หลังจากที่หรงซิวพูดคำเหล่านี้จบ เขาก็โอบเอวอวิ๋นอี้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพานางเดินไปรอบสำนัก
อวิ๋นอี้หันไปมองเขา สายตาที่หล่อเหลาของเขาช่างเ็าและนิ่งสนิท เพียงแต่หัวใจของนางไม่สามารถสงบลงได้ เขาบอกว่า อย่าคิดถึงคนที่ไม่ใช่ของเ้า หาก้าข้ามกำแพง ต้องข้ามศพเขาไปก่อน
หรือว่าหรงซิวจะรู้หมดแล้ว?
อวิ๋นอี้แตกตื่นในใจ ไม่สามารถคาดเดาท่าทีของเขาได้เลย
จากการทำความสนิทสนมรู้จักกันมาสักพัก แม้ว่าหรงซิวจะให้นางทำอันใดได้อย่างตามใจ ถึงขนาดยอมเข้ากันเป็ปี่ขลุ่ยกับนางได้ แต่นางรู้ดีว่าพวกเขาทั้งสองนั้นไม่เหมือนกัน
เขามีจิตใจที่ลึกซึ้ง เดินเพียงก้าวเดียวคำนวณมาแล้วถึงสิบ แต่นางเป็คนอยู่ไปวันๆ เล่นสนุกไปเรื่อย
นางมองไม่ออกว่าหรงซิวโกรธนางหรือไม่ แต่มือที่โอบเอวบางของตนกลับกดน้ำหนักขึ้นเมื่อเดินผ่านลู่จงเฉิง
นางแทบจะหายใจไม่ออกเพราะการบีบรัดของเขา!
อวิ๋นอี้ฉีกยิ้มบนใบหน้า แอบเอื้อมมือไปบิดมือเขาที่โอบอยู่
หรงซิวหันหน้ามา นางเบิกตากว้างทันทีก่อนจะพูดว่า “เบาหน่อยเพคะ”
“หากเ้าทำตัวดี ก็จะไม่เจ็บ” เขาขยับเข้ามาใกล้ พูดเบาๆ
สถานการณ์เช่นนี้ ในสายตาของคนนอก คนทั้งสองกำลังกอดกันอย่างรักใคร่
อวิ๋นอี้กัดริมฝีปากอย่างโกรธเคือง "รู้แล้วเพคะ ฝ่าาผ่อนแรงก่อนสักนิดเถิด"
หรงซิวผ่อนแรงลง
เขาพูดทักทายกับลู่จงเฉิง เชิญให้เข้าสำนักด้วยกัน บอกว่ามีบางอย่างที่เขา้าจะปรึกษาหารือ ลู่จงเฉิงก็พยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งสามคนเดินเข้าไปข้างในด้วยกัน หรงซิวเหลือบมองอวิ๋นอี้ด้วยสายตาลึกซึ้ง
อวิ๋นอี้ก็เข้าใจในทันที หรงซิวมองออกจริงๆ ว่านางชื่นชอบลู่จงเฉิง
เื่ยุ่งยากแล้ว
นางยังคงเกาะต้นขาของเขาอยู่ แต่ลับหลังหมกมุ่นอยู่กับบุรุษผู้อื่น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็คงไม่ดี อวิ๋นอี้ตัดสินใจปิดหูปิดตา มิพูดไร้สาระ อย่างไรก็ตาม เมื่อหรงซิวถามขึ้นมา นางจะไม่พูดอันใดออกมาสักคำ จะทำเพียงแค่อ่อนน้อมให้กับเขา ทำให้เขามีความสุข นางจะได้มีกินมีใช้ต่อ ทุกคนก็จะมีความสุขร่วมกัน
สำหรับลู่จงเฉิงแล้ว นางเพียงแค่ชื่นชอบหน้าตาของเขาเท่านั้น มองจากเพลานี้ ก็ยังไม่แน่ว่าทั้งสองจะมีโอกาสพัฒนาไปได้หรือไม่ อวิ๋นอี้ฉลาดเฉลียว คิดไปคิดมา ก็ควรที่จะใช้ชีวิตตามความเป็จริงไปก่อน
นางครุ่นคิดมาตลอดทาง ได้ยินเสียงของหรงซิวและลู่จงเฉิงคุยกันเป็ระยะ นางทำเป็ไม่สนใจ ให้มันเป็เพียงเสียงนกเสียงลม
ไม่นานก็เข้าไปในสำนักศึกษา
สมกับที่เป็สำนักศึกษาของราชวงศ์ มองไปรอบๆ แล้วมันครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ มองเห็นอาคารสูงสามหลัง คานแกะสลัก เสาทาสีหรูหราแบบโบราณ อวิ๋นอี้เห็นบุรุษหลายคนในชุดนักเรียน พวกเขาก็ยืดคอและมองมา เดาในใจว่าอาคารสูงทั้งสามนี้น่าจะคล้ายกับอาคารเรียน
หรงซิวเดินอยู่ข้างกาย โดยไม่อธิบายให้นางฟัง
พวกเขาเดินผ่านเข้าไปในตึกสูงด้านหลัง มีถนนสายหนึ่งกว้างและสะอาด วนเป็วงกลม ทางลาดดูไม่ลำบาก เดินไปโดยไม่เหนื่อย
สุดถนนมีเรือนอยู่สองแถวยาวทั้งซ้ายขวา เรือนล้อมรอบด้วยต้นไม้ดอกไม้ นอกจากนี้ยังมีผ้าห่มและเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ด้านนอก
ที่นี่น่าจะเป็หอพัก
อวิ๋นอี้รู้สึกอยากรู้อยากเห็น มองไปรอบๆ ด้วยความแปลกตา
นางเห็นต้นไม้หลายต้นอยู่ไม่ไกล ต้นไม้ตั้งตรงสูง มีใบขนาดใหญ่้า เมื่อแสงอาทิตย์สาดลงมา ใบไม้สีเขียวสะท้อนแสงเป็ประกาย เป็ครั้งแรกที่นางเห็นแบบนี้ แปลกใจจนต้องร้องออกมา
“นั่นต้นไม้อันใดหรือเพคะ?”
หรงซิวมองย้อนกลับไป เอื้อมแขนยาวไปโอบไหล่นาง ไม่ตอบ แต่กลับดึงนางเข้าไปในห้องแทน ความสนิทสนมอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้นางขมวดคิ้วไม่พอใจ มือเล็กๆ ของนางจับแขนเขาแน่น พยายามสลัดมันออก แต่นางก็ไม่สามารถสลัดทิ้งจนหลุดพ้นได้
ความแข็งแกร่งของสตรีและบุรุษแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อเห็นสาวน้อยในอ้อมแขนของเขากระสับกระส่าย หรงซิวก็เลิกคิ้วขึ้นและตบก้นนางด้วยฝ่ามือใหญ่ "อยู่นิ่งๆ เสีย"
"หรงซิว! ฝ่าานะฝ่าา!" เขากล้าตบก้นนางจริงๆ!
“กระไรหรือ?” หรงซิวยิ้ม “ในใจมีผู้อื่น ข้าตีสักนิดก็มิได้หรือ? หากเ้าอยู่ไม่นิ่งอีกล่ะก็ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำให้เ้าร้องได้?”
ปกติเขาไม่พูดอะไรตรงไปตรงมาเช่นนี้ อวิ๋นอี้ใ หูของนางเปลี่ยนเป็สีแดงโดยไม่ทันตั้งตัว
หรงซิวเห็นเช่นนั้น ก็หยักริมฝีปากขึ้นยิ้ม “อายหรือ? หากเกรงว่าข้าจะลงมือกับเ้า ก็ล้มเลิกความคิดเสีย สวามีของเ้ายังมิตายง่ายๆ หรอก”
เห็นเขาพูดถึงเื่พวกนี้ อวิ๋นอี้ก็ขึงขังขึ้นมาทันที นางสวนกลับอย่างจริงจัง “ฝ่าากำลังพูดเื่ใดเพคะ?มีผู้ใดอยู่ในใจกัน?"
“ลู่จงเฉิงน่ะสิ” หรงซิวพูดอย่างไม่ไว้หน้า “เ้าเห็นเขา น้ำลายก็แทบจะไหลออกมาแล้ว”
มันชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ?
อวิ๋นอี้เคอะเขิน มีท่าทีเ้าเล่ห์ "ไม่นะเพคะ ฝ่าาคิดมากไปแล้วเพคะ"
“กระนั้นหรือ?” หรงซิวกวาดสายตามอง อารมณ์ในสายตาซับซ้อนยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เขาจ้องนางจนรู้สึกผิด อวิ๋นอี้ละสายตาออกอย่างไม่เป็ตัวเอง พึมพำว่า "ฝ่าาอย่าใช้กำลังนะเพคะ"
ทั้งสองเข้ามาในห้อง การตกแต่งในห้องมีความประณีตมาก มีต้นไม้สีเขียววางอยู่บนโต๊ะ ดูสบายตา
ไม่ได้รับคำตอบจากหรงซิว อวิ๋นอี้จึงทำตัวสงบเสงี่ยม
นางนั่งลงที่โต๊ะแล้วถามว่า “่นี้พวกเราอยู่ที่นี่หรือเพคะ?”
“ใช่” หรงซิวพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์
อวิ๋นอี้ถามอีกครั้ง “เมื่อใดจะกลับเมืองหลวงเพคะ?”
“รีบร้อนกระไร?” หรงซิวพูด “พวกเราถือโอกาสนี้ กระชับความสัมพันธ์ระหว่างสวามีชายากันเถิด”
อวิ๋นอี้อัดอั้นจนพูดไม่ออก นางไม่คิดว่าหรงซิวจะเป็คนดื้อรั้นเช่นนี้
ช่างมันเถิด เพื่อที่จะเกาะต้นขาเขาไว้ ต้องกัดฟันอดทน
อดทนได้ก็จะชนะ!
หรงซิวอยู่ในห้องสักพัก ก็ได้รับเชิญจากบุรุษที่ดูเหมือนเป็ศิษย์ของสำนัก เขาสั่งให้อวิ๋นอี้ให้พักอยู่ในห้อง เมื่อถึงเพลาเที่ยงวัน จะมีคนเอาอาหารมาให้
จนกระทั่งเขาจากไป หรงซิวมิได้เอ่ยถึงลู่จงเฉิงอีกเลย
อวิ๋นอี้ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ใหม่ หลังจากที่เขาจากไป นางก็เดินไปรอบๆ ลาน แม้ว่าทิวทัศน์จะงดงาม แต่เมื่อมองไปนานๆ ก็มิได้รู้สึกถึงความงามใดๆ ไม่นานนัก นางก็รู้สึกเบื่อหน่าย
โชคดีที่ถึงเวลาอาหารแล้ว ศิษย์ของสำนักคนหนึ่งนำอาหารมาส่งให้ ท่าทีของเขามีมารยาทและให้เกียรติเป็อย่างยิ่ง ซึ่งทำให้อวิ๋นอี้รู้สึกเชิดหน้าได้
ใน่บ่าย นางหาอ่านหนังสือในห้อง ทั้งหมดเป็ภาษาจีนโบราณที่วิชาการนัก ทำให้ผู้อ่านปวดหัว
ตอนที่อวิ๋นอี้หมดความสนใจ นางพลันเห็นแผนที่ที่แขวนไว้อยู่บนผนัง สายตาก็ถูกดึงดูดทันที
แผนที่เป็ภาพรวมของสำนักศึกษาจิงซุ่ยและบริเวณโดยรอบทั้งหมด นางศึกษาอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่ามีโบราณสถานที่น่าสนใจมากมาย
ไกลออกไป เหมือนจะมีทะเลสาบน้ำพุร้อน สะพานคู่รัก สวนดอกท้อ ฟังดูช่างชวนฝันและหวานซึ้งยิ่งนัก
ที่ใกล้ๆ กันมีถ้ำฉางหลงอยู่ด้านหลังเขาของสำนัก อวิ๋นอี้เห็นว่ามีการทำเครื่องหมายไว้เป็พิเศษในแผนที่ เขียนบอกว่ามีกระดูกั [1] อยู่ในถ้ำ ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้หลายปีโดยไม่มีการกัดกร่อน
กระดูกัหรือ?
ฟังดูยิ่งใหญ่ดี
นางอยู่ในห้องไม่ได้ทำอันใดเลย และตอนนี้ความอยากรู้อยากเห็นของนางก็ถูกกระตุ้นแล้ว นางจึงตัดสินใจไปหาเื่แปลกใหม่ทำเสียดีกว่า อวิ๋นอี้ลอกแผนที่ออกมาอย่างง่ายๆ แล้วออกไปผู้เดียว
อาจเป็เพราะศิษย์ในสำนักทุกคนมีวิชาเรียนกัน ตอนที่นางเดินลงไป ก็ไม่พบผู้ใดเลย
อวิ๋นอี้เดินผ่านถนนสายเล็กๆ เข้าไปด้านหลังูเา เมื่อเทียบกับทิวทัศน์ในสำนักศึกษา ที่นี่อุดมสมบูรณ์เขียวชอุ่มนัก กลิ่นอายของฤดูวสันต์ก็เข้มข้นกว่า
นางมองขึ้นไป ก็พบถ้ำบนูเา...อยู่เยอะไม่น้อย
ที่แห่งใดคือถ้ำฉางหลงกันเล่า?
อวิ๋นอี้มองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นคนที่คุ้นตายิ่งนัก
นางทั้งประหลาดใจและดีใจ ไม่ทันที่จะได้สติ นางก็ก้าวออกไปแล้ว "อัครมหาเสนาบดีขวาลู่?"
เชิงอรรถ
[1] กระดูกั 龙骨 หมายถึง ซากกระดูกสัตว์โบราณ เช่นกระดองเต่า กระดูกวัว