ลู่จงเฉิงรู้สึกแปลกใจยิ่งนักที่เห็นอวิ๋นอี้อยู่ในที่แห่งนี้ จำนวนครั้งที่พวกเขาได้พบกัน่นี้ ดูจะค่อนข้างบ่อยมากกว่าที่ผ่านมา
ความคิดเช่นนี้แวบเข้ามาในหัว ไม่นานเขาก็ได้สติอย่างรวดเร็ว ใบหน้าและดวงตาของเขาสงบนิ่ง ลู่จงเฉิงพยักหน้าเล็กน้อยตอบรับอวิ๋นอี้
ลมูเาใน่บ่ายภายใต้แสงแดด อบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เมื่อลมพัดเบาๆ ทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนขึ้น
ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหากัน อวิ๋นอี้เงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นเล็กน้อย
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามอย่างเป็กันเองว่า “ท่านมาทำอันใดที่นี่เ้าคะ?”
นางจำได้ว่าหรงซิวบอกว่าจะมีประชุมตอนบ่ายหรืออันใดสักอย่าง ในฐานะอัครมหาเสนาบดีเขาควรจะเข้าร่วมด้วย
พอลู่จงเฉิงได้ยิน ก็มิได้ตอบออกไปตรงๆ เพียงแต่บอกว่า "มาเดินเล่นขอรับ"
เอาเถิด
ท่าทีของเขาที่คิดว่าคำพูดราวกับทอง [1] อวิ๋นอี้ยอมรับได้แล้ว นางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อว่า "เช่นนั้นท่านก็นับว่ามาถูกที่แล้วเ้าค่ะ ถ้ำที่อยู่ข้างหน้า นี้เรียกว่าฉางหลง ที่มาของนามนี้เพราะว่าในถ้ำมีกระดูกัที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี ว่ากันว่าตายไปหลังจากโชคไม่ดีติดอยู่ที่นี่ในสมัยก่อน”
ก่อนที่อวิ๋นอี้จะมาที่นี่ นางอ่านคำอธิบายจากในแผนที่มาแล้ว นางทำตัวราวกับเป็มัคคุเทศก์อย่างมั่นอกมั่นใจ
หลังจากพูดจบ นางก็รอให้ลู่จงเฉิงชมนาง แต่ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะพูดเพียงว่า “เป็เช่นนี้นี่เอง"
"...ก็ใช่น่ะสิ"
"พ่ะย่ะค่ะ"
"......"
จากนั้นการสนทนาก็จบลงอย่างกะทันหัน
ใบหน้าของอวิ๋นอี้ขมวดเกร็ง นางอับอายยิ่งนัก
หากพูดว่าลู่จงเฉิงเป็คนเ็า ไม่ชอบพูด ก็ถือว่าช่างมันเถิด แต่เขามิใช่อย่างนั้นนี่ เขาคุยกับหรงซิวและบุรุษผู้อื่นได้อย่างสบายอกสบายใจ พูดไปหัวเราะไป เรียกว่ามีคารมคมคายมากมายเลยทีเดียว
แต่ทำไมเมื่ออยู่กับนาง...ถึงไม่คุยกับนางเลยเล่า?
เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังของลู่จงเฉิงกำลังจะก้าวเข้าสู่ทางเข้าถ้ำ อวิ๋นอี้ก็พ่ายแพ้อีกครา
นางเดาว่า หากมิใช่ว่าลู่จงเฉิงให้ความสำคัญกับฐานะพระชายาของนาง ผ่านสวนแตงไม่ยกเท้า ผ่านสวนพลัมไม่ยกมือ [2] จงใจที่จะเว้นระยะห่างกับนาง
ก็คงเป็เพราะเขามิได้ชอบสตรี ?
ความคิดนี้ ทำให้อวิ๋นอี้เหงื่อตก มองดูหุ่นและขายาวของเขา...
อย่าคิดมากเกินไป!
นางส่ายหัวด้วยความรุนแรง สลัดความคิดมั่วๆ ในใจออกไปให้หมดสิ้น แล้วรีบเดินตามลู่จงเฉิงที่เข้าไปในถ้ำฉางหลงอย่างรวดเร็ว
ทางเข้าถ้ำแคบและเล็กนัก อวิ๋นอี้สงสัยว่าจะมีัอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ยิ่งเข้าไปข้างในมากเท่าใด ถ้ำก็จะยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น ภายในถ้ำสูงกว่าสิบเมตร ผนังโดยรอบขรุขระ มีตะเกียงน้ำมันหลายอันอยู่ในนั้น ตะเกียงกวัดแกว่งไปมา ในความมืดมิด แม้จะมีแสงไฟเพียงเล็กน้อย แต่สามารถสาดส่องให้เห็นทางเดินเท้าได้อย่างชัดเจน
ลู่จงเฉิงเดินไปข้างหน้า ตามมาติดๆ ด้วยอวิ๋นอี้ เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วทางโล่ง
หลังจากเดินอยู่นานกว่าครึ่งชั่วยามก็ไม่เห็นอันใด
มีเพียงกำแพงหินขรุขระและแสงไฟสลัว
นางไม่รู้ว่าลมเย็นพัดมาจากที่ใด มันพัดอวิ๋นอี้จนทำให้นางรู้สึกเย็นะเืไปทั้งแผ่นหลัง รู้สึกขนลุกเป็ครั้งครา
นางขี้กลัวจึงรีบเดินตามลู่จงเฉิงไปติดๆ "ท่านคิดว่าที่นี่มันมืดไปหน่อยหรือไม่เ้าคะ?"
เสียงสตรีแ่เบา ที่ฟังดูก็รู้ว่ากลัวเล็กน้อย
ลู่จงเฉิงหยุดฟัง แล้วเดินต่อ "ไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"......"
รู้อยู่แล้วว่าถามเขาไปก็ไม่ได้อันใดขึ้นมา
นิสัยเช่นนี้ในคราแรกจะรู้สึกว่าเขาเ็า แต่หลังจากที่รู้จักเป็เวลานานใช้ไม้ไผ่ตีก็ไม่มีแม้แต่เสียงผายลม [3] เช่นนี้ ช่างน่าเบื่อเกินไปแล้ว
อวิ๋นอี้เป็คนที่ชอบพูดพล่าม จะให้พูดกับขอนไม้ทั้งวัน แค่คิดก็ปวดใจนัก
ขณะที่นางตกอยู่ในภวังค์ มิได้สังเกตว่าบุรุษตรงหน้าหยุดเดินเสียแล้ว นางที่รีบเดินไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบจึงกระแทกเข้าที่หลังของลู่จงเฉิงอย่างจัง
อวิ๋นอี้เจ็บจมูกในทันใด เงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา สบตาเข้ากับเขาที่มีใบหน้าสงบนิ่ง
เขาไม่ได้พูดอันใดออกมา มันยิ่งทำให้นางสับสน นางอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาว่า “ข้ามิได้ทำให้ท่านเจ็บใช่หรือไม่?”
“ขอรับ” ลู่จงเฉิงพยักหน้า ค่อยๆ เบี่ยงตัวไปทางข้าง “ถึงแล้วขอรับ”
อวิ๋นอี้มองไปตามที่แนวสายตาของเขา ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ปากอ้าค้าง
สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือกระดูกัที่มีความสูงกว่าสองเมตร ไม่มีขน มีเพียงโครงกระดูกสีขาวเรืองแสงเท่านั้น เพียงแค่ยืน ก็ยังรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่และไอกดดัน
แม่เ้าโว้ย อวิ๋นอี้คิดในใจ
ตอนแรกนางไม่คิดว่าจะมีกระดูกัอันใดเลย นางมาดูเพราะความสนุกล้วนๆ แต่สิ่งที่นางเห็นตรงหน้า ทำให้ต้องแปลกใจ
สิ่งที่อยู่ตรงหน้านาง ดูเหมือนเป็หัวของั กับสิ่งที่เหมือนจะเป็เขาสองอันตั้งอยู่บนนั้น ไม่สั้นไม่ยาว ดูน่ารักอยู่บ้างในคราแรก และด้านหลังคือสันหลังที่ยกขึ้น กระดูกเส้นยาว โค้งเล็กน้อย ยาวจรดไปถึงหาง
อวิ๋นอี้เดินไปรอบๆ สองครา ดูั้แ่หัวจรดหาง นอกเหนือไปจากความประหลาดใจก็คือความใ
ลู่จงเฉิงก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน เดิมทีก็พูดน้อยอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้พูดอันใดเลยในระหว่างนั้น
เดิมอวิ๋นอี้ก็มีเื่ที่อยากจะพูดด้วย แต่ทุกคราที่เงยหน้าขึ้นมอง ชายหนุ่มกลับดูเ็าและจริงจัง ทำให้นางต้องกลืนคำพูดเ่าั้ลงคอไปให้หมด
นางรู้สึกว่าหัวข้อที่นาง้าจะพูดคุยอาจไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับลู่จงเฉิง
เพื่อไม่ให้อาย ไม่พูดอาจจะดีกว่า
หลังจากเที่ยวชมไปจนหมดแล้ว ก่อนที่ลู่จงเฉิงจะจากไป เขาก็ถามนางก่อนอย่างไม่คาดฝัน "ท่านจะกลับเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
"กลับกลับกลับ" อวิ๋นอี้ตอบ
เวลาที่พวกเขาอยู่ในถ้ำนั้นไม่ถือว่าสั้นนัก คาดว่าข้างนอกน่าจะค่ำแล้ว
ลู่จงเฉิงพยักหน้า เมื่อเห็นว่าอวิ๋นอี้กำลังจะกลับไปทางที่มา เขาก็เรียกนางไว้ "ไปทางนี้ขอรับ ทางนี้น่าจะมีทางออก"
"หา?" นางสงสัย "จริงหรือ? ท่านแน่ใจหรือเ้าคะ?"
"......"
ลู่จงเฉิงไม่ตอบ เขาหันหลังแล้วเดินไปทันที
นางเม้มริมฝีปาก คิดว่าตนอาจจะเผยให้เขาเห็นถึงระดับสติปัญญา มิเช่นนั้นเหตุใดสายตาของลู่จงเฉิงจึงดูเป็การเย้ยหยันและดูถูกเหยียดหยามขนาดนั้นกัน?
อวิ๋นอี้ทุบหน้าอกของตน อยู่กับพ่อเทพบุตร อากาศแทบจะเย็นะเืเป็น้ำแข็งอยู่แล้ว
ปวดใจนัก!
ทั้งสองเดินผ่านกระดูกัไป ไม่นานนัก พวกเขาก็เห็นแสงสว่างที่แผดจ้าอยู่ข้างหน้า
อวิ๋นอี้ดีใจ นางเร่งฝีเท้า แต่เมื่อเข้าใกล้ปากถ้ำ นางกลับได้ยินเสียงน้ำไหลรินที่ด้านนอก
"ฝนตกแล้ว" ลู่จงเฉิงมองนางแล้วพูดช้าๆ "ข้ามิได้พกร่มมา"
“ออกไปดูก่อนเถิด” อวิ๋นอี้พูดจบ ก็เดินไปเบื้องหน้า
ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้ม เมฆดำบนท้องฟ้ารวมตัวกันเป็ก้อน บดบังท้องฟ้า ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วตกลงมาบนพื้นเป็แอ่งน้ำเล็กๆ ฝนที่ตกลงมาเสียงดังเปาะแปะ แอ่งน้ำเล็กๆ กันเป็ลำธารเล็กๆ กำลังไหลริน
อวิ๋นอี้มุมปากกระตุก ทำไมกลับตกหนักขึ้นได้เล่า?
นางหันกลับมามองลู่จงเฉิง เห็นเขาขมวดคิ้วก็พูดปลอบใจ “พวกเรารอสักครู่เถิด ฝนวสันต์มิน่าจะตกหนักมากถึงเพียงนั้น ฝนซาลงแล้วค่อยกลับเถิด”
"พ่ะย่ะค่ะ" ลู่จงเฉิงพูดจบ ก็ยืนอยู่ข้างนาง
ชายหนุ่มเอามือไพล่หลัง ร่างตรง ดูดุดัน กลิ่นจากร่างของเขาหอม ต่างจากกลิ่นความหนาวเย็นของหรงซิว เป็กลิ่นหอมเบาๆ ราวกับกลิ่นของแสงแดด
อวิ๋นอี้ไม่กล้ามองเขา หลังของนางตั้งตรง มองตรงไปข้างหน้า หูของนางตั้งขึ้น ตั้งใจฟังทุกการกระทำของคนข้างๆ อย่างระมัดระวัง
เขาเงียบสงบยิ่ง ราวกับว่าที่แห่งนี้มีแค่เพียงเสียงฝน
อวิ๋นอี้เม้มปาก เพลิดเพลินกับ่เวลานี้ นางไม่รู้ว่าจะพูดอันใดก็เลยทำได้แค่เงียบ เพียงหวังในใจว่าฝนจะตกให้นานขึ้นกว่านี้
แต่ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่า์จะไม่ค่อยเป็ใจนัก ดูราวกับจงใจจะขัดขวางนาง หลังจากความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจไม่กี่ครา ฝนก็ซาลง และหลังจากนั้นไม่นาน มันก็หยุดตกเสียแล้ว
ลู่จงเฉิงเอื้อมมือออกไปมองฟ้าแล้วพูดว่า "ไม่ตกแล้ว ไปกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
"อื้ม"
นางเม้มริมฝีปาก แล้วยกมุมกระโปรงขึ้นอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงแอ่งน้ำและเดินลงเขา แต่เมื่อลงไปถึงกลางูเา ฝนก็ตกหนักลงมาอีกครา โชคร้ายที่บริเวณนั้นไม่มีที่ให้หลบฝน ในกรอบสายตายามนี้เต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวชอุ่ม ไม่มีแม้แต่ต้นไม้!
แย่จริง!
อวิ๋นอี้เอามือบังศีรษะก่อนจะเหล่มองลู่จงเฉิง
ฝนเทลงมาอย่างหนัก นางเปียกโชกจนเหมือนไก่ต้มที่ขาวซีด เขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก
ฝนที่ถูกชโลมลงราวกับน้ำตกไหลลงมาเป็เส้นๆ ตกลงมาที่แก้มทั้งสองข้างอย่างแ่เบา อวิ๋นอี้ยิ้ม โดยที่ในใจคิดว่านี่นับเป็การร่วมทุกข์ร่วมสุขกันใช่หรือไม่ จากนั้นก็มองเห็นเขาที่กำลังมองมาที่นางเช่นกัน
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกสิ่งในโลกพลันดูเงียบงันไป
ลู่จงเฉิงเสยผมไปด้านหลังเผยให้เห็นหน้าผากที่เอิบอิ่ม ใบหน้าที่อ่อนโยนของเขาอย่างชัดเจน ดวงตาที่ถูกล้างด้วยน้ำนั้นมีแววความอ่อนไหวซ่อนอยู่ “มองอันใดพ่ะย่ะค่ะ ไม่เดินหรือ?”
อวิ๋นอี้ตอบรับ และยิ้ม “ไม่ ไม่มีอันใดเ้าค่ะ”
นางรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าว ถึงแม้จะฝนที่หนาวเย็นเข้ามาทักทายใบหน้าของนาง ทว่าก็ยังคงร้อนเหลือทน
ผู้ใดจะไปรู้ว่าลู่จงเฉิงเรียกนางจากด้านหลัง "ประเดี๋ยวก่อน"
"กระไรหรือ?"
เขาเดินเข้ามา ถอดเสื้อคลุมแล้วยื่นให้นาง "ลมพัดแรง ท่านสวมชุดบางเกินไป"
!!!
อวิ๋นอี้ใเกินจะบรรยาย นางเคยคิดว่าลู่จงเฉิงเป็แค่ขอนไม้ แต่แท้จริงแล้วเขาเป็ห่วงนางหรือ?
นางรับเสื้อผ้าที่เปียกด้วยมือที่สั่นเทา อวิ๋นอี้สวมไว้บนตัว นางกล่าวขอบคุณด้วยเสียงแ่เบา ลู่จงเฉิงพยักหน้าแล้วบอกกับนางว่า "ไปกันต่อเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
ฝนตกหนักยิ่งนัก จนสุดท้ายอวิ๋นอี้ก็ตากฝนจนปวดหัวตาลายไปหมด นางเดินอย่างโซซัดโซเซ
ลู่จงเฉิงขมวดคิ้วและคว้าตัวนางไว้ “ขึ้นมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าจะแบกพระองค์กลับลงไปเอง”
อวิ๋นอี้โบกมือปฏิเสธ แต่ได้ยินเขาพูดอีกคราว่า “ใกล้จะมืดแล้ว กลางคืนจะยิ่งอันตราย รีบขึ้นมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินเข้าไปหานาง ก้มตัวลงเล็กน้อย แสดงท่าทีชัดเจนว่าเขาจะแบกนาง
“ขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นอี้ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกเช่นไร นางขึ้นไปบนหลังเขาด้วยความงุนงง
ลู่จงเฉิงดูผอมมาก แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีกล้าม เมื่อนางปีนขึ้นไปก็ััเข้ากับแผ่นหลังอันทรงพลังของเขา กระแทกจนรู้สึกเจ็บ
นางขมวดคิ้ว คล้องคอของเขา ลู่จงเฉิงจับขาของนางด้วยมือของเขาอย่างสุภาพ
เสียงฝนกระทบแผ่นหลังดังขึ้น แต่ความอบอุ่นของิัที่อยู่เบื้องหน้ายังคงมอบให้นางเป็ระยะ
อวิ๋นอี้เอาหน้าซุกแผ่นหลังของเขา หูก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้น ไม่แน่ใจว่าเป็ของนางหรือของเขา
นางไม่พูดอันใดตลอดทาง
อันที่จริงลู่จงเฉิงอยากจะกล่าวว่า เขาอุ้มนางไว้บนหลัง ทำให้ทั้งสองเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมมากนัก
ใช้เวลาไม่นานก็ถึงตีนเขา เดิมทีอวิ๋นอี้เลี่ยงและบอกว่าจะลงมาเดินเอง แต่ลู่จงเฉิงมองขึ้นไปบนฟ้า กลางคืนกำลังคืบคลานเข้ามา นางจึงทำได้เพียงหุบปากและปล่อยให้เขาแบกไว้บนหลัง
ทั้งสองเดินเข้าไปในสำนักศึกษา ยังไม่ทันจะเข้าไปถึงที่ ก็เห็นศิษย์ของสำนักจำนวนมากรีบร้อนเข้ามาหาพวกเขา
ลู่จงเฉิงเป็อัครมหาเสนาบดี เมื่อเห็นเื่นี้ก็อดไม่ได้ที่จะเรียกผู้ที่อยู่ข้างหน้าและถามว่า "เกิดอันใดขึ้น?"
นักเรียนมองมาที่เขา สำรวจเสื้อผ้าที่เขาใส่ จากนั้นสายตาก็เหลือบไปมองอวิ๋นอี้ ในแววตามีความสงสัย ถามขึ้น “อัครมหาเสนาบดีลู่?ท่านกับพระชายา?"
ลู่จงเฉิงพยักหน้า “ใช่ พวกเ้าทำอันใดกัน?”
“กำลังตามหาพระชายาขอรับ” นักเรียนชายมองอวิ๋นอี้แล้วพูดตามจริงว่า “องค์ชายบอกว่าพระชายาหายไป ฝนตกหนักมาก เป็ห่วงว่าจะเกิดอันใดขึ้นกับพระชายา จึงส่งคนไปหา พวกเรารู้เข้าจึงอยากช่วยอีกแรง ใช่แล้วขอรับ ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว รีบไปหาองค์ชายเถิดขอรับ! องค์ชายเป็ห่วงท่านมาก! "
อวิ๋นอี้กระตุกมุมปาก มองดูหรงซิวที่เดินตามหลังศิษย์ในสำนักมาอย่างช้าๆ ค่อยๆ ยกมือขึ้นโบกให้เขา "ฝ่าา?"
หรงซิวดูโกรธมาก เขาเดินตรงเข้ามา แววตาและคิ้วดูช่างเ็า กัดริมฝีปากแน่น
"อัครมหาเสนาบดีขวาลู่" เขาเบนสายตาออก พยักหน้าเล็กน้อย "ข้ามารับพระชายาของข้า"
ลู่จงเฉิงปล่อยมือ อวิ๋นอี้ก็ะโลงมาทันที
ทันทีที่ลงมา หรงซิวก็คว้าข้อมือของนาง แล้วดึงนางไว้ข้างหลัง เขายืนอยู่ตรงกลางขวางหน้าลู่จงเฉิงและนาง สีหน้ายิ้มเหมือนยิ้ม “มิทราบว่าอัครมหาเสนาบดีลู่และชายาของข้า ไปที่ใดมาหรือ?"
อวิ๋นอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วดึงแขนเสื้อของหรงซิวเบาๆ
หรงซิวไม่เคลื่อนไหว
เขา้าจะถามให้ชัดเจน ท่าทีน่าเกรงขาม สีหน้าแววตาเปี่ยมไปด้วยความเ็า
ลู่จงเฉิงตอบอย่างสงบนิ่ง สบสายตาจริงจัง "ข้าพบนางโดยบังเอิญที่หน้าถ้ำฉางหลง จึงเข้าไปดูด้วยกัน ในระหว่างกลับก็เจอเข้ากับฝนขอรับ"
อวิ๋นอี้พยักหน้าและกระซิบ "เป็จริงตามนั้นเพคะ"
หรงซิวเมินนางแล้วตอบว่า "ช่างบังเอิญเสียจริง"
"ใช่ขอรับ" ลู่จงเฉิงดูเหมือนจะไม่เข้าใจคำประชดประชันในคำพูดของเขา "เป็เื่บังเอิญ หากไม่มีเื่ใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ลมกลางคืนหนาวเย็นนัก”
เขาไม่รีบร้อน และบอกลาอย่างสุภาพ
หรงซิวยืนอยู่ที่นั่นครู่หนึ่งแล้วดึงนางกลับไปที่ห้องทันที ชายหนุ่มเดินก้าวใหญ่นัก อวิ๋นอี้ตามไม่ทัน ข้อมือก็โดนบีบจนเจ็บ ทำได้เพียงวิ่งตามไป
หลังจากกลับมาถึงห้อง นางก็เหนื่อยแทบหอบ
แต่หรงซิวปิดประตูกระแทกจนเกิดเสียงดัง อวิ๋นอี้ใมาก เงยหน้าขึ้นมองไม่ทันจะได้บ่น หรงซิวก็อยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
อวิ๋นอี้รู้ว่าไม่ดีแน่ นางกำลังจะถอย หรงซิวก็กอดเอวนางเอาไว้ มือทั้งสองบีบแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
นางโกรธมากจนตบหลังเขา "หรงซิว! ทำอันใด! ฝ่าาบ้าไปแล้วหรือ! ปล่อย!"
"ไม่ปล่อย!" เขาโกรธมาก โกรธจนควันออกหู จนทำให้นางตัวสั่น
“ปล่อย!” นางตีเขาอีกครา
หรงซิวขยับตัว อุ้มนางขึ้นจากพื้น หัวหมุนไปหมด อวิ๋นอี้รีบกอดเขา ในวินาทีต่อมา ทั้งสองก็ล้มลงบนเตียงหลังใหญ่ด้วยกัน
เขากดนางลง ดึงเสื้อของนางออกด้วยมือใหญ่ แล้วโยนมันลงกับพื้นอย่างโกรธจัด
อวิ๋นอี้อยากจะด่าพ่อล่อแม่ "หรงซิว! ท่าน! ฝ่าา ฝ่าาหยุดนะเพคะ!หยุดเดี๋ยวนี้!"
หรงซิวกดขาและแขนของนางไว้ ไม่ให้ขยับเขยื้อน จูบของเขาจรดลงมาทันที รุนแรงและครอบงำราวกับัคำราม ปล้นชิงทุกลมหายใจของนาง
"อื้อ..."
อวิ๋นอี้ดิ้นรนไม่ไหว ได้แต่ฝืนทน
นางคิดว่าหรงซิวจะหยุดเพียงแค่จูบ จนกระทั่งมือของเขาเลิกเสื้อผ้าที่เปียกขึ้นและเคลื่อนเข้าหาหน้าอกของนาง นางก็นึกขึ้นได้ว่าครานี้ดูเหมือนว่าเขาจะลงมือทำจริงๆ แล้ว? !
เชิงอรรถ
[1] คำพูดราวกับทอง 惜字如金 หมายถึงคนพูดน้อย เปรียบเทียบกับคำไทยคือกลัวพิกุลจะร่วงจากปาก
[2] ผ่านสวนแตงไม่ยกเท้า ผ่านสวนพลัมไม่ยกมือ 瓜田李下 หมายถึง ไม่ทำการใดที่เป็เหตุให้คนอื่นสงสัยในเจตนา
[3] ใช้ไม้ไผ่ตีก็ไม่มีแม้แต่เสียงผายลม 八竿子打不出一个屁 หมายถึง คนที่ไม่ชอบพูด