทริเซียส่งยิ้มให้เด็กสาวอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปปัดเศษกิ่งไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ด้านข้างให้ก่อนอีกฝ่ายจะนั่งลงข้างกัน
เสียงเจื้อยแจ้วของเบต้าสาวดังขึ้นพร้อมกับท่าทางที่บรรยายเื่ผลไม้และขนมที่เอามาฝากแพทน่าเอ็นดูจนแพทอดยิ้มตามไม่ได้ เบลล์เป็หญิงสาวหน้าตาน่ารัก จากคำบอกเล่าของอีกฝ่าย ครอบครัวของเบลล์นั้นทำงานรับใช้บ้านควินท์เรลมานานั้แ่สมัยปู่ย่าตายายจนถึงรุ่นปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่ได้เป็อาชีพที่ทำให้เด็กที่เฉลียวฉลาดอย่างเบลล์ไปต่อได้ไกลเท่าไหร่นักแต่อย่างน้อยแพทคิดว่านี่ก็ถือว่าเบลล์โชคดีอยู่เหมือนกัน เพราะคุณลอร่าอุปการะส่งเสียให้เด็กสาวเรียนั้แ่เด็กจนโตและเพราะการดูแลที่เอาใจใส่แบบนี้ ความจงรักภักดีและบุญคุณที่มีต่อครอบครัวของเบลล์ก็เป็อีกหนึ่งเหตุผลที่เด็กสาวยังอยากรับใช้คฤหาสน์หลังนี้อยู่เหมือนเดิมด้วย
ในขณะที่แพทริเซียกำลังมองหน้าเด็กสาวตรงหน้าอย่างใช้ความคิด จู่ ๆ ภาพของอัลฟ่าตาสองสีก็ลอยเข้ามาในหัวทันทีที่เหลือบไปเห็นหน้าต่างห้องเรียนที่เขาใช้สอนไซม่อน ดวงตาสีดำและเทาของอัลฟ่าผู้นั้นช่างน่าดึงดูดแต่ก็น่าเกรงขามไปพร้อม ๆ กัน สภาวะกดดันเมื่อได้จ้องตากับอีกฝ่ายยังคงทำแพทขนลุกซู่ราวกับไปยืนอยู่ท่ามกลางหิมะเมื่อได้นึกถึง แต่รอยยิ้มกว้างของเขาก็กลับดูสดใสราวกับเป็คนละคนเมื่อไซม่อนเดินเข้าไปหา
หรือเขาจะไม่ชอบโอเมก้า?
จริง ๆ แพทริเซียก็พอจะรู้อยู่หรอกนะว่าตัวเขาแทบจะไม่ต้องอธิบายอะไรให้ใครได้รู้เลยว่าเป็เพศอะไร เพราะทุกอย่างมันแสดงออกชัดผ่านร่างกายเสียจนบางทีเขาก็แอบหงุดหงิดรูปร่างของตัวเองอยู่เหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าในยุคสมัยนี้แล้วมันจะไม่มีการกดขี่อะไรแบบนั้นแล้วก็เถอะแต่พอได้เห็นสายตาของพวกอัลฟ่าที่มองมามันก็ชวนให้ขนลุกอยู่เหมือนกัน ใครจะอยากถูกมองด้วยสายตาแบบนั้นอยู่ตลอดกันล่ะ ต่อให้บอกว่าไม่สนใจมากแค่ไหนสุดท้ายก็ยังเคืองในใจอยู่หน่อย ๆ ตลอดนั่นแหละ
ไอ้พวกอัลฟ่าไร้มารยาทพวกนั้นมันแย่ที่สุด
เบต้าสาวยกมือขึ้นโบกมือปัดผ่านไปมาต่อหน้าเ้าของใบหน้าหวานที่กำลังเหม่อมองไปทางคฤหาสน์อย่างไม่รู้เหตุผล จนหญิงสาวต้องตัดสินใจเรียกคนตรงหน้าก่อนที่ผลไม้ในมือของแพทจะตกไปซะก่อน
“พี่แพท”
“..”
“พี่แพทคะ”
“ฮะ? ว่าไงเบลล์ ขอโทษที” คนถูกเรียกสะดุ้งหลุดจากภวังค์ทันที
“เปล่าค่ะ หนูแค่เห็นพี่ดูเหม่อๆ”
“อ๋อ..”
“มีอะไรให้กังวลใจเหรอคะพี่แพท? หนูพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม?” หญิงสาวตรงหน้าถามด้วยความเป็ห่วงเมื่อเห็นแพทส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับมาให้ แพทที่แทบจะปกปิดอะไรผ่านสีหน้าไม่ได้เมื่อถูกจี้คำถามตรงใจก็ยิ่งแสดงออกไปชัดมากกว่าเดิม จนสุดท้ายเขาก็ต้องจำใจเล่าเื่ที่กังวลใจและสงสัยเกี่ยวกับอัลฟ่าตาสองสีคนนั้นให้เบต้าสาวฟัง
“ตาสองสี.. คุณเจซเหรอคะ?”
“ใช่ ๆ คนที่ผมสีบลอนด์อ่อน ๆ หน่อย เบลล์เคยเห็นหรือเปล่า?”
เ้าของเสียงหวานเอ่ยถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นคนตรงหน้าพยักหน้าตอบรับกลับมาทันทีก็ทำแพทริเซียยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องไปนั่งหาเองแล้วว่าคนชื่อเจซนี่เป็ใครเพราะคนชื่อเจซก็ไม่ได้มีแค่คนเดียวในเอดมันตันซะหน่อย
ใครจะไปรู้จักล่ะ
“พี่แพทไม่รู้จักคุณเจซเหรอคะ?”
“ไม่น่ะสิ ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย”
“แสดงว่าพี่แพทไม่เคยดูอะไรเกี่ยวกับกีฬาเลยใช่ไหม?”
ก็ใช่น่ะสิ..
แค่คิดยังเหนื่อยเลย ใครเขาจะไปดูกีฬานาน ๆ กัน
กิจกรรมที่ต้องใช้แรงมากมายขนาดนั้นน่ะ
เบต้าสาวหัวเราะออกมาน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าโอเมก้าที่นั่งข้างกันทำหน้าแหยออกมาแบบที่เ้าตัวก็ไม่น่าจะรู้ตัวด้วยซ้ำก่อนที่เธอจะตั้งใจอธิบายต่อให้คนขี้สงสัยตรงหน้าได้คลายกังวลบ้างสักที
“หนูคิดว่าคนที่พี่แพทเจอน่าจะเป็คุณเจซ นักกีฬาธนูตัวแทนเอดมันตันปีล่าสุดค่ะ”
“เหรอ..”
“เป็เพื่อนสนิทคนเดียวของคุณไซม่อนและสามารถเข้าออกคฤหาสน์ได้ตลอดเวลาแบบไม่ต้องขออนุญาตใครก่อน”
“..”
“แล้วก็เป็ทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลแมคคอยด์ด้วยค่ะ”
เดี๋ยวนะ
“แมคคอยด์เหรอ?”
“ค่ะ คุณเจซ แมคคอยด์”
คำตอบที่ย้ำเสียงดังฟังชัดของหญิงสาวตรงหน้าทำแพทชะงักไปชั่วขณะ และหากแพทริเซียไม่ได้มีปัญหาเื่การหลงลืมนั้น เขาก็จำได้ว่าสี่ตระกูลใหญ่ของเอดมันตันประกอบไปด้วย ควินท์เรล, อีแวนส์, ริเวอร่า,
และสุดท้ายก็คือ แมคคอยด์
เพียงได้รับคำตอบที่คลายข้อสงสัยของตัวเอง แพทริเซียก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงรู้สึกถึงความกดดันมากมายขนาดนั้นเพียงแค่เผลอไปสบตากับอัลฟ่าตาสองสีคนนั้น รังสีความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมามันช่างเหมาะสมกับตำแหน่งทายาทตระกูลแมคคอยด์จริง ๆ นั่นแหละ
เื่ราวเกี่ยวกับเจซ แมคคอยด์เท่าที่เบลล์พอจะรู้ก็ได้ถ่ายทอดจากปากเบต้าสาวทันทีหลังจากนั้น ถึงแม้เบลล์จะไม่รู้อะไรมากนักแต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเขาสามารถเจอเจซ แมคคอยด์ในคฤหาสน์แห่งนี้ได้ตลอดเวลาเพราะเจซเป็เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของไซม่อนั้แ่เด็ก และทุกคนในคฤหาสน์ควินท์เรลนั้นก็ไว้วางใจเขาราวกับว่าเขาเป็หนึ่งในตระกูลยังไงอย่างนั้น แม้ภายนอกของเขาจะดูเ็าและเย่อหยิ่งในสายตาคนทั่วไปอยู่บ้างแต่เบลล์ก็ยังคงยืนยันว่าเขาเป็คนที่สุภาพและอ่อนโยนที่สุดอีกคนนึงที่เบลล์เคยได้พบ
แต่แพทก็คิดไม่ออกเลยว่าจะได้เห็นมุมนั้นจากเจซยังไงกัน
- Simon’s theory -
หลังจากนั่งคุยสัพเพเหระที่ริมทะเลสาบกับเบลล์อยู่นานสองนาน เบลล์ก็ได้ชวนแพทเข้าไปทำขนมมื้อว่างฆ่าเวลาเพราะไม่อยากให้แพทนั้นเอาแต่ขลุกอยู่ในห้องมากเกินไป จากที่เคยคิดว่าคงต้องเหงาและโดดเดี่ยวมาก ๆ ที่มาอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้แต่พอได้มีน้องสาวต่างวัยมาเป็เพื่อนพูดคุยบ้างก็ทำให้แพทรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเป็ไหน ๆ
ทั้งสองคนเดินพูดคุยกันอย่างไม่หยุดหย่อนตามประสาคนช่างจ้อตลอดทั้งทางเดินมาที่ครัว บรรยากาศภายในห้องครัวไม่ได้ดูชุลมุนเท่าตอนเตรียมมื้ออาหารหลักเท่าไหร่นักเพราะในตอนนี้มีเพียงแม่ครัวสองสามคนที่กำลังทำขนมกันเท่านั้น กลิ่นหอมที่คุ้นเคยจากขนมในเตาอบทำให้เขาต้องชะงักอยู่ครู่นึง
เหมือนกลิ่นที่ได้ดมอยู่บ่อย ๆ เลย
แต่ยังไม่ทันที่ได้เอ่ยถาม แพทก็ถูกเบต้าสาวดึงแขนให้มานั่งตรงหน้าเคาน์เตอร์ทำขนมซะแล้ว หญิงวัยกลางคนสองสามคนที่กำลังยืนนวดแป้งอยู่ส่งยิ้มใจดีมาให้เขาก่อนจะเลื่อนถาดที่เต็มไปด้วยคุกกี้มาให้ตรงหน้า
“คุณมอร์แกนลองชิมดูนะคะ ถือว่าเป็ค่าเหนื่อยที่พาลูกสาวป้ารบกวนอยู่ตลอด”
แทบไม่ต้องเดาเลย หญิงวัยกลางคนที่เบลล์ถอดแบบใบหน้ามาอย่างกับจับวางก็คือคุณแม่ของเด็กสาวคนนี้จริง ๆ แพทก้มหัวให้เล็กน้อยพร้อมส่งยิ้มจริงใจไปให้อย่างเกรงใจ
“ขอบคุณมากครับคุณป้า จริง ๆ แล้วแพทน่ะสิที่เป็คนรบกวนเบลล์เขา”
“ไม่จริงนะพี่แพท หนูนี่แหละพูดมากรบกวนพี่แพท ห้ามโทษตัวเองนะคะ” เสียงเล็กแหลมสวนขึ้นมาทันทีที่แพทพูดจบประโยคเรียกเสียงหัวเราะจากคนโตกว่าได้ทันที
“โอเค ๆ พี่ไม่โทษตัวเองแล้ว”
เสียงพูดคุยยังคงดังคลอไปพร้อมกับเสียงเตาอบที่ทำงานอย่างหนักจนส่งกลิ่นหอมฟุ้งชวนให้ท้องร้อง แพทริเซียที่นั่งฟังเื่ราวชวนให้ยิ้มจากคุณแม่ของเบลล์ก็ยิ่งเอ็นดูเบต้าสาวตรงหน้าเหมือนกับน้องแท้ ๆ ของตัวเอง อาจเป็เพราะตัวเขานั้นเป็ลูกคนเดียว พอได้มาเจอกับคนอายุน้อยกว่าที่พูดคุยกันถูกคอและเข้าอกเข้าใจกันใน่สั้น ๆ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนเป็พี่เป็น้องกันไปโดยปริยาย
บทสนทนาระหว่างเขาและแม่ครัวยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อได้ง่าย ๆ แต่จู่ ๆ เมื่อชื่อขนมที่คุ้นหูจากทายาทควินท์เรลผุดขึ้นมาในบนสนทนาก็ทำให้เื่คาใจที่เกือบจะถูกลืมแล้วของแพทกลับเข้ามาในความคิดได้อย่างง่ายดาย
ขนมโปรดของไซม่อน
เพราะในวันนั้นเป็เจซ แมคคอยด์ที่เข้ามาขัดในประโยคสุดท้ายก่อนที่ไซม่อนจะบอกเื่ขนมโปรดของตัวเองแต่เขาก็หวังว่าที่จะบอกคงไม่ใช่ขนมของคุณป้าแมรี่หรอกนะ เพราะถ้าไปถามแม่ครัวในตอนนี้ ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาคงจะเป็เหมือนกับตอนที่เขาได้บอกเบลล์ครั้งแรกแน่ ๆ
“เอ่อ คุณป้าครับ”
“คะคุณมอร์แกน?” หญิงวัยกลางคนเงยหน้าจากการนวดแป้งและขานรับเขาทันที
“คือว่า”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ถามแม่ได้หมดเลยนะพี่แพท” เบลล์พูดเสริมขึ้น
“คือ.. ่นี้คุณควินท์เรลเขามีขนมโปรดบ้างมั้ยครับ?”
“อ๋อ คุณไซม่อนน่ะเหรอ”
“ครับ..” แพทตอบเสียงเบาหวิวด้วยความเขินอาย ถึงแม้มันจะไม่มีอะไรให้เขินก็เถอะแต่อยู่ดี ๆ จะมาถามเื่ขนมโปรดของนักเรียนตัวเองนี่มันก็ดูแปลกไปหน่อย โดยเฉพาะนักเรียนที่โตแล้วอย่างไซม่อนน่ะ ถ้าหากโดนถามเหตุผลมาว่าจะรู้ไปทำไม ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบยังไง
ถ้าตอบว่าเขียนทฤษฎีการสอนไซม่อนเก็บไว้ก็คงฟังดูพิลึกอยู่เหมือนกัน
“ปกติคุณไซม่อนก็ทานทุกอย่างเลยนะเพราะเอาอะไรไปให้ก็จะฝากจัสมินมาบอกว่าอร่อยทุกอย่างเลย” คุณป้าตอบพร้อมหัวเราะอย่างเอ็นดู
“ไม่มีขนมโปรดเลยเหรอครับ?”
“ขอป้านึกดูก่อนนะคะคุณมอร์แกน”
แพทริเซียยิ้มพร้อมพยักหน้ารอคุณป้าอย่างใจจดใจจ่อ จริง ๆ เขาจะเอาไปถามไซม่อนอีกครั้งในคลาสหน้าก็ได้แต่เพราะความคาใจนี่สิ จากที่จะลืมอยู่แล้วพอถูกขุดขึ้นมาก็ทำให้คนอย่างเขาที่อยากรู้อะไรก็ต้องรู้ให้ได้ในตอนนั้นยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่
เพราะเสียงเครื่องอบและเครื่องตีอัตโนมัติที่ทำงานอยู่นั้นดังจนกลบเสียงฝีเท้าที่ลากเข้ามาใกล้จนแทบไม่ได้ยิน แพทที่กำลังจ้องหญิงวัยกลางคนตรงหน้าด้วยความคาดหวังก็ไม่ได้รู้สึกถึงผู้มาเยือนเลยสักนิด
“อ้อ ป้านึกออกแล้วค่ะคุณมอร์แกน จริง ๆ มีอยู่อย่างนึงที่่นี้คุณไซม่อนสั่งให้ทำทุกเช้าเลยค่ะ ปกติแล้วคุณไซม่อนเขาไม่ได้ชอบขนาดนั้น แต่่นี้ั้แ่ค-”
“อ้าว คุณแพท มาทำอะไรตรงนี้ล่ะ?”
เสียงแหบทุ้มทักท้วงชื่อเขาจากด้านหลังทำคนตัวเล็กสะดุ้งโหยง แพทริเซียรีบหันกลับไปตามเสียงเรียกและก็พบว่าเป็คุณอามาร์คัสที่อยู่ในชุดสูทเต็มยศเหมือนอย่างเคย
ไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้หรอกนะ
แต่ทำไมต้องมาตอนนี้ด้วยนะคุณอา
แม้จะเคืองในใจแค่ไหน แพทริเซียพยายามข่มความหงุดหงิดของตัวเองไว้แล้วยิ้มให้คนโตกว่าและทักทายอย่างสุภาพอย่างที่เคยทำในทุกครั้งเช่นเคย
“สวัสดีครับคุณอา”
“นี่อามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่เลยครับ ๆ แพทแค่ถามเื่ทั่วไปครับ” คนตัวเล็กปฏิเสธเป็พัลวันจนชายวัยกลางคนตรงหน้าส่งยิ้มมาให้ด้วยความเอ็นดูท่าทางที่ดูตะกุกตะกักของเขา
“อาแค่สงสัยว่าแพทมาทำอะไรในครัวน่ะเพราะปกติแล้วไม่เคยเห็นคุณครูคนไหนของไซม่อนเข้ามาแบบนี้เลย”
“แพทขอโทษครับ..” เสียงหวานเอ่ยเบา ๆ
“ขอโทษทำไมกันล่ะ? มันไม่ใช่เื่แย่สักหน่อย อยู่ในห้องแบบนั้นคงจะอึดอัดน่าดูเลยล่ะสิ ออกมาเปิดหูเปิดตาข้างล่างบ้างก็ดีแล้วละ”
“ครับคุณอา”
“แล้วสอนไซม่อนเป็ยังไงบ้าง? สอนไปถึงไหนแล้ว?” เขาเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“ตอนนี้ก็กำลังเริ่มต้นได้ดีครับแต่ยังไม่ได้สอน”
“ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ไม่มีแล้วครับคุณอา”
แพทตอบคุณอากลับไปพร้อมรอยยิ้มสดใส ในตอนนี้แพทไม่ได้มีความกังวลอะไรเื่ไซม่อนเหมือนกับตอนที่ขอคำปรึกษาจากอีกฝ่ายในวันแรก ๆ ที่เริ่มสอนอีกแล้ว แต่เขาเองก็ยังคงนึกขอบคุณคุณมาร์คัสในใจอยู่ตลอดที่เป็คนให้คำปรึกษาและคอยปลอบใจเขาในคืนนั้น ถ้าหากไม่ได้คุยกับคุณมาร์คัสเขาอาจจะต้องลาจากคฤหาสน์หลังนี้ก่อนสิ้นสุดสัญญาสอนแน่ ๆ
“คุณมาร์คัสรับกาแฟไหมคะ?” สาวใช้คนนึงถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนยังคงยืนอยู่ที่เดิมแม้บทสนทนาสั้น ๆ กับเขาจะจบลงแล้ว
“ขอบคุณมากนะคุณเพอร์แต่ฉันจะไปแล้วละ ต้องไปเคลียร์งานต่ออีกสักหน่อย” คุณมาร์คัสยกข้อมือมองนาฬิกาเรือนแพงก่อนจะส่งยิ้มมาให้แพทเป็เชิงบอกลา
“ไว้เจอกันนะคุณแพท”
“ครับคุณอา ขอบคุณมากนะครับ”
“อย่าไปดุอะไรไซม่อนเขามากล่ะ ถึงจะหัวช้าไปบ้างแต่เขาก็น่าจะเรียนทันนั่นแหละ”
หัวช้า?
ไซม่อน ควินท์เรล คนที่อ่านหนังสือสิบหน้าภายในหนึ่งชั่วโมงแล้วเขียนสรุปทุกรายละเอียดออกมาแบบไม่ต้องอ่านซ้ำแบบนั้น แพทไม่ขอเรียกว่าหัวช้าด้วยหรอกนะ หรือเขาจะหัวช้าเื่อื่นที่แพทไม่รู้?
“ครับคุณอา” แต่สุดท้ายแพทก็ตอบรับไปโดยที่เก็บความสงสัยไว้ในใจอยู่ดี และในจังหวะที่คุณอามาร์คัสทำถ้าจะเดินออกไป จู่ ๆ อีกฝ่ายก็หยุดและหันกลับมาพูดกับคุณป้าที่กำลังทำขนมด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“อย่าลืมจัดขนมไปให้ไซม่อนกับเจซเขาด้วยล่ะ เห็นไซม่อนแอบอู้ไม่ยอมอ่านหนังสือไปวิ่งเล่นอยู่ที่สวนใหญ่ เดี๋ยวจะหิวเอา”
“คุณไซม่อนคงอยากจะพักผ่อนแหละค่ะคุณมาร์คัส เดี๋ยวฉันจะรีบเอาไปเสิร์ฟให้ทันทีเลยค่ะ”
“เด็กสมัยนี้นี่เนอะ ใช้เวลากันไม่ค่อยเกิดประโยชน์เท่าไหร่เลย” เขาบ่นขึ้นมาพร้อมหัวเราะเบา ๆ และเดินออกจากห้องครัวไปอย่างอารมณ์ดี
แพทริเซียที่ยืนมองคุณมาร์คัสเดินออกไปจนลับตาก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เขาเองเข้าใจในความหวังดีที่ถูกแฝงอยู่ในทุกประโยคของคุณมาร์คัสดี แต่สำหรับแพทแล้วการได้เล่นหรือพักผ่อนในวันหยุดมันไม่ใช่เื่แย่เลยสักนิด โดยเฉพาะสำหรับคนที่ตารางเรียนดูแน่นในทุก ๆ วันอย่างไซม่อนก็ยิ่งควรจะได้พักผ่อนเลยไม่ใช่เหรอ
“เด็กๆ มีใครว่างเอาของว่างไปเสิร์ฟให้คุณไซม่อนบ้างจ๊ะ?” คุณป้าเอ่ยถามขึ้น
และเด็ก ๆ ที่คุณป้าหมายถึงคงจะไม่ได้รวมเขาที่เพียงแค่มายืนในห้องครัวแน่ ๆ ต่อให้คุณป้าจะรวมเขาเข้าไปแต่คนที่ได้เจอไซม่อนทุกวันอย่างเขาก็ไม่มีทางจะยอมเจออีกฝ่ายในวันพักผ่อนของตัวเองหรอก
- Simon’s theory -
ซะเมื่อไหร่ล่ะ
สองฝ่ามือเล็กของแพทริเซียยกประคองถาดกว้างที่เต็มไปด้วยขนมหลากหลายชนิดพร้อมถ้วยน้ำชาที่ถ้าหากเขาบังเอิญสะดุดล้มหรือทำให้หกใส่ตัวขึ้นมาจะต้องแย่มากแน่ ๆ เพราะอย่างนั้นคนที่ถูกกำชับว่าให้ระวังซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างเขาก็ต้องยิ่งระวังเข้าไปใหญ่ ไม่อย่างนั้นคุณป้าจะต้องรู้สึกผิดแน่ ๆ ถ้าเกิดเข้าเป็อะไรขึ้นมา
ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเสนอตัวช่วยคุณป้าไปแบบนั้น
หรืออาจจะแค่อยากดูหน้าเจซ แมคคอยด์ชัด ๆ นั่นแหละมั้ง
คงไม่เกี่ยวกับอัลฟ่าหน้าซามอยด์นั่นหรอก
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังคลอไปกับเสียงเห่าของเ้าขนปุยตัวโตอย่างแซมมี่ เสียงที่ดังออกมาจากสวนทำให้เขาแทบไม่ต้องตามหาเลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน แพทริเซียถือถาดพร้อมกับก้าวช้า ๆ อย่างระมัดระวังไปตามเสียงที่เขาได้ยิน อากาศใน่บ่ายของวันนี้ดูเป็ใจมากกว่ากว่าทุกวัน ทั้ง ๆ ที่ปกติอากาศจะค่อนข้างร้อนกว่านี้แต่ในวันนี้กลับมีเพียงลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านมาพอให้ได้สดชื่นเท่านั้น
เมื่อเดินมาสักพักใหญ่จนถึงหน้าประตูเหล็กดัดที่เป็ทางเข้าของสวนใหญ่ก็ทำเอาแพทแขนสั่นไปครู่นึง คนตัวเล็กใช้ไหล่ดันประตูบานใหญ่ด้วยความทุลักทุเลแต่ในที่สุดเขาก็เอาตัวแทรกเข้ามาข้างในจนได้ เสียงเห่าและเสียงเรียกชื่อแซมมี่ยังคงดังอยู่เป็ระยะ โอเมก้าตัวเล็กเดินตามเสียงจนสุดท้ายเขาก็ได้เจอต้นตอของเสียงสักที
“โฮ่ง! โฮ่ง!” เ้าซามอยด์ตัวโตหันมาเห่าเรียกพร้อมส่ายหางอย่างเป็มิตรทันทีเมื่อได้เห็นว่าเขาก้าวเข้ามา จากที่กำลังเล่นโยนบอลกับเ้านายของมันอยู่นั้น แซมมี่ก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็เขาทันที เ้าสุนัขขนปุยสีขาววิ่งพุ่งตรงเข้ามาหาเขาด้วยความตื่นเต้นจนเขาเองก็เกือบจะวางถาดนั้นไว้บนโต๊ะแทบไม่ทัน
และก็เป็อย่างที่คิดจนได้
แซมมี่กระโจนหาเขาในจังหวะที่เขาวางถาดพอดีเสร็จสรรพ
ไม่อยากจะนึกสภาพตัวเองที่ล้มไปพร้อม ๆ กับถาดนั่นเลย
“โอ๊ย แซมมี่” คนตัวเล็กที่ล้มลงไปบนพื้นหญ้านุ่มร้องท้วงเ้าซามอยด์ขนปุยที่กำลังพยายามเลียหน้าเขาอยู่ แต่แรงที่มีอันน้อยนิดของแพทริเซียก็ไม่สามารถสู้แซมมี่ได้จนต้องเป็เ้านายของมันที่เดินมาดึงให้สุนัขตัวโตบนตัวเขาออกไป
“คุณมอร์แกน เป็อะไรหรือเปล่า? แซมมี่ หยุด”
“หงิง..” แซมมี่หูลู่หางตกนอนลงกับพื้นทันทีที่ได้ยินคำสั่งจากเ้านาย ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตะคอกอะไรก็เถอะแต่น้ำเสียงนิ่ง ๆ นั้นก็น่ากลัวอยู่ไม่ใช่น้อย
แพทริเซียค่อย ๆ ยันมือกับพื้นแล้วลุกขึ้นพร้อมกับปัดเศษหญ้าที่ติดเสื้อผ้าอยู่ก่อนจะส่งยิ้มไปให้อัลฟ่าหนุ่มพร้อมพยักพเยิดหน้าอย่างไม่ติดใจเอาความ
“ไม่ต้องไปดุแซมมี่หรอก เขาหงอยน่าสงสารจะตายคุณควินท์เรล”
น่าสงสารเหมือนตอนเ้านายของมันร้องไห้นั่นแหละ
ภาพซ้อนทับขึ้นมาเสียจนเขาเองก็เกือบจะหลุดขำ
“แล้วนี่ทำไมเป็คุณที่เอาขนมมาให้เรา?”
“อ๋อ.. เราไปเอาขนมในครัวน่ะแล้วจะเดินผ่านมาแถวนี้ก็เลยเอามาให้”
แพทริเซียโกหกคำโตไปพร้อมกับรอยยิ้มและจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกคนแบบให้มีพิรุธน้อยที่สุด แต่ในตอนนี้สิ่งที่จะมีพิรุธคงไม่ใช่เพราะเขาโกหกแล้วละ เพราะพอยิ่งได้มองหน้าไซม่อนก็ดันไปคิดถึงเื่ซุปฟักทองที่อีกฝ่ายฝากมาให้จนได้
รู้ตัวอีกทีใบหูของเขาก็เริ่มแดงขึ้นมาน้อย ๆ แล้ว
“เจซ.. เจซ เพื่อน มาทักทายคุณมอร์แกนหน่อยสิ” เสียงเรียกเพื่อนสนิทของอัลฟ่าหนุ่มดังขึ้นจนเขาต้องหันไปมองตาม แพทเกือบลืมไปเสียสนิทว่ามีอีกคนที่ยังอยู่ตรงนี้กับพวกเขาด้วย แพทริเซียหันไปยิ้มพร้อมโค้งอย่างมีมารยาทให้เจซ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณแมคคอยด์”
“ก็รู้อยู่แล้วนี่” เขาตอบมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งทั้งที่สายตายังจดจ่ออยู่กับหนังสือในมือ
“อ่า..”
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณมอร์แกน”
อัลฟ่าหนุ่มตาสองสีเงยหน้ามาปรายตามองเขาเพียงแค่เสี้ยวเดียวก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือต่ออย่างไม่สนใจไยดีเขาสักนิด ไซม่อนเองก็มองหน้าเขาแล้วไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา เขาทำเพียงก้มไปคว้าบอลที่พื้นและโยนให้เ้าแซมมี่วิ่งไปคาบต่อเท่านั้น แพทริเซียที่กำลังยืนงุนงงกับการกระทำของเจซก็ทำได้เพียงบ่นอุบอิบให้เบลล์ในใจ
โกหกทั้งนั้น
ไหนบอกว่าอ่อนโยนและสุภาพไง
แต่หมอนี่ทำเหมือนกับไม่ชอบหน้าเขายังไงอย่างนั้น
หรือไซม่อนจะเล่าเื่ที่เขาเคยดุไป?
และจู่ ๆ บรรยากาศกดดันที่เขาเคยได้รับก็กลับมาอีกครั้งเมื่อแพทยืนจ้องอีกฝ่ายแล้วโดนอีกฝ่ายจ้องกลับมา แต่ในครั้งนี้แพทจะไม่ยอมให้อัลฟ่าหน้าไหนมาขู่เขาทางสายตาแบบนี้หรอกเพราะเขาเองก็จะไม่หลบสายตาเหมือนในครั้งแรกที่เจอแล้ว
คิดว่าจะกลัวหรือไง
อย่ามาขู่กันให้ยากหน่อยเลย
เจซ แมคคอยด์
- Simon’s theory -