Chapter eight : Simon’s important thing
เสียงของคลื่นน้ำในทะเลสาบและแรงลมที่กระทบเข้ากับผิวของคนตัวขาวที่นั่งอยู่บนโขดหินร่วมชั่วโมง ดวงตากลมเหม่อมองพื้นผิวน้ำตรงหน้าเงียบ ๆ อย่างใช้ความคิด ภาพของดวงตาคมที่คลอเต็มไปด้วยน้ำตาสีใสทำหัวใจดวงน้อยกระตุกวูบเพราะน้ำตาเป็สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร
แพทเกลียดการเห็นคนร้องไห้มาตลอดทั้งชีวิต
ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้สะอึกสะอื้นหรือน้ำตาจะไม่ได้ไหลอาบแก้มเหมือนอย่างที่เขาเคยได้เห็น แต่การที่คนอย่างไซม่อนยอมแสดงท่าทีอ่อนแอให้เขาได้เห็นแบบนั้นมันก็ทำให้ใจโหวงได้อยู่เหมือนกัน ท่าทางอย่างกับลูกหมาหงอยแบบนั้น
เพราะอารมณ์โมโหชั่ววูบของเขาแท้ ๆ เลย
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้แพทตั้งใจมาตลอดแล้วแท้ ๆ ว่าจะไม่หงุดหงิดหรืออารมณ์เสียใส่ไซม่อนอีกแต่พอโดนท่าทีเมินเฉยมาทั้งวันบวกกับที่อีกฝ่ายทำหูทวนลมตอนเขาโมโหอีกก็ทำให้ปรี๊ดแตกจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่ได้อยากเป็ฝ่ายที่ไปง้ออัลฟ่าหน้าหมานั่นสักหน่อย ทั้ง ๆ ที่คนที่ผิดั้แ่แรกเป็ไซม่อนต่างหาก ถ้าหากไซม่อนไม่มาช้า เขาก็คงไม่ต้องวิ่งตามจนเหนื่อยขนาดนั้นและกลายเป็ะเิเวลาไปลงที่อีกฝ่าย
แต่ถ้าเขาไม่ง้อ
บรรยากาศในห้องเรียนจะต้องมาคุแน่ ๆ
ความคิดในหัวของแพทริเซียตีกันยุ่งเหยิงจนเ้าตัวต้องยกมือขึ้นลูบหน้าตั้งสติกับตัวเองอยู่พักใหญ่ มือเล็กเอื้อมลงไปเด็ดดอกไม้ข้าง ๆ โขดหินก่อนจะตัดสินใจเด็ดกลีบแรกออก
ให้กลีบดอกไม้เหล่านี้กลายเป็ตัวช่วยแล้วกันนะ
“ง้อ”
ปลายนิ้วเรียวสวยจรดดึงกลีบที่สองออกพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ง้อ”
และเขาก็หุบยิ้มลงอีกครั้ง
“ง้อ”
เ้าดอกไม้จิ๋วในมือถูกเด็ดกลีบจนร่วงโรยแทบจะหมด ทั้ง ๆ ที่ภายในใจของแพทก็มีคำตอบอยู่แล้วนั่นแหละ แต่เพราะในตอนนี้เขากำลังสับสนและอยากให้ใครสักคนมาอยู่ช่วยในการตัดสินใจสักหน่อยก็คงดี
“ไม่ง้อ.. ง้อ.. ไม่ง้อ.. ง้อ.. ไม่ง้อ!”
คนตัวเล็กลุกะโขึ้นอย่างดีใจที่กลีบดอกไม้กลีบสุดท้ายตรงกับความในใจของเ้าตัว แพทปัดมือไล่ฝุ่นตามกางเกงเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังคฤหาสน์ทันทีเมื่อเห็นว่าลมเริ่มแรงขึ้น มีวูบนึงที่เขาคิดไปถึงไซม่อนที่อยู่สวนอีกฝั่ง ไม่รู้ว่าป่านนี้อีกฝ่ายจะกลับเข้าคฤหาสน์ไปแล้วหรือยังคงหาอะไรบางอย่างอยู่เหมือนเดิม แต่ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่ดีนั่นแหละ แทนที่จะเอาเวลาไปห่วงคนที่มีคนดูแลเยอะแยะแบบนั้น รีบไปขออาหารเย็นไว้ก่อนซะดีกว่า จะได้รีบนอนพักผ่อนก่อนจะตื่นมาแก้แผนการสอนยาว ๆ อีกครั้ง
ชีวิตคุณครูจำเป็มันช่างยากลำบากซะเหลือเกินนะแพท
- Simon’s theory -
แพทไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตกลงไปอยู่ในห้วงนิทราเมื่อไหร่แต่ทันทีที่เขาเอนหลังแตะลงไปบนฟูกนิ่ม เขาก็ตัดขาดจากโลกแห่งความจริงทันที
ลมที่พัดปลิวกลีบดอกไม้สีสวยจนความหอมฟุ้งกระจายกลบอยู่ทั่วบริเวณ แสงแดดอ่อน ๆ พร้อมอากาศเย็น ๆ นั้นทำให้แพทยิ้มกว้างออกมามากกว่าที่เคยเป็ สองขาเรียวก้าวไปตามทางเดินระหว่างสวนดอกไม้ทั้งสองข้าง ถึงแม้จะไม่เห็นสุดปลายทางเดินแต่แพทก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยกับการเดินทอดน่องแบบนี้เลยสักนิด เพียงครู่เดียวที่แพทหันไปมองดอกไม้ที่เรียงรายอยู่ เมื่อมองกลับมาก็พบกับแผ่นหลังของผู้หญิงที่เขาเคยได้พบก็อยู่ข้างหน้าซะแล้ว
แพทไม่คิดจะเรียกหรือวิ่งตามเธอเข้าไปใกล้ ๆ เขาทำเพียงแค่เดินตามแบบรักษาระยะห่างให้ได้เห็นเธอในระยะที่เหมาะสมเท่านั้น สองเท้าเปล่าของเธอเหยียบย่ำบนทางเดินอย่างระมัดระวัง แต่ในครั้งนี้มือของเธอทั้งสองข้างนั้นถืออะไรบางอย่างเอาไว้อย่างทะนุถนอม
ถึงแม้แพทจะพยายามชะเง้อมองมากเท่าไหร่แต่แพทก็ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าสิ่งที่เธอถือนั้นคืออะไร จากที่เคยเดินอยู่ไกล ๆ ก็กลับกลายมาเร่งฝีเท้าให้ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แพทเดินตามเธอจนมาถึงประตูเหล็กดัดสีดำบานใหญ่ที่ตัวเขาเคยได้ฝันถึงก่อนหน้านี้ แต่ในครั้งนี้ด้านข้างนั้นมีลำธารขนาดใหญ่ เราทั้งคู่ก็ได้หยุดเดินพร้อมกันก่อนเธอค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินไปที่ลำธารและนั่งลงช้า ๆ
“คุณ..” เสียงของแพทริเซียเอ่ยเรียกอย่างแ่เบาเมื่อได้เห็นว่าเธอกำลังห่อผ้าที่เธอถือมาทั้งทางลงไปบนพื้นผิวน้ำและปล่อยให้มันลอยไปช้า ๆ เธอลุกขึ้นก้าวถอยหลังจากลำธารพลางมองตามห่อผ้านั้นอย่างเศร้าเสียใจ กระแสน้ำค่อย ๆ พัดพามันไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณครับ” แพทเรียกขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอเดินหายเข้าไปในประตูบานใหญ่ จากในตอนแรกที่กำลังจะเดินตามเข้าไปแต่เมื่อได้ยินเสียงร้องของทารกแว่วเข้ามาในหูก็ทำให้แพทหันขวับตามเสียงทันที
และเสียงนั้นดังมาจากห่อผ้าที่กำลังลอยไปตามผิวน้ำ
ไวกว่าความคิด แพทริเซียรีบะโลงไปอย่างไม่ลังเล
“เฮือก!”
คนตัวเล็กสะดุ้งหลุดจากห้วงนิทราทันทีที่ความเจ็บแปลบแล่นเข้าที่กลางอก แพทค่อย ๆค้ำยันตัวเองลุกขึ้นนั่งพร้อมเลื่อนมือยกทาบหน้าอกช้า ๆ ดวงตากลมเหม่อลอยอยู่ในความมืดสนิท เป็อีกครั้งที่แพทปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความฝันและตื่นมาอีกทีในตอน่ค่ำ แต่ในครั้งนี้มันช่างต่างกันกับทุกครั้ง เสียงของเด็กที่ร้องในฝันยังคงก้องอยู่ในหูของเขา ภายในห้องที่เงียบสงัดตอนนี้มีเพียงแค่เสียงเต้นของหัวใจและเสียงหอบของแพทเท่านั้น
ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ
แต่ทำไมเขากลับฝันอะไรอย่างนี้ได้
หรือเพราะเขาเห็นน้ำตาของไซม่อนจนเก็บมาฝัน?
แพทสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะค่อย ๆ ลุกพาตัวเองไปล้างหน้าหวังให้ได้สดชื่นขึ้นและหายจากอาการใจหายแบบนี้
ก๊อก ก๊อก..
ฝ่ามือเล็กเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูมาซับหยาดน้ำที่เกาะอยู่บนหน้าเบา ๆ ก่อนจะรีบไปเปิดประตูทันที และเมื่อเปิดประตูก็พบกับสองสาวใช้ที่นำอาหารเย็นขึ้นมาให้ตามที่เขาได้ขอไปใน่บ่าย เพราะหากเขาต้องไปสบตาหรือร่วมโต๊ะอาหารกับไซม่อนในวันนี้คงไม่ใช่เื่ดีจริง ๆ
ไม่ใช่เื่ดีทั้งกับเขาและไซม่อนนั่นแหละ
“คุณมอร์แกนคะ อาหารเย็นค่ะ” สาวใช้ก้มหัวให้เขาเล็กน้อยเพื่อขออนุญาตนำถาดอาหารเข้าไปวางในห้อง ใช้เวลาเพียงไม่นานสาวใช้ทั้งคู่ก็รีบกุลีกุจอออกจากห้องของเขาไป ทันทีที่เขาปิดประตู เสียงแว่วของบทสนาของคนที่เพิ่งออกจากห้องไปก็ทำให้เขากลายเป็คนนิสัยไม่ดีขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อของไซม่อนอยู่ในบทสนทนานั้น
ขอแอบฟังหน่อยแล้วกันนะ
“แต่นั่นมันของสำคัญของคุณไซม่อนเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ เห็นจัสมินกับคุณเจนบอกว่าหายไป”
“แล้วตอนนี้คุณไซม่อนก็หาอยู่คนเดียวน่ะเหรอ?”
“เห็นพวกในครัวบอกอย่างนั้นนะ”
“โธ่คุณไซม่อน”
แพทริเซียที่เอาหูแนบกับประตูค่อย ๆ ถอยหลังเดินออกมาจากประตูช้า ๆ เพื่อไม่ให้คนข้างนอกได้ยิน เขาทรุดนั่งลงกับเตียงก่อนจะค่อย ๆ ปะติดปะต่อเื่ราวที่ได้ยินมากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า แสดงว่าสิ่งที่ไซม่อนทำเมื่อตอนกลางวันคือการหาของจริง ๆ ด้วย
แต่ของสำคัญ?
สำคัญแค่ไหนกันถึงทำให้ไซม่อนร้องไห้ได้ขนาดนั้น
แสงไฟจากสวนฝั่งหน้าคฤหาสน์ส่องขึ้นมาทางหน้าต่างห้องนอนของเขา ทั้งที่ปกติแล้วในสวนนั้นแทบจะไม่เปิดไฟสว่างเกินความจำเป็ขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ แม้ว่าในใจของเขาจะปฏิเสธตัวเองรอบที่ร้อยแล้วก็เถอะว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรกับการที่ไซม่อนจะทำอะไรหายไปและเขาก็ตัดสินใจแล้วด้วยว่าจะไม่เป็ฝ่ายง้ออีกฝ่ายก่อน แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในตอนนี้เขาถึงมาหยุดอยู่ที่ระเบียงแล้ว
ลมหนาวในตอน่ค่ำทำเอาคนที่ไม่ได้ใส่เสื้อคลุมอย่างแพทต้องขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าหวานชะเง้อมองไปทางสวนและก็พบว่าแสงไฟสว่างจ้ามาจากที่สวนนั้นจริง ๆ ลมที่ยิ่งพัดแรงยิ่งขึ้นทำโอเมก้าตัวเล็กยิ่งกังวลใจเข้าไปใหญ่
ก็ไม่ได้ห่วงอะไรนักหรอกนะ
แต่ถ้านักเรียนของเขาเป็อะไรขึ้นมา
เขาจะสอนใครต่อล่ะ
แพทยืนมองอยู่ที่ระเบียงสักพักใหญ่ก่อนที่เขาจะทนไม่ไหวตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมตัวเล็กของตัวเองและหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ในตู้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ในตู้ตลอดติดมือมาด้วย ขาเรียวทั้งสองข้างรีบก้าวยาว ๆ ออกจากตัวคฤหาสน์โดยไม่ได้มองใครที่คอยก้มให้ตลอดทางที่เจอกันเลยด้วยซ้ำ แสงสว่างจากไฟดวงใหญ่ที่ถูกเปิดไว้สว่างจนทำให้รอบบริเวณนั้นไม่มีบรรยากาศสลัว ๆเหมือนทุกครั้งที่เขาลงมาเดินเล่น เสียงกระซิบพูดคุยเบา ๆ ของพ่อบ้านและสาวใช้ตรงทางเข้าสวนดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขายิ่งก้าวเข้าไปใกล้ และเมื่อทุกคนได้เห็นแพทก็ก้มหัวให้น้อย ๆเป็การทักทายทันที
“สวัสดีครับคุณมอร์แกน”
“ครับ คุณควินท์เรลอยู่ข้างในใช่มั้ยไหมครับ?”
“ใช่ครับ แต่…”
“ครับ?”
พ่อบ้านทำท่าลังเลที่จะตอบจนแพทต้องถามย้ำไปอีกครั้ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“คือคุณไซม่อนไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปช่วยครับ”
“งั้นทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้กันล่ะครับ เขาสั่งเหรอ?”
“ไม่ใช่นะครับ ๆ” เขาส่ายหน้าเป็พัลวัน
“คือพวกเราแค่เป็ห่วงคุณไซม่อนมาก ๆ เลยอยากมายืนรอเผื่อคุณไซม่อนจะ้าความช่วยเหลือน่ะครับ แต่นี่ก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว คุณไซม่อนก็ยังไม่เรียกพวกเราสักครั้งเลยครับ”
แพทริเซียพยักหน้ารับคำอธิบายยาวเหยียดของพ่อบ้านก่อนจะชะเง้อมองคนต้นเื่ที่ทำให้ทุกคนวุ่นวายกันได้ถึงขนาดนี้และเขาก็ได้เห็นไซม่อนในชุดตัวเดิมกำลังก้ม ๆ เงย ๆ พลางลูบหัวเ้าแซมมี่ที่ดูท่าทางจะอิดโรยเหลือเกิน
“งั้นทุกคนไปพักผ่อนเถอะครับ”
“ครับ?”
“เดี๋ยวผมช่วยคุณควินท์เรลเอง”
- Simon’s theory -
ทันทีที่แพทก้าวเท้าเข้ามาในสวน เสียงเห่าทักทายของแซมมี่ก็ดังขึ้นพร้อมเ้าขนปุยตัวโตที่วิ่งเข้ามาทักทายเขาทันที แพทเอื้อมมือไปลูบหัวมันเล็กน้อย ในตอนนี้แซมมี่ดูหมดแรงกว่าที่เคยเป็ จากปกติที่มักจะชอบเห่าทักทายและเข้ามาะโใส่เขาอย่างร่าเริงแต่ในวันนี้เ้าขนปุยทำได้แค่ปล่อยให้เขาลูบหัวเบา ๆ เท่านั้น
ก็ไม่ต่างจากเ้านายของแกเลยจริง ๆ นะแซมมี่
มีเพียงวูบเดียวที่แพทรู้สึกตัวว่าไซม่อนเหลือบมองมาทางเขา อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยทักทายหรือจ้องมองมาเหมือนอย่างเคย ริมฝีปากของไซม่อนที่เคยเป็สีสดกลับซีดลง มีอยู่หลายครั้งที่เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายสูดน้ำมูกน้อย ๆ และพยายามถูมือทั้งสองข้างของตัวเองคลายความหนาว
แพทยืนมองอีกฝ่ายคลานลูบมือซีดของตัวเองไปตามผิวหญ้าแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ถึงแม้ตัวเขาจะอยากรู้เื่สิ่งของที่อีกฝ่ายหามากแค่ไหนแต่การถามในตอนนี้ก็คงไม่ใช่เื่ดีเท่าไหร่ เท้าเล็กก้าวขยับไปตรงหน้าของไซม่อนจนอีกฝ่ายต้องชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง
“ถ้าจะมาว่าเื่ไม่ไปเรีย-”
“ใส่เสื้อคลุมซะคุณควินท์เรล”
“..”
เสียงทุ้มที่เริ่มแหบลงถูกกลืนหายไปลำคอทันทีที่ถูกโอเมก้าตรงหน้าพูดเชิงสั่งพร้อมกับยื่นเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้ ไซม่อนไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพียงแค่ยื่นมือไปรับเสื้อมาเท่านั้นและแพทริเซียก็ดูจะชินชาที่ไม่ได้ยินคำขอบคุณจากเขา คนตัวเล็กจึงเดินไปที่อีกฝั่งของสวนและก้มหน้าก้มตาหาของที่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
ลมหนาวเริ่มพัดมาแรงขึ้นจนทำให้จมูกของคนทั้งคู่เริ่มเปลี่ยนเป็สีแดง ทั่วทั้งบริเวณมีเพียงเสียงลมและคลื่นน้ำเบา ๆ เท่านั้น ไร้ซึ่งเสียงพูดคุย ไร้ซึ่งบทสนทนาของทั้งคู่ แสงของไฟดวงใหญ่ที่ทำแพทริเซียเริ่มแสบตาจนต้องยกมือขึ้นมาบังไว้ ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเลยว่าการใช้ไฟดวงใหญ่ขนาดนี้มันทำให้มองชัดได้มากขึ้นตรงไหน หากใช้แสงแฟลชจากโทรศัพท์ส่องทีละจุดจะไม่หายง่ายกว่าหรือไง
และในตอนที่แพทริเซียกำลังจะหันไปบอกกับไซม่อนเพื่อเสนอความคิดเห็นนั้น เขาก็ต้องชะงัก ถึงเขาจะไม่อยากยอมรับแต่ภาพตรงหน้ามันช่างน่าเอ็นดูซะเหลือเกิน ภาพไซม่อนที่กำลังใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่และดึงเสื้อคลุมไปกอดเ้าแซมมี่เพื่อคลายหนาว
อ่อนโยนเป็แค่กับหมาสินะ
“คุณควินท์เรล”
เสียงเรียกจากแพททำไซม่อนกับแซมมี่เงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อม ๆ กันจนทำให้เกือบหลุดขำออกมา
“ว่าไง?”
“ปิดไฟดวงใหญ่นั้นตรงไหนเหรอ?”
“แล้วจะปิดไปทำไม?”
“ไฟสว่าง ๆ แบบนี้มันทำให้มองเห็นชัดขึ้นหรือไง?”
ยังไม่ทันที่จะได้พูดกันดี ๆ ถึงสามประโยค เขากับไซม่อนก็เหมือนคนจะทะเลาะกันอีกแล้ว เพราะการที่ได้คำตอบกลับมาเป็คำถามทุกครั้งนี่แหละถึงทำให้เขาหัวเสียได้ทุกวันแบบนี้ ไม่เคยจะตอบอะไรดี ๆ สักอย่างเลยไอ้หน้าหมานี่
“ก็ชัด”
“แล้วทำไมไม่เจอสักทีล่ะครับ?”
“ก็หาอยู่นี่ไง”
“ไปปิดไฟ เราจะเอาแฟลชมือถือส่อง”
“สั่ง?” เขาชี้ตัวเองพร้อมเลิกคิ้วขึ้นทันที
“ใช่ เราสั่งคุณ”
แพทเชิดหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความรั้นก่อนอีกฝ่ายจะกอดอกแล้วจ้องกลับเหมือนอย่างเคย เ้าหมาขนปุยตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงกลางมองหน้าเ้านายของตัวเองและแพทสลับกันไปมาด้วยความงุนงง
และในครั้งนี้คนที่อ่อนแรงมากกว่าก็แพ้ไป
ไซม่อนตกอยู่ในสภาวะจำยอมเดินไปปรับลดแสงไฟดวงใหญ่ให้สว่างน้อยลงจนสลัวเหมือนที่ถูกเปิดในสวนทุก ๆ วัน
“แล้วคุณจำได้ไหมว่าทำตกตรงไหน?”
“ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็หายไปแล้ว”
“หายในสวนนี้แน่นะ?”
“แน่”
“แล้วของที่หายคืออะไร?”
“สร้อย” เขาตอบเสียงแ่
แพทพยักหน้ารับก่อนจะเปิดใช้แสงจากโทรศัพท์มือถือ เขาค่อย ๆ ส่องหาทีละจุดเช่นเดียวกับกับฝั่งทายาทควินท์เรลที่เริ่มใช้ไฟฉายที่เหล่าพ่อบ้านและสาวใช้ตระเตรียมไว้ เขากระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นเพราะอากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ แสงจากพระจันทร์ดวงกลมโตสาดส่องลงมากระทบกับพื้นน้ำจนสว่างเป็สีนวลไปทั่วสวนกว้าง
เพราะอากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้หมอกเริ่มลง ไซม่อนจึงตัดสินใจสั่งให้แซมมี่กลับเข้าไปในคฤหาสน์ก่อนและเ้าสุนัขขนปุยตัวโตก็รับคำสั่งได้ดีราวกับพูดคุยภาษาเดียวกัน ในตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่เขากับไซม่อนแล้วจริง ๆ ทั้งไซม่อนและแพทต่างก็ตั้งใจหาสร้อยและไม่มีบทสนทนาอะไรต่อกันอีกเลย แต่ตัวแพทเองก็ไม่รู้ว่าเพราะความเงียบหรือความเมินเฉยที่มีให้กันจึงทำให้แพทรู้สึกหวิวใจแบบนี้ และยิ่งได้เห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจหาของสำคัญของตัวเองมากมายขนาดนี้อีก
จะขอโทษเื่เมื่อตอนกลางวันดีมั้ยนะ
ในขณะที่แพทริเซียกำลังคิดฟุ้งซ่านเื่ที่จะขอโทษไซม่อน แสงจากพระจันทร์ก็ลงมาส่องกระทบที่วัตถุสีเงินที่ตกอยู่หลังต้นเมเปิลต้นใหญ่ เท้าเล็กค่อย ๆ ก้าวเข้าไปและก้มหยิบขึ้นปัดเศษฝุ่นออกอย่างเบามือ
สร้อยรูปแม่กุญแจ?
“คุณควินท์เรล”
“สักครู่ได้ไหม? ขอหาตรงนี้ก่อน” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย
“เราว่าเราเจอแล้ว”
“ไหน?”
ดวงตาคมเบิกกว้างพร้อมวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าดีใจ ในตอนนี้ภาพคุณชายควินท์เรลที่แสนเ็าได้จางหายไปหมดแล้ว แต่กลับกลายเป็ภาพสุนัขตัวโตที่กำลังดีใจเหมือนได้ของเล่นใหม่เข้ามาแทนที่ หากแพทริเซียห้ามตัวเองไม่ทัน ป่านนี้มือของเขาคงได้เอื้อมไปลูบกลุ่มผมหนานั้นอย่างที่ทำกับแซมมี่แล้วจริง ๆ
แพทยื่นสร้อยรูปแม่กุญแจให้อีกฝ่ายเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะดึงของไปจากมือเหมือนเคย แต่ในครั้งนี้ไซม่อนกลับทำท่าทีที่ทำให้แพทประหลาดใจเข้าไปใหญ่ ฝ่ามือหน้าทั้งสองข้างถูกแบออกและยื่นมาหาเขาแทน ดวงตาคมที่มองเขาอย่างไม่สบอารมณ์แทบทั้งวัน ในตอนนี้กลับเหลือเพียงดวงตากลมราวกับลูกหมาที่จ้องมองสร้อยสีเงินอย่างหวงแหน
“หลังจากนี้ก็เก็บดี ๆ นะครับ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเบา ๆ พร้อมวางสร้อยบนมือของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังที่สุด
อัลฟ่าตัวโตแทบจะไม่ได้ยินอะไรที่แพทพูดแล้วด้วยซ้ำ ขายาวก้าวไปหยุดและทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว เขามัวแต่จ้องมองสร้อยที่อยู่ในมืออย่างพินิจพิจารณา ปลายนิ้วยาวไล่ไปตามสร้อยสีเงินวาววับที่ถูกรักษาอย่างดีมาตลอดอย่างเบามือ เขาปลดตะขอสร้อยช้า ๆ ก่อนจะสวมมันกลับเข้าไปบนลำคออย่างที่ควรจะเป็
แพทริเซียที่เดินตามมาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไปนอกจากยืนมองเขาอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น คนตัวเล็กกระชับเสื้อคลุมตัวหนาให้แน่นขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง หมอกเริ่มปกคลุมไปทั่วพื้นผิวน้ำและนั่นทำให้ความเย็นคืบคลานมาััผิวของเขาทั้งสองคนได้ง่ายขึ้น แก้มขาวของแพทเริ่มมีเืฝาดขึ้นน้อย ๆ ไม่ต่างจากไซม่อนที่ใบหูเริ่มแดงมาสักพัก
เดี๋ยวได้ไม่สบายกันทั้งคู่แน่
“คุณควินท์เรล”
“อื้ม”
“เราเข้าไปข้างในกันดีไหม? อากาศเริ่มหนาวจัดแล้วนะ”
“ไม่เห็นหนาวเท่าไหร่เลย”
ไม่หนาวแต่ปากสั่นขนาดนั้นแล้วนี่นะ
แพทส่ายหัวน้อย ๆ ก่อนจะถือวิสาสะเอื้อมไปจับข้อมือหนาของอีกฝ่ายไว้แล้วกระตุกเบา ๆ
“คุณมอร์แกน คุณทำอะไร?”
“เข้าไปกันได้แล้ว เดี๋ยวป่วยแล้วจะแย่เอา”
“อย่าดึง”
ภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครได้เห็นก็เกิดขึ้นจริง ภาพที่ทายาทแห่งควินท์เรลอย่างไซม่อนถูกโอเมก้าตัวเล็กกึ่งลากกึ่งจูงกลับไปเข้าไปในคฤหาสน์ และกว่าทั้งคู่จะเดินขึ้นมาถึงบนชั้นสองก็กินเวลาอยู่นานเพราะการยื้อกันไปมานั่นแหละ
“เหนื่อย”
“แล้วลากทำไม?”
“ก็เดี๋ยวคุณไม่ยอมขึ้นมา”
“ถ้าไม่ขึ้นแล้วเราจะนอนที่ไหน?”
เถียงคำไม่ตกฟากจริง ๆ ไอ้ลูกหมานี่
แพทยืนหอบหายใจอยู่ครู่นึงก่อนจะรู้สึกตัวว่ายังจับข้อมือของอีกฝ่ายอยู่จึงรีบปล่อยมือทิ้งทันที อัลฟ่าตัวโตค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมและยื่นส่งคืนให้คนใจดีตรงหน้า และนั่นก็เป็ครั้งแรกที่ไซม่อนได้เห็นใบหน้าของแพทริเซียชัด ๆ
ใบหน้าที่ไม่ได้ทำหน้าถมึงทึงใส่เขา
ใบหน้าที่เป็ใบหน้าเรียบนิ่งของอีกฝ่าย
ก็สวยดีอยู่เหมือนกัน
และอัลฟ่าหนุ่มก็หารู้ไม่ว่าสายตาของตัวเองที่กำลังจดจ้องใบหน้าหวานอยู่นั้นมันทำให้อีกคนต้องนิ่งค้างไปชั่วขณะ ทั้ง ๆ ที่แพทริเซียเหนื่อยสายตัวแทบขาดและอยากขอตัวกลับห้องนอนจะแย่อยู่แล้ว แต่พอโดนสายตาเ้าชู้จากไซม่อนมองมาแบบนี้ก็ทำเขาไปไม่เป็ ไม่กล้าก้าวขาไปไหนสักนิด
“เอ่อ คุณควินท์เรล”
“..”
“คุณควินท์เรล”
ฝ่ามือเล็กโบกไปมาเรียกให้สติของไซม่อนกลับมาอีกครั้ง อัลฟ่าหนุ่มหลุดจากภวังค์ก่อนจะกระแอมออกมาเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธมากเกินไป คิ้วเรียวสวยของแพทขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อคนตรงหน้าทำตัวแปลกไปแถมยังจ้องมองเขาอย่างนั้นอีก
หรือไม่พอใจอะไรกันอีก?
“งั้นเราขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”
“ได้”
“อย่าลืมสระผมนะครับ เมื่อสักครู่หมอกลงหนาเลย”
“อืม”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“เช่นกันคุณมอร์แกน”
ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจหันหลังไปยังคนละฝั่งของห้องพักของตัวเองเงียบ ๆ และในตอนนี้ทั้งสองฝ่ายหันหลังไปแล้วนั้น
ฝั่งอัลฟ่าหนุ่มก็ยังคงคิดในเื่ที่ตัวเองไม่ได้ไปเรียนโดยที่ไม่บอกอะไรอีกฝ่ายสักคำแถมยังเป็แพทริเซียอีกด้วยที่เป็คนมาช่วยหาของสำคัญของเขาจนเจอ และไม่ได้ขอให้เขาอธิบายอะไรที่ควรทำ แต่คำขอบคุณสักคำจากตัวเขายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
และฝั่งเ้าของใบหน้าหวานที่กำลังหอบเสื้อคลุมตัวใหญ่ไว้ในอ้อมแขนก็เอาแต่ครุ่นคิดเื่ที่พลั้งเผลอไปต่อว่าอีกฝ่ายทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รู้เหตุผล แถมยังหงุดหงิดใส่ซะจนอีกฝ่ายมีน้ำตาจนได้ หากเขาไม่ได้ขอโทษในคืนนี้ ตัวเขาเองก็คงจะนอนไม่หลับ
เสียงฝีเท้าของทั้งสองคนย่ำไปพร้อมกัน
และหยุดพร้อมกันทันทีที่ตัดสินใจได้
“คุณมอร์แกน”
“คุณควินท์เรล”
เสียงของทั้งคู่ประสานขึ้นพร้อมกันในจังหวะที่หันมาสบตาโดยบังเอิญ
“คุณก่อน”
“คุณควินท์เรลก่อน”
“วันนี้คุณสั่งมามากพอแล้วคุณมอร์แกน”
“คือ..”
“คุณพูดมาก่อน”
แพทริเซียกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พอได้เป็คนพูดก่อนนี่มันเสียเชิงชะมัดเลย
แต่เอาเถอะ วันนี้ยอมแล้วกัน
“เราขอโทษที่พูดไม่ดีใส่คุณแบบนั้น”
“ขอโทษที่ไปเรียนสายทุกครั้งเหมือนกัน”
สิ้นคำตอบจากทายาทควินท์เรลก็ทำให้แพทริเซียต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างใ
“ไม่ต้องดูใขนาดนั้น”
“ก็..”
“ขอบคุณสำหรับวันนี้”
“ครับ”
“ไว้จะเล่าเื่สร้อยให้ฟังพรุ่งนี้แล้วกัน”
“ได้ครับ”
“พรุ่งนี้จะไม่สาย”
และในคืนนั้นประโยคที่วนเวียนอยู่ในความคิดของแพทริเซียก็มีแค่คำขอบคุณและคำบอกกล่าวที่อีกฝ่ายจะทำ
แบบนี้ถือว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มันไม่ติดลบแล้วหรือเปล่านะ
หากเป็อย่างนั้นก็คงจะดีเลยน่ะสิ ดีมากเลย
- Simon’s theory -