Chapter eleven: Simon’s never been touched
เป็เวลาร่วมชั่วโมงที่แพทริเซียนั่งปั้นหน้ายิ้มฝืนอยู่ในสวนที่มีไซม่อนและเจซอยู่ด้วย ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาควรจะเดินออกจากที่ตรงนี้ไปั้แ่ตอนเอาถาดขนมมาวางให้แล้ว แต่สุดท้ายเพราะประโยคเชิญชวนตามมารยาทของไซม่อนนั่นแหละที่ทำให้เขายังนั่งอยู่ตรงนี้
อึดอัดชะมัด
จริง ๆ แล้วเขาคงจะไม่อึดอัดขนาดนี้หรอกถ้าหากมีเพียงแค่ไซม่อนกับแซมมี่และไม่มีอัลฟ่าตาสองสีที่นั่งไขว่ห้างอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น นอกจากในตอนที่จ้องเขาแบบกดดันในตอนแรกแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปรายตามองมาทางเขาอีกเลย ราวกับว่าเขาเป็เพียงอากาศที่ไม่มีตัวตนยังไงอย่างนั้น แพทริเซียส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านเล็กน้อยก่อนจะมองหันกลับมาทางไซม่อนและแซมมี่ที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน และในตอนนั้นก็เป็จังหวะที่ไซม่อนหันมามองโอเมก้าตัวเล็กอยู่เหมือนกัน
“คุณมอร์แกน”
“ค..ครับ?”
เสียงเรียกจากคนที่จ้องมองมาทำแพทตอบไปอย่างตะกุกตะกักเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ทำเพียงแค่เรียกแต่เขากำลังเดินเข้ามาหาอีกด้วย
“หายป่วยแล้วใช่ไหม?”
“เราดีขึ้นเยอะแล้วครับ”
“อื้ม ดีแล้ว”
อัลฟ่าหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่เก้าอี้ยาวตัวเดียวกันกับแพทก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง เขาเอื้อมหยิบชามอาหารและน้ำของแซมมี่ไปวางไว้ตรงหน้าเ้าซามอยด์ตัวโตที่กำลังนั่งลิ้นห้อยอยู่ตรงหน้าก่อนจะหันกลับมาเปิดขวดน้ำดื่มให้ตัวเอง
ในวันนี้อัลฟ่าหนุ่มอยู่ในเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนสีซีดพอดีตัว ถึงแพทจะเคยเห็นไซม่อนในชุดลำลองอยู่บ้างแต่ในวันนี้มันกลับดูแปลกตาไปไม่เหมือนอย่างเคย อีกฝ่ายดูดีมากซะจนแพทคิดว่าถ้าหากไซม่อนไปเดินในตัวเมืองเอดมันตันสักครั้งก็คงจะไม่มีใครพลาดการถ่ายรูปไปโพสต์กันให้ว่อนอย่างแน่นอน แต่ความเป็จริงแล้วกลับไม่มีใครเคยได้พบเลยนอกจากคนที่มาแอบถ่ายเขาจากในคฤหาสน์แบบโพสต์ในกระทู้ที่เขาเคยเจอ
เขาซ่อนตัวยังไงกันนะ
ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกเกาะไปด้วยหยาดเหงื่อก่อนเขาจะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาซับมันออกเบาๆ ผิวพรรณที่ดูสะอาดสะอ้านของไซม่อนนั้นช่างดูเพลินตาซะจนโอเมก้าที่นั่งข้างกันวางตาไม่ได้เลย
“มองทำไมขนาดนั้น?” เขาวางผ้าขนหนูลงก่อนจะหันมาถามแพทริเซียด้วยความสงสัย
“ครับ?”
“ก็เห็นคุณมอง”
“เราไม่ได้มองคุณควินท์เรลสักหน่อย”
“แล้วมองอะไร?”
“มองแซมมี่”
“หงิง” เสียงของแซมมี่ขานตอบรับทันทีที่ได้ยินชื่อของตน
และทันทีที่แพทริเซียตอบไปแบบนั้นก็ทำอัลฟ่าหนุ่มคิ้วขมวดชนกันทันที เขามองใบหน้าหวานของอีกฝ่ายสลับกับสุนัขของตัวเองสลับไปมาอย่างไม่เข้าใจจนทำให้แพทริเซียหลุดขำออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“หัวเราะอะไรคุณมอร์แกน?”
ไซม่อนถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แพทริเซียเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเห็นความงอนอยู่ในประโยคนั้น อาจจะเพราะริมฝีปากที่เริ่มเบะลงเล็กน้อยพร้อมกับแววตาที่จ้องมองเขาอย่างคาดคั้นคำตอบนั่นแหละมั้ง
“เปล่าสักหน่อย เราแค่ล้อเล่น”
“ล้อเล่นเื่ไหน?”
“แล้วมีเื่อะไรบ้างครับ?”
“เื่ที่มองเราเหมือนแซมมี่กับเื่ที่..”
“ที่?”
“ไม่ได้มองเรา” เขาพูดเสียงแ่พร้อมสบตาแพทเข้าอย่างจังจนเ้าของดวงตากลมโตชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีหันไปมองทะเลสาบด้านข้างแทน
“เราไม่ได้บอกว่าคุณเหมือนแซมมี่สักหน่อย”
“แต่คุณมองหน้าเราแล้วบอกว่ามองแซมมี่นะคุณมอร์แกน”
ก็จะให้ทำยังไงได้
ก็เขากับเ้าขนปุยตัวโปรดนั้นเหมือนกันซะขนาดนั้น
“เห็นไหมล่ะ คุณเงียบไป” ไซม่อนพูดขึ้นมาต่อ
“ไม่ใช่แบบนั้น เราแค่แกล้งคุณเฉย ๆ”
“แล้วแกล้งทำไม?”
คำพูดงอน ๆ ของอัลฟ่าตัวโตหลุดออกมาจากริมฝีปากที่แอบเบะน้อย ๆ อีกครั้ง แพทริเซียได้แต่ส่งยิ้มขำให้ด้วยความเอ็นดู
“คุณไม่ได้เหมือนแซมมี่หรอก”
“..”
“แซมมี่ต่างหากที่เหมือนคุณ”
“โฮ่ง!”
“คุณมอร์แกน”
และสุดท้ายแพทก็กลั้นขำไว้ไม่ได้อีกต่อไป โอเมก้าตัวเล็กหัวเราะออกมาอย่างเต็มเสียงเมื่อได้ยินเสียงเห่าของแซมมี่ดังขึ้นมาพร้อม ๆ กับร่างสูงตรงหน้า อีกฝ่ายที่ได้ยินเสียงเห่าของแซมมี่ดังขึ้นมาตอนที่ตนตอบกลับแพทริเซียก็ยิ่งหันไปมองค้อนเ้าขนปุยที่กำลังนั่งจ้องหน้าพวกเขาทั้งคู่อยู่
“หยุดหัวเราะเลย”
“ฮ่า ๆ มันจะหยุดได้ยังไงกัน”
“หยุดเลย”
“ก็มันตลกนี่ ฮ่า ๆ ๆ”
“จะหยุดไม่หยุด”
“เราหยุดไม่ได้”
“เราให้เจมส์ไล่คุณออกแน่”
“ฮ่- อะ…อ้าว” แพทริเซียที่กำลังขำค้างอยู่ก็ต้องอ้าปากเหวอเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้นออกมา คนตัวเล็กชะงักเล็กน้อยก่อนจะกระแอมไอในลำคอเรียกสติตัวเองให้กลับมา
“คุณควินท์เรล เราแค่ล้อเล่น”
“นี่ไง หยุดหัวเราะได้แล้ว”
“ฮะ?”
“ไปแซมมี่ ไปคาบสายจูงมาแล้วเดินเล่นกัน” เขาโพล่งขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและเดินไปสะกิดเพื่อนสนิทอย่างเจซให้ไปเดินเล่นพร้อมกันกับเขา ถึงแม้ว่าอัลฟ่าเ้าของตาสองสีจะดูอิดออดไปบ้างแต่เขาก็ยอมลุกขึ้นอยู่ดี ในครั้งนี้อีกฝ่ายก็ยังปรายตามองมาทางเขาก่อนจะหันไปกระซิบเพื่อนสนิทของตัวเองเบา ๆ
รู้สึกเหมือนกำลังเป็ส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้แฮะ
แพทริเซียหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูและพบว่าในตอนนี้เป็เวลาเกือบจะบ่ายสามเข้าแล้ว โอเมก้าตัวเล็กเหลือบมองอัลฟ่าหนุ่มสองคนที่กำลังคุยกันอย่างสนุกนานแล้วก็คิดได้ว่าเขาควรจะปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายได้ใช้เวลาร่วมกันแบบที่ไม่มีคนนอกอย่างเขาได้สักที แต่คนตัวเล็กที่ทำท่าทีจะก้าวออกไปยังทางออกของสวนก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของคนที่เขาไม่คิดว่าจะเป็ฝ่ายเอ่ยประโยคนี้ออกมา
“คุณมอร์แกนก็ไปด้วยกันสิ”
“เราเหรอ?”
“ทะเลสาบด้านหลังสวยกว่าที่นี่ตั้งหลายเท่า”
เสียงทุ้มของเจซพูดขึ้นมาพร้อมสบตากับเขาแต่ในครั้งนี้ไม่ได้มีแววตากดดันเหมือนอย่างที่เขาเคยทำอีกแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้มีรอยยิ้มหรืออะไรที่ดูเป็มิตรส่งมาให้ก็เถอะ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้ความรู้สึกที่เหมือนเป็ส่วนเกินในสถานการณ์นี้ก็ลดลงไปเยอะเลย
“ไปด้วยกันนะคุณมอร์แกน”
ไซม่อนพูดพร้อมส่งยิ้มมาให้ก่อนจะก้มลงไปลูบเบา ๆ ที่ขนของแซมมี่และพยักพเยิดหน้ามาทางเขา ในตอนแรกเขาเองก็ไม่เข้าใจแต่พอได้เห็นแซมมี่ที่วิ่งคาบสายจูงมาหาก็ทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้
น่ารักเป็บ้าเลย
- Simon’s theory -
ภาพตรงหน้าที่แพทริเซียกำลังยืนมองก็เป็เหมือนอย่างที่เจซ แมคคอยด์บอกไว้เลยจริง ๆ ด้วย ทะเลสาบที่เคยดูสวยอยู่แล้วแต่พอได้เดินมาทางหลังบ้านที่ถูกจัดให้ดูเป็เหมือนกับป่าดอกไม้ขนาดย่อมขนาบข้างไปกับทะเลสาบที่เริ่มทึบแสงลงเรื่อย ๆ เพราะูเาที่ล้อมรอบอยู่สูงขึ้น หมอกเหนือผิวน้ำและอากาศเย็นกระทบกับผิวจนทำแพทขนลุกขึ้นมาทันที
ทุกอย่างมันดูคุ้นเคยราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่มาก่อน
“สวยจัง”
“บอกแล้ว” เจซหันมาพูดกับเขาทันทีที่ประโยคเพ้อ ๆ หลุดออกมาจากปากของเขา
เสียงพูดคุยจากอัลฟ่าหนุ่มทั้งคู่ยังคงดังคลออยู่ตลอดทั้งทาง ถึงแม้แพทจะไม่ได้สนใจและจับใจความที่เขาทั้งสองคนพูดกันก็เถอะแต่ไซม่อนและเจซในมุมนี้ก็ทำให้เขานึกถึงเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไปขึ้นมา บทสนทนาที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการหยอกล้อกันตามประสาเพื่อนสนิท หากเขาไม่ตัดสินใจมาตามที่ทั้งสองคนชวนก็คงไม่ได้เห็นมุมนี้จริง ๆ
เพราะการแบกรับตำแหน่งทายาทที่มักจะถูกวางตัวให้เป็ผู้สืบทอดตระกูลในอนาคตมันช่างดูหนักหนาเหลือเกินสำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างพวกเขา วัยที่ควรจะได้ใช้ชีวิตและได้เรียนอะไรที่อยากเรียน ทำอะไรที่อยากทำ ขนาดเขาที่ได้มาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้เพียงแค่ไม่นาน ยังรู้สึกถึงความกดดันมากมายที่ทายาทจะต้องแบกรับไว้ได้เลย
ทำไมมนุษย์เราถึงต้องแบกรับความคาดหวังมากมายขนาดนั้นกัน
เขาเองก็นึกภาพไม่ออกเลยด้วยซ้ำหากเขาต้องไปอยู่จุดเดียวแบบไซม่อนและเจซนั้นเขาจะเป็ยังไง แค่ได้เห็นสิ่งที่ไซม่อนทำในแต่ละวันเขาก็อดสงสารเ้าตัวไม่ได้ จากในตอนแรกที่คิดว่าการเป็ทายาทควินท์เรลคงจะแค่อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเพราะมีพี่เลี้ยงคอยทำให้อยู่ตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยด้วยซ้ำ ถึงเขาจะไม่ได้ถามจากเ้าตัวแต่ทุกครั้งที่ได้ลงมาแล้วเห็นคุณครูที่เดินเข้าออกห้องสอนในทุกชั่วโมงั้แ่เช้าจนถึงคลาสเรียนของเขา การที่ได้เห็นอีกฝ่ายต้องฝึกตีกอล์ฟทุกวันตอนเช้า และอีกหลายเื่ที่เขาคิดว่าหากเป็เขา เขาก็คงทำมันไม่ได้เท่าไซม่อน
นี่มันคือการเตรียมตัวผู้สืบทอดตระกูลหรือหายอดมนุษย์กันแน่
ทั้งสามคนเดินกันมาจนหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบ ภาพเบื้องหน้าที่แพทริเซียได้เห็นก็ทำให้เขาตาโตขึ้นอีกครั้ง จากทะเลสาบที่เขามักจะเห็นแคบ ๆ ไม่ได้กว้างมากมายนักเพราะถูกล้อมรอบไปด้วยูเาแต่ในตอนนีู้เาหินที่เคยอยู่ใกล้จนบดบังทุกอย่างก็อยู่ห่างออกไกลขึ้นและทำให้เขาได้เห็นผืนน้ำที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ดอกไม้ป่าสีม่วงเล็ก ๆ ขึ้นตามริมทะเลสาบราวกับถูกจัดวางไว้
ไซม่อนและเจซทรุดลงนั่งข้างกันอย่างไม่กังวลสักนิดว่าพื้นที่ตรงนั้นจะทำให้ตัวเองเปรอะเปื้อน แพทริเซียเอื้อมมือไปปัดเบา ๆ ตามพื้นก่อนจะนั่งลงไม่ห่างจากอัลฟ่าสองคนมากนัก เ้าซามอยด์ขนปุยสีขาวก็นั่งลงข้าง ๆ กันกับเขาอย่างคุ้นชิน
“ไม่ได้มาตั้งนาน” เจซเอ่ยขึ้นเสียงเรียบในขณะที่เหม่อมองไปยังผืนน้ำตรงหน้า
“นายมาบ้านเราแทบทุกวัน”
“หมายถึงไม่ได้มานั่งตรงนี้ตั้งนานต่างหาก”
“อืม นั่นสิเนอะ”
เขาทั้งสองระบายยิ้มบาง ๆ ออกมาพร้อมกันทั้งที่แพทไม่เข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยการได้นั่งอยู่เงียบ ๆ แบบนี้มันก็ทำให้เขาได้รับรู้อะไรมากขึ้นเกี่ยวกับทั้งสองคนอยู่เหมือนกัน
“คุณมอร์แกนเบื่อมั้ย?” ไซม่อนหันมาถามเพราะเห็นว่าเขานั่งเงียบอยู่พักใหญ่
“ไม่เบื่อครับ”
“อยากกลับก่อนก็บอกนะ แซมมี่นำทางได้”
“ครับ”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ดี ๆ เขาถึงตอบไซม่อนสุภาพมากขนาดนั้น อาจจะเป็เพราะบรรยากาศของป่าขนาดย่อมที่รายล้อมรอบตัวเขาและอากาศเย็นที่พัดผ่านเหนือผิวน้ำที่เงียบสงบนั้นแหละมั้งที่ทำให้เขาจิตใจสงบลงได้ขนาดนี้
แพทริเซียรู้สึกถึงความว่างเปล่าในความคิดของตัวเองทันทีที่ได้ทอดสายตามองไปตามผิวน้ำนิ่งตรงหน้า ความเหนื่อยและหนักใจที่สะสมมาั้แ่วันแรกที่เข้ามาในคฤหาสน์เหมือนจะค่อย ๆ พัดหายไปกับลมเย็นที่ผ่านตัวเขายังไงอย่างนั้น ความเหนื่อยล้าที่สะสมกำลังถูกบรรเทาให้จางลงไปด้วยธรรมชาติ ในขณะที่เปลือกตาคู่สวยกำลังจะหลับพริ้มเพื่อรับลมเย็นที่ปะทะใบหน้า จู่ ๆ ภาพในความฝันที่เขามักจะฝันบ่อย ๆ ใน่นี้ก็ฉายทับขึ้นมากับภาพตรงหน้าจนเขาแทบไม่กล้าหลับตาลง
ภาพของหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวที่วางเด็กในมือปล่อยไปตามผืนน้ำ
มาลองนึก ๆ ดูแล้ว ตัวเขาเองก็ปะติดปะต่อและจับต้นชนปลายเื่ของความฝันที่เขาไม่เคยฝันแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต และในการฝันแต่ละครั้งก็ดูเหมือนจะมีนัยแฝงอยู่เสมอ หากเขาไม่ได้เป็คนคิดมากเกินไปก็คงจะเป็เพราะเื่ที่มีอยู่ก่อนหน้ามันทำให้เขาเครียดจนเก็บไปฝันนั่นแหละนะ
“อยู่กับคุณมอร์แกนไปก่อนนะ”
คนตัวเล็กหลุดจากภวังค์ทันทีที่ได้ยินเสียงของไซม่อนดังขึ้น อัลฟ่าหนุ่มลุกยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะก้มลงมาสบตาเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
“นายจะไปไหน?”
“เก็บดอกไม้สักหน่อย”
“เหมือนเดิมเหรอ” เจซถามเสียงแ่
“อื้ม ให้แม่”
เขาส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทพร้อมกับผิวปากเรียกเ้าแซมมี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แพทริเซียให้ลุกไปตามกัน ถึงแม้ในใจของแพทอยากจะเรียกไซม่อนไว้ก็เถอะแต่เพราะสายตาของอัลฟ่าตาสองสีที่จ้องมาและเหตุผลของไซม่อนที่จะไปเก็บดอกไม้ให้คุณแม่ก็ทำให้เขาไม่กล้าขัดอะไรออกไปเลยสักนิด เพราะแบบนั้นเขาก็เลยต้องนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ข้างอัลฟ่าข้างตัวนี่แหละ
จะโดนด่าข้อหาไปดุเพื่อนเขาไหมนะ
“คุณมอร์แกน”
เสียงนิ่งมาเชียว
“ครับ?” แพทตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
“สอนไซม่อนเป็ยังไงบ้าง?”
“อ่า.. ก็ดีครับ คุณควินท์เรลเขาค่อนข้างเข้าใจง่าย”
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับไซม่อนใช่ไหม?”
เสียงทุ้มถามกลับมาพร้อมเหม่อมองไปที่ทะเลสาบ ถึงแม้แพทจะเห็นแค่เพียงด้านข้างแต่สายตาและน้ำเสียงของเขาก็แฝงความกังวลใจซะจนแพทรับรู้ได้
เขาคงเป็ห่วงเพื่อนมากจริง ๆ
“ไม่มีครับ”
“ไซม่อนน่ะ เขาเป็เพื่อนเพียงแค่คนเดียวของผม”
“..”
“หมอนั่นไม่เคยคิดร้ายหรืออยากใจร้ายกับใครหรอก”
“ครับ”
“ยังไงก็ฝากคุณมอร์แกนให้ช่วยใจดีกับไซม่อนหน่อยนะ” เ้าของดวงตาสองสีหันมามอบรอยยิ้มบางให้กับเขาและนั่นก็เป็ครั้งแรกที่เขาได้ััความอ่อนโยนจากอีกฝ่าย
เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เจซ แมคคอยด์กำลังจะสื่อนั้นหมายถึงอะไร แต่ประโยคแสดงถึงความเป็ห่วงมากมายที่ออกมาจากปากเขามันยิ่งทำให้เขารู้สึกดีใจกับไซม่อนมากขึ้นไปอีก ไม่มีใครรู้ว่าไซม่อนผ่านอะไรมาบ้างหรือโลกใจร้ายกับเขามากแค่ไหนนอกจากเ้าตัวและเพื่อนสนิทที่คอยอยู่ด้วยเสมอจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจซถึงดูเป็ห่วงมากมายขนาดนี้
โลกมักจะร้ายกับคนที่ไม่สมควรจะได้รับจริง ๆ นั่นแหละ
“รบกวนด้วยครับ” เจซพูดย้ำขึ้นมาอีกครั้งและนั่นก็ทำให้แพทริเซียยิ้มตอบกลับไป
“ครับ.. ผมจะใจดีกับเขา”
นั่นไม่ใช่เพียงคำพูดปากเปล่าที่เขาอยากพูดเพื่อเอาใจเจซ
แต่สิ่งที่เขาพูดออกไปมันคือคำมั่นสัญญาต่างหาก
อย่างน้อยเขาก็จะเป็อีกคนที่คอยใจดีกับไซม่อนให้ได้
- Simon’s theory -
หลังจากวันหยุดสุดสัปดาห์ผ่านพ้นไป แพทริเซียและไซม่อนก็ต้องกลับมาเจอกันในห้องเรียนอีกครั้ง แพทริเซียที่กำลังวุ่นวายในการเตรียมพรมทางเดินขนาดย่อมและเก้าอี้เพื่อเป็ตัวแทนที่นั่งรับตำแหน่งผู้สืบทอดทายาทอยู่นั้นก็ไม่ได้รับรู้ถึงผู้มาเยือนเลยสักนิด อัลฟ่าตัวโตก้าวเข้ามาอย่างใจเย็นและนั่งจ้องมองเขาอยู่ที่โซฟาตัวเดิมที่เคยนั่ง
พรมทางเดินที่ถูกจัดความยาวไว้ให้พอดีกับการเดิน เทปกาวสีดำที่แปะไว้ตามพรมเพื่อบอกจุดที่ควรจะหยุดและถอย และเก้าอี้ที่ถูกวางในตำแหน่งสุดปลายทางของพรมอย่างเพียบพร้อมทำเ้าของผลงานอดยิ้มไม่ได้เลยสักนิดเพราะกว่าจะได้จำลองทางเดินในพิธีแบบนี้ได้นั้นแพทริเซียต้องขลุกตัวอยู่กับการหาข้อมูลในหนังสือเล่มเก่านับสิบเล่มและนั่นเป็เหตุผลที่ทำให้เวลาในวันอาทิตย์ของเขาถูกใช้ไปหมดทั้งที่ยังไม่ได้พักผ่อนเลยสักนิด
แต่ผลงานตรงหน้าก็คุ้มค่าพอที่จะทำให้หายเหนื่อยได้แหละนะ
ทันทีที่เขาจัดทุกอย่างเสร็จก็ถึงเวลาทำการเรียนการสอนพอดี โอเมก้าตัวเล็กยืดบิดี้เีจนสุดแขนไล่ความเมื่อยล้าจากการก้ม ๆ เงย ๆ จัดพรมนับชั่วโมงแต่พอเขาหันกลับไปก็ต้องร้องใจนเสียงหลง
“พระเ้าช่วย! ให้ตายเถอะคุณควินท์เรล!”
“อะไรของคุณ?” ไซม่อนขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัยเมื่ออีกฝ่ายดูใเขามากซะจนตัวเขาเองก็สะดุ้งไปด้วย
“คุณมาั้แ่เมื่อไหร่? โอ๊ย.. ไม่คิดจะให้สุ้มให้เสียงกันหน่อยเหรอ”
“เรามาตั้งนานแล้ว มีแต่คุณนั่นแหละที่มัวแต่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่นั่นแล้วไม่ยอมทักทายเรา”
“ก็เห็นหรือเปล่าล่ะว่าทำอะไรอยู่ เราไม่ได้มีตาเยอะเหมือนสับปะรดนะ”
แพทริเซียบ่นอุบอิบพลางเดินไปหยิบไม้เรียวยาวบนโต๊ะมาถือไว้กับมือ ท่าทางที่โอเมก้าตัวเล็กเดินกระฟัดกระเฟียดพร้อมกับหยิบไม้แบบนั้นยิ่งทำให้ไซม่อนรู้สึกหูลู่หางตกอย่างบอกไม่ถูก
จะโดนตีเหรอ?
เพราะเขาพูดอะไรไม่ดีเหรอ?
มือใหญ่เอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนามาไว้บนตักก่อนจะแสร้งทำเป็เปิดพลิกกระดาษทีละหน้าราวกับกำลังมีอะไรให้ตั้งใจอ่าน ทั้ง ๆ ที่คุณครูจำเป็ตรงหน้ายังไม่ได้สั่งอะไรเลยด้วยซ้ำ
“คุณควินท์เรล”
“..”
“วันนี้ไม่ต้องอ่านหนังสือ มายืนนี่”
อัลฟ่าหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่กำลังกอดอกมองหน้าเขาอยู่ด้วยใบหน้าจริงจัง อยู่ดี ๆ ลำคอของไซม่อนก็แห้งผากจนลอบกลืนน้ำลายไปช้า ๆ
“มาเร็วสิ จะได้เริ่มกันเลย”
“เริ่ม?”
“ก็เริ่มสอนบุคลิกภาพและการเดินไง”
“เื่แบบนั้นต้องสอนด้วยหรือไง? ไม่ว่าใครก็เดินเป็ไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วรู้หรือไงว่าในพิธีต้องยืนยังไง หยุดตรงไหน นั่งตอนไหน?”
แพทหรี่ตาจ้องอีกฝ่ายอย่างกดดันจนสุดท้ายอัลฟ่าตัวโตก็ต้องยอมให้เขา ไซม่อนก้าวเข้ามาหาเขาช้า ๆ ก่อนจะมองไม้ที่อยู่ในมือพร้อมเบะปากลงน้อย ๆ
“อะไรคุณควินท์เรล? ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“ต้องใช้ไม้สอนด้วยเหรอ?” เขาถามเสียงแ่เบา
“ไม้นี่น่ะเหรอ?”
“ใช่”
“เราไม่ได้จะเอามาตีคุณ เราจะเอามาชี้จุดที่คุณต้องเดินต่างหาก”
ไซม่อนพยักหน้าตอบรับประโยคที่เขาอธิบายไปจนแพทเองก็อดขำคนหน้ามุ่ยตรงหน้าไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาใหญ่มากกว่าแพทตั้งหลายเท่าแต่แล้วทำไมถึงมากลัวไม้เล็ก ๆ ที่ต่อให้เขาเอาไปฟาดอีกฝ่าย สิ่งที่จะเกิดขึ้นคงไม่ใช่ตัวของไซม่อนจะเป็แผลแต่คงเป็เ้าไม้จิ๋วของเขานี่แหละที่หัก แต่สุดท้ายยังไงแพทก็ตัดสินใจวางไม้ไว้ที่เดิมอยู่ดี
ก็ดูกลัวมากซะขนาดนั้น ใครจะกล้าเอามาใช้
เริ่มต้นบทเรียนในทางปฏิบัติวันแรกก็ทำเอาแพทแทบกุมขมับ ถึงแม้ท่าทางการยืน การนั่งและการเดินของไซม่อนจะดูเข้าท่าอยู่บ้าง แต่พอเอาทุกอย่างมาประกอบกันมันเหมือนกับเขากำลังเป็ครูฝึกสอนสุนัขยังไงอย่างนั้น
เวลาที่เขาบอกให้อีกฝ่ายเดินไปทางขวา, ไซม่อนก็จะเดินไปทางซ้าย
และเมื่อเขาบอกให้ไซม่อนเดินไปทางซ้าย, อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็จะหยุดเดินไปดื้อ ๆ ซะอย่างนั้น
“คุณควินท์เรลยืนหลังตรง ๆ หน่อย”
“เรายืนตรงแล้ว”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“แล้วมันแบบไหนล่ะ?”
แพทถอดถอนหายใจยาว ๆ ก่อนเดินเข้าไปประจันหน้ากับอัลฟ่าตัวโตอย่างเหน็ดเหนื่อย คนตัวเล็กถือวิสาสะเอื้อมมือไปโอบจากด้านหลังอีกฝ่ายพร้อมกับดันหลังเขาขึ้นจนอกกว้างของไซม่อนผายขึ้นมา
“แบบนี้ที่เขาเรียกว่าอกผายไหล่ผึ่ง”
“มันเมื่อย”
“ถ้าฝึกทำแบบนี้บ่อย ๆ ก็จะชินแล้วมันก็จะดีกับคุณในอนาคตด้วยรู้ไหม?”
มือเล็กออกแรงกดเบา ๆ ที่ไหล่หนาพร้อมเลื่อนมือทั้งสองข้างไปจับที่ข้างลำคอแกร่งจนอัลฟ่าตัวโตชะงักไป ใบหน้าหล่อเริ่มเห่อแดงขึ้นน้อย ๆ จนแพทริเซียสังเกตได้ ใบหน้าหวานค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปสบตากับทายาทควินท์เรลนิ่ง ๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เหงื่อค่อย ๆ ผุดซึมตามผมเข้ม ฝ่ามือหนาที่เคยอยู่ข้าง ๆ ตัวก็เริ่มชื้นเหงื่อขึ้นมาจนไซม่อนไม่เข้าใจตัวเอง ระยะของเขาและโอเมก้าตรงหน้าที่ตัวแทบจะชิดกันอยู่แล้วยิ่งทำให้เขาประหม่าเข้าไปใหญ่ หากสำหรับคนอื่นแล้วการอยู่ใกล้โอเมก้าเป็เื่ปกติ
แต่สำหรับเขาที่ไม่เคยใกล้ชิดโอเมก้าแบบนี้เลยสักครั้ง
การฝืนธรรมชาติของตัวเองมันต้องทำยังไงกันล่ะ
เขาทั้งคู่ยังคงสบตากันทั้ง ๆ ที่มือของแพทริเซียไม่ได้ปล่อยจากลำคอของเขา กลิ่นวนิลาหอมอ่อน ๆ ลอยเข้ามาในจมูกโด่งเป็สันก็ยิ่งทำให้อัลฟ่าหนุ่มหอบหายใจหนักอย่างยากลำบาก เขากลืนน้ำลายดังอึกจนแววตาของโอเมก้าตัวเล็กตรงหน้าเริ่มสั่นไหว
เพราะนี่ก็เป็ครั้งแรกของแพทที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับอัลฟ่าเช่นกัน กลิ่นไม้สนซีดาร์ลอยเข้มออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ทำแพทเกือบจะเคลิ้มไปตามอีกฝ่าย
“คุณมอร์แกน”
เสียงทุ้มของไซม่อนเอ่ยเรียกให้เขาทั้งสองคนหลุดจากแรงดึดดูดที่มีต่อกันทันที อัลฟ่าตัวโตค่อย ๆ ถอยหลังไปตั้งหลักอย่างใจเย็น หากเขามองหน้าโอเมก้าตรงหน้านานกว่านี้อีกหน่อยอาจจะมีเื่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเราทั้งคู่ก็ได้ ถึงแม้กลิ่นหอมหวานวนิลาจากอีกฝ่ายจะหอมจนเขาแทบจะยั้งใจไว้ไม่อยู่ก็เถอะ
หลังจากที่ทั้งสองร่างผละออกจากกัน เขาทั้งคู่ก็ใช้เวลาตั้งสติอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนแพทริเซียจะเป็คนที่ตั้งสติได้ก่อนและดำเนินการสอนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เราสองคนแยกกันหลังจากชั่วโมงของการเรียนจบลงโดยที่ไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์นั้นอีกแต่ถึงยังไงในคืนนั้นกลิ่นหอมจากกันและกันก็ทำให้จิตใจของอัลฟ่าและโอเมก้าวัยรุ่นอย่างพวกเขาปั่นป่วนอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้การเรียนแบบปฏิบัติในวันนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก
แต่อีกหนึ่งทฤษฏีเกี่ยวกับไซม่อนที่แพทริเซียได้รู้ก็คือ
เขาไม่เคยถูกแตะต้องแบบนี้จากที่ไหนแน่ ๆ
- Simon’s theory -