ในห้องโถงบรรยากาศอบอวลไปด้วยความหนักหน่วงและความโศกเศร้า
หลี่ซื่อถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด
ในจิตใต้สำนึกของนาง รู้สึกว่าชีวิตเมื่อก่อนของตนเองล้มลุกคลุกคลานและยากลำเค็ญมาโดยตลอด
แต่บนโลกใบนี้ ที่แท้แล้วยังมีคนอีกมากมายที่ได้รับความทุกข์ยากลำบากกว่าตนเองมากนัก
หูฉางกุ้ยนั่งอยู่ข้างกายนาง มองนางอย่างเต็มไปด้วยความห่วงใย ตบแผ่นหลังเบาๆ อยู่ตลอด ปากก็กล่าวเสียงค่อยๆ “อย่าร้อง อย่าร้อง สิ่งเ่าั้ล้วนผ่านไปแล้ว… ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร…”
เจินจูค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ นางมองชายชราหลิงเสี่ยนที่เล่าถึงอดีต ในน้ำเสียงมีความหนักหน่วง โศกเศร้า ท้อถอย หมดกำลังใจไปจนกระทั่งชาหนึบ แต่กลับไม่มีความเคียดแค้นและเป็ศัตรูอยู่เลย
สาเหตุที่พวกเขาเป็นักโทษเนรเทศ เป็เพียงได้รับการพัวพันไปกับผู้บังคับบัญชา ทั้งครอบครัวจึงลาจากกันชั่วนิจนิรันดร์แยกจากคนละฟากฟ้า
แม้เป็เช่นนี้ ในคำพูดของเขากลับไม่มีความหมายสื่อถึงการเกลียดชังราชสำนักหรือโทษว่าเป็ความผิดของฮ่องเต้เลย
หรือนี่เป็แบบอย่างที่ดีที่สุดของ ’ท่าน้าให้ข้าน้อยตาย ข้าน้อยไม่อาจไม่ตายได้ [1]’?
สังคมสมัยโบราณ แิเื่อำนาจสูงสุดในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หยั่งรากมั่นคง
หลิงเสี่ยนหยัดกายลุกขึ้น เด็กสองคนข้างกายเขารีบลุกขึ้นตามทันที
ผู้าุโโค้งตัวทำความเคารพมาทางหูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อ “ขอบคุณนายท่านสกุลหูและฮูหยินสกุลหู ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือชายชราเช่นพวกข้าปู่หลานสามคนจากท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก บุญคุณอันยิ่งใหญ่จะจารึกอยู่ในใจ... ซีเอ่อร์ เสวี่ยหลัน รีบคุกเข่าขอบคุณให้นายท่านทั้งสองเร็ว”
“ตุบ” เด็กสองคนคุกเข่าลง
“หลิงซีคำนับให้ผู้มีพระคุณขอรับ!”
“เสวี่ยหลันคำนับให้ผู้มีพระคุณเ้าค่ะ!”
“ปึก! ปึก! ปึก!” หูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ เด็กสองคนจึงโขกศีรษะสามครั้งด้วยความจริงจัง
“อย่าๆๆ… รีบลุกขึ้น” หูฉางกุ้ยนั่งยองลงพื้นแล้วพยุงหลิงซีขึ้นทันที
หลี่ซื่อก็รีบพยุงพานเสวี่ยหลันขึ้นเช่นกัน
ผู้มีพระคุณ? เจินจูกวาดสายตาทีหนึ่ง หลัวจิ่งนั่งนิ่งสงบอยู่ด้านข้าง
เ้าหนุ่มนี่ทำบ้าอะไรกัน?
เห็นสายตาเด็กสาวมีความงงงวยอยู่ มุมปากหลัวจิ่งยกยิ้มขึ้นบางๆ ส่งไปทางนาง
มารดาเถอะ เ้าเด็กน่าตายนี่เริ่มหว่านเสน่ห์ใส่นางอีกแล้ว เจินจูลูบแก้มที่แดงขึ้นของตนเอง จ้องเขาแวบหนึ่งอย่างพาลโกรธเอาดื้อๆ
รอยยิ้มของหลัวจิ่งกลับยิ่งสว่างไสวขึ้นอีก
ผิงอันนั่งอยู่ด้านข้าง มองสองคนคิ้วมาตาไป [2] ด้วยความประหลาดใจ
ชีวิตที่ต้องเผชิญกับการเป็นักโทษเนรเทศสิบปี ต่อให้ปณิธานความคิดจะสูงส่งเพียงใดก็ถูกทำให้สึกกร่อนลงได้
เมื่อก่อนหลิงเสี่ยนค่อนข้างมีความสามารถและมีชื่อเสียง แต่นิสัยตรงไปตรงมา ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ปรองดองกับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ในขณะที่ไม่ทันได้รู้ตัวก็ทำให้คนไม่พอใจไปมากแล้ว ด้วยเหตุนี้คดีดำรับสินบนเมื่อผ่านกระบวนการตรวจสอบออกมา เขาจึงเป็คนแรกที่ถูกผลักตัวออกไป
ระหว่างทางมารดากับภรรยาผ่านคืนวันการเป็นักโทษเนรเทศไปไม่ได้ แม้แต่หีบศพสักหีบก็ยังไม่มี ได้แต่ฝังอยู่บนเนินดินที่ไม่รู้จักชื่อ บุตรชายและลูกสะใภ้ก็มาทยอยจากโลกนี้ไปติดต่อกัน
สกุลหลิงเหลือเพียงหลิงซีเป็เด็กชายสืบสกุลเพียงคนเดียว
หลิงเสี่ยนฝืนพยุงร่างกายต่อไป ทนใช้ชีวิตหัวหงอก เพียงเฝ้าหวังว่าจะสามารถรอจนถึงวันหนึ่งที่ราชสำนักจะพระราชทานอภัยโทษได้
ใช้แรงงานวันแล้ววันเล่า เฝ้าหวังปีแล้วปีเล่า พอเขากำลังจะรู้สึกถึงความสิ้นหวัง ์ก็เปิดประตูอีกหนึ่งบานมาให้เขา
เด็กชายสองคนที่มา เขารู้จักอยู่หนึ่งคนในนั้น หน้าตาสง่างามไม่ธรรมดาปานนั้น คนที่เคยพบคาดว่าล้วนไม่มีทางลืมได้กระมัง
เด็กชายที่หิวจนเกือบจะเป็ลมไปข้างถนน ตนเองสงสารเขาที่อายุยังน้อยร่อนเร่มาต่างเมืองเพียงลำพัง จึงพยุงเขามายังใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทาง แล้วให้วอวอโถวครึ่งก้อนกับน้ำสะอาดครึ่งกาแก่เขา แล้วยังพูดคุยกันอยู่สองสามประโยค
แค่วอวอโถวครึ่งก้อนกับน้ำสะอาดครึ่งกา... เลยรับเอาโชคที่ดีนี้มา
เด็กชายกล่าวว่าตนเองสามารถช่วยเหลือพวกเขาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยากจากการเป็แรงงานได้ ให้พวกเขาตามเด็กชายไป
หลิงเสี่ยนตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย โอกาสเช่นนี้หาได้ยากมาก เขาอายุจะหกสิบอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าวันไหนจะปิดเปลือกตาลงไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาไม่ได้อีก
การออกจากสถานที่เนรเทศ และพาหลานชายกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา เป็ความปรารถนาหนึ่งเดียวของเขา
เขาไม่กลัวว่าเด็กชายจะเสนอเงื่อนไขโหดร้ายทารุณอะไรออกมา เขาเป็ชายแก่เน่าผุที่เกือบจะลงไปอยู่ในหลุมดินครึ่งหนึ่งแล้ว ยังมีความคุ้มค่าอะไรให้ผู้อื่นวางแผนใส่ได้อีก
ความลังเลเดียวของเขาคือ พานเสวี่ยหลันหลานสาวที่สหายร่วมงานฝากฝังให้ดูแล เด็กคนนี้ก็ชีวิตขมขื่นเช่นกัน คนที่บ้านล้วนไม่มีแล้ว หากเขาไม่สนใจนาง ผ่านไปอีกสองปี พอเด็กสาวเติบโตขึ้นหน่อยและไม่มีคนในครอบครัวปกป้อง กลัวว่าจุดจบจะน่าเศร้าใจอย่างมาก
ถูกคนต้องตาแล้วเอาไปเป็อนุยังนับว่าดี ไม่อย่างนั้นแล้วหากถูกผู้ที่ควบคุมดูแลนักโทษเวียนกันเหยียดหยามจะยิ่งน่าเศร้าสลดมากนัก เื่สกปรกโสมมที่พบเห็นหลายปีมานี้มีมากมายเหลือเกินจริงๆ
เขาลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า พอเอ่ยเื่พานเสวี่ยหลันกับเด็กชาย
เด็กชายกลับตอบรับคำขอร้องของเขาด้วยความว่องไวและสบายๆ อย่างมาก
หลิงเสี่ยนดีใจกับคำตอบที่ไม่คาดคิด เขาะโเรียกไปที่เด็กสองคน แล้วนำทางเด็กชายสองคนไปยังส่วนผู้ควบคุมดูแลนักโทษ
เ้าหน้าที่ทางการที่ควบคุมดูแลนักโทษไม่ได้ทำให้พวกเขาลำบากใจ อย่างไรเสียระยะเวลาที่กำหนดเนรเทศก็ครบสิบปีแล้ว ใน่เวลานี้พวกเขาที่ถูกเนรเทศออกมาชุดเดียวกันเหลืออยู่ไม่กี่คน พวกที่เหลือล้วนเป็คนที่ไม่มีใครเหลืออยู่แล้วหรือไม่ก็ไม่มีเงินให้สินบน
สามคนใช้จ่ายไปทั้งหมดเป็เงินห้าสิบเหลียง
จนกระทั่งนั่งเกวียนล่อออกมาจากสถานที่เนรเทศ หลิงเสี่ยนถึงรู้สึกได้อย่างจริงแท้ว่า...
พวกเขาออกมาจากสถานที่เนรเทศแล้วจริงๆ!
ชายชรามองเพิงบ้านทั้งเก่าและชำรุดที่คุ้นเคย ระยะทางเริ่มไกลออกมาช้าๆ น้ำตาไหลพรากลงมา
เด็กสองคนเห็นเช่นนั้น ล้วนกอดกันร้องไห้ขึ้นอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่
หยดน้ำตาเป็การยืนยันความโศกเศร้าและความทุกข์ทรมานของหลายปีมานี้ ขจัดความหดหู่เศร้าโศกที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจให้ออกไป
หลังร้องไห้โฮกันไปหนึ่งรอบ หลิงเสี่ยนก็ควบคุมอารมณ์ให้สงบลงได้อย่างรวดเร็ว
เขาตัดสินใจแล้วไม่ว่าจุดประสงค์ในการช่วยเหลือของเด็กชายคืออะไร ขอแค่ไม่ใช่เื่ฆ่าคนปล้นสะดมเอาทรัพย์สิน หรือวางแผนทำร้ายผู้อื่นเพื่อให้ได้ทรัพย์มา เขาล้วนตอบแทนเด็กชายอย่างสุดกำลัง
แต่พอเกวียนขับเคลื่อนมาได้ครึ่งทาง เด็กชายกลับกล่าวว่าตนเองไม่ใช่ผู้ที่ช่วยเหลือพวกเขา ตนเป็เพียงผู้รับใช้
ผู้ที่ออกเงินช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากสถานที่เนรเทศ เป็ครอบครัวหนึ่งที่แซ่หู อาศัยอยู่บริเวณไม่ไกลจากเมืองไท่ผิง
ผู้ที่ช่วยพวกเขามาย่อมมีจุดประสงค์ ส่วนจะเป็จุดประสงค์อะไรนั้น รอให้ถึงที่แล้วก็จะรู้
หลิงเสี่ยนชะงักงันอยู่บ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กชายจะเป็เพียงผู้ช่วยจัดการเื่ราว
คนครอบครัวแซ่หูนั้น เพื่อจุดประสงค์อะไรกันถึงยอมเสียเงินห้าสิบเหลียงใช้จ่ายมาที่คนอย่างพวกเขาเช่นนี้?
จุดประสงค์คืออะไร? อีกเดี๋ยวหลิงเสี่ยนก็ได้รู้แล้ว
รุ่งเช้าวันถัดมา หลังจากพวกเขาสามคนทานอาหารเช้าที่จัดวางเต็มโต๊ะแล้ว
แม่นางของสกุลหูหยิบกระดาษขาวไม่กี่แผ่นเดินเข้ามา
ให้เขาช่วยวางแผนในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำทั้งผืน ว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถออกแบบได้สวยงามและสมเหตุสมผล
วางแผน? ออกแบบ? เป็จุดประสงค์ที่ง่ายดายเพียงนั้น?
จ่ายเงินเชิญนายช่างหนึ่งคนที่เข้าใจการสร้างสวนหย่อมก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?
หลิงเสี่ยนไม่เข้าใจไปชั่วขณะ หรือนี่เป็เพียงการทดสอบหยั่งเชิงเขา แล้วดูว่าที่จริงแล้วเขามีประโยชน์ใช้สอยอะไรได้หรือไม่?
แม่นางสกุลหูกระฉับกระเฉงให้ความสนใจเป็อย่างยิ่ง “ผู้าุโหลิง ข้าอยากปลูกต้นอิงฮวาผืนใหญ่ๆ ใต้ตีนเขา ท่านคิดว่าจะจัดเรียงอย่างไรถึงจะสามารถแสดงออกมาได้เป็ระเบียบ? แล้วยังมีต้นหงเฟิงก็สวยมากด้วย ท่านว่าควรปลูกอยู่ตรงไหนถึงจะเหมาะสมกัน?”
หลิงเสี่ยนมองลายมือน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้บนกระดาษ บนหน้ากระดาษเขียนพืชจำพวกที่เอาไว้ชื่นชมเจ็ดถึงแปดชนิด ส่วนใหญ่เป็ประเภทสีสันต่างๆ สวยงาม
เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวที่อยู่ตรงกันข้าม ลักษณะอายุสิบเอ็ดสิบสองปี ดวงตาราวกับดวงดาราผิวขาวนวลดั่งผิวหยก เส้นผมสีดำเรียบลื่นม้วนเป็มวยลายก้นหอยคู่ เชือกรัดผมสีเขียวอ่อนค่อยๆ ไหวไปตามลม คนทั้งกายดูเหมือนภาพวาดเหนือจินตนาการที่มีชีวิตชีวา สุภาพอ่อนช้อยและงดงาม
ลายมือบนกระดาษเป็นางเขียนเองหรือ? ไม่สอดคล้องกับคนเลยจริงๆ
หลิงเสี่ยนจัดการความคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างละมุนละม่อม “แม่นางหู ออกแบบบ้านกับวางแผนสวนหย่อมต้องสำรวจสถานที่จริง ชายชราอย่างข้ามาถึงสถานที่อันสูงส่งเป็ครั้งแรก ยังไม่ทันได้เดินสำรวจดูโดยรอบเลย ไม่เช่นนั้นรอครึ่งวันสักเดี๋ยว เมื่อเหล่าสิ่ว [3] สำรวจดูเรียบร้อยแล้ว ค่อยทำการหารือกันดีหรือไม่?”
หลิงเสี่ยนน้ำเสียงนุ่มนวลท่าทางนอบน้อมถ่อมตัว วันคืนของการเป็นักโทษเนรเทศได้ลับเหลี่ยมความเฉียบคมที่มีทั้งหมดของเขาไปจนราบเรียบ คำขอทั้งหมดของเขาในตอนนี้ คือสามารถอบรมเลี้ยงดูเด็กสองคนให้กลายเป็ผู้ใหญ่ได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง
“อ่า... ไม่เร่งรีบ วันนี้พวกท่านพักสักวันก่อน” เจินจูรีบโบกไม้โบกมือทันที “การวางแผนนี้ค่อยๆ ทำ ข้าแค่คิดว่าต้นอิงฮวาและต้นหงเฟิงล้วนสวยงาม เลือกได้ลำบากนิดหน่อย อยากให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดู”
“ทั้งสองประเภทต่างเป็พืชไม้ระดับสูงมาก แต่สีของพวกมันต่างมีสีสันสวยงามเกินไป ปลูกด้วยกันดูยุ่งเหยิงไม่เป็ระเบียบ ดังนั้นต้นไม้ชนิดเดียวปลูกเพียงอย่างเดียวจะสวยงามกว่า” หลิงเสี่ยนพิจารณาแล้วตอบ
เมื่อวานเขานั่งอยู่บนเกวียนได้มองสภาพแวดล้อมที่ตั้งละแวกใกล้เคียงคร่าวๆ ไปสองสามรอบ เขตพื้นที่นี้ใกล้แม่น้ำ หากไม่รวมพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำลงไปภายในบริเวณบ้านด้วย เนื้อที่ที่สามารถใช้สอยได้คาดว่าไม่น่าเกินยี่สิบหมู่ มีบ้าน แปลงผัก และโรงเรียนก็ครองพื้นที่ไปครึ่งหนึ่งแล้ว เนื้อที่ที่สามารถใช้ปลูกต้นไม้ได้มีไม่มาก
“อื้มๆ…” เจินจูก็รู้เช่นกัน สีสันดูเหมือนจะละลานตาไปมาก นางแค่ลังเลเลือกไม่ถูกอยู่บ้าง “ผู้าุโหลิง ริมฝั่งแม่น้ำผืนนี้ล้วนเป็ของครอบครัวข้า หากท่านพักผ่อนดีแล้วก็ช่วยดูหน่อยว่าจะจัดการวางแผนอย่างไรให้เหมาะสมได้”
“แล้วก็... ผู้าุโ พวกท่านสามคนคิดจะทำอย่างไรกันต่อไป? เตรียมกลับบ้านเกิดเมืองหลวงหรืออาศัยอยู่ในหมู่บ้านพวกเราชั่วคราว?” เจินจูถามต่อ
หากพวกเขา้ากลับบ้านเกิดที่เมืองหลวง รอให้ช่วยออกแบบโครงการพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเสร็จก็สามารถออกเดินทางได้ หากคิดจะพักอยู่หมู่บ้านวั้งหลินเป็การชั่วคราว เช่นนั้นก็ต้องจัดการสถานที่พักของพวกเขาสามคนให้ดี
กลับบ้านเกิดเมืองหลวง? หลิงเสี่ยนสติหลุดลอยไปเล็กน้อย พวกเขาสามารถเลือกอิสระเองได้หรือ?
หลิงเสี่ยนมองนางที่ถามด้วยใบหน้าจริงจัง ไม่เหมือนคำพูดล้อเล่น เขาจึงไตร่ตรองอย่างจริงจังขึ้นมาทันที
กลับเมืองหลวงย่อมเป็ไปไม่ได้ พวกเขาเหล่านี้เป็นักโทษเนรเทศที่ยังไม่ได้รับการอภัยโทษ การกลับเมืองหลวงเป็การหาเื่ลำบากใส่ตัว อีกอย่างหากกลับเมืองหลวงราคาของสิ่งต่างๆ ย่อมสูงการใช้จ่ายเงินจะสูงตาม ไม่มีหลักแหล่งให้ดำรงชีวิตย่อมใช้ชีวิตไม่ได้
กลับบ้านเกิดยิ่งเป็ไปไม่ได้อย่างยิ่ง ตอนนี้ฐานะพวกเขายังนับว่ามีความผิดอยู่ กลับบ้านเกิดย่อมหนีไม่พ้นที่จะถูกขุนนางในท้องถิ่นซักถามและกดขี่ ที่พักอาศัยของบรรพบุรุษและที่นาในหมู่บ้านไม่มีคนดูแลสิบกว่าปีแล้ว หากไม่ใช่ถูกคนในตระกูลยึดครองก็หญ้าขึ้นรกไปทั้งผืน กลับไปเกรงว่าคงไม่มีที่ให้พวกเขาได้ซุกหัวนอนเช่นกัน
เวลาไม่กี่ลมหายใจ หลิงเสี่ยนได้ทำการเลือกออกมา
“เหล่าสิ่วกับเด็กสองคนเกรงว่าต้องรบกวนสกุลหูสักพักแล้ว” น้ำเสียงผ่านโลกมามากของชายชรามีความนอบน้อมและจริงใจเด่นชัด แม้ไม่รู้ว่าทำไมสกุลหูถึงช่วยพวกเขาไว้ แต่ผ่านการอยู่ร่วมกันหนึ่งวันสั้นๆ ชายชราพบว่า สกุลหูราวกับเป็เพียงครอบครัวร่ำรวยธรรมดาครอบครัวหนึ่งในชนบทที่ซื่อสัตย์และจิตใจดีงาม ไม่เหมือนกับที่เขาคิดเดาไปต่างๆ นานาปานนั้น แน่นอนว่านี่แค่ความประทับใจภายนอกในเวลาอันสั้น เนื้อแท้จะเป็อย่างไรยังต้องคอยสังเกตดูอย่างละเอียด
หลิงซีกับพานเสวี่ยหลันเด็กสองคน ั้แ่แรกจนถึงตอนนี้ล้วนนั่งอยู่ด้านข้างอย่างสงบและโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ได้ทำเสียงอะไรออกมาแล้วก็ไม่มีการเคลื่อนย้ายไปไหนใดๆ เด็กที่เป็นักโทษเนรเทศั้แ่เล็กจนโต เกือบจะเชื่อฟังทำตามคำสั่งทั้งหมด และยอมทำตามอย่างที่จัดวางไว้ให้จนกลายเป็สัญชาตญาณไปแล้ว
ท่านปู่สามารถพาพวกเขาออกจากสถานที่เนรเทศสภาพแวดล้อมทุกข์ยากได้ ออกจากปัจจัยการดำรงชีวิตที่เลวร้าย ได้รับการควบคุมและการข่มเหงรังแกมาได้ สำหรับพวกเขาแล้วช่างเป็ความน่าดีใจและน่าแปลกใจครั้งใหญ่มาก
เมื่อคืนได้ทานอาหารมื้อเย็นมื้อแรกในชีวิตที่เอร็ดอร่อยและอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ได้นอนบนเตียงที่สะอาดเรียบร้อยและกว้างขวาง สามคนล้วนน้ำตาไหลลงมาด้วยความซาบซึ้งปนเศร้าโศก
ในที่สุดก็ออกมาจากสถานที่จองจำพวกเขาไว้สิบกว่าปี หลังจากได้ดีใจและเบิกบาน ในใจก็รื้นความเศร้าโศกเสียใจและความเ็ปขึ้น คนชราและเด็กหนึ่งครอบครัวใหญ่ สุดท้ายที่สามารถมีชีวิตอยู่และรอดออกมาจากตรงนั้นได้ เหลือเพียงพวกเขาสามคน
สามคนใช้เวลาในคืนแรกของการออกจากสถานที่เนรเทศ อย่างทั้งทุกข์และสุขที่ประทุขึ้นมาพร้อมกัน
เชิงอรรถ
[1] ท่าน้าให้ข้าน้อยตาย ข้าน้อยไม่อาจไม่ตายได้ หมายถึง หากฮ่องเต้้าให้ตนเองตาย ตนเองไม่ได้อยากตาย แต่ต้องฟังรับสั่งของฮ่องเต้จึงจำเป็ต้องตาย
[2] คิ้วมาตาไป หมายถึง อากัปกิริยาที่เล่นหูเล่นตากันไปมา
[3] เหล่าสิ่ว (老朽) คือ การเรียกแทนตัวเองด้วยความถ่อมตน แปลว่า แก่หงำเหงือก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้