บทที่ 48 แปดอันดับแรก
“ได้ยินมาว่ามู่หรงเหิงเป็ลูกชายคนเดียวของเ้าเมืองมู่หรง เขาเชี่ยวชาญทักษะธนู แม้ว่าระดับพลังยุทธ์ของเขาจะต่ำ แต่คงไม่วิ่งหนีั้แ่ยังไม่เริ่มสู้เช่นนี้กระมัง?”
“ฉู่อวิ๋นคนนี้เป็นักรบระดับห้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ ทั้งยังปลุกิญญายุทธ์พิการขึ้นมา จริงๆ แล้วเขาอาจชนะโดยไม่ต้องต่อสู้ ต้องบอกว่าเขา เขาโชคดีจริงๆ”
คลื่นเสียงถกเถียงเสียงดังออกมา ทำให้มู่หรงเจี๋ยที่เป็เ้าเมืองขมวดคิ้วและไม่พอใจ
“เ้าลูกอกตัญญู อย่างน้อยก็ยิงธนูให้ข้าสักดอกสิ! แล้วนี่ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันเล่า?!” มู่หรงเจี๋ยตบหนึ่งฉาด โกรธจนเครากระเพื่อม
“ไม่...ไม่ได้! ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉู่อวิ๋นแน่นอนขอรับ ควรลงจากเวทีประลองให้เร็วจึงจะดีที่สุด” มู่หรงเหิงตัวสั่น
“ดาวหายนะนั้นแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆ หรือ?” มู่หรงเจี๋ยหรี่ตาลงและจ้องมองไปที่ฉู่อวิ๋นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ในความเป็จริง ไม่เพียงแต่มู่หรงเจี๋ยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ชมส่วนใหญ่ด้วย เช่นเดียวกับนักรบหนุ่มที่เข้าสู่สิบหกอันดับแรก พวกเขารู้สึกว่าเป็มู่หรงเหิงเองที่ขี้ขลาด ส่วนฉู่อวิ๋นก็ผ่านการประลองมาได้เพราะโชคช่วย
หลังจากนั้นไม่นาน การประลองรอบที่สองก็เริ่มต้น รวมทั้งการต่อสู้ของสิบหกอันดับแรกก็เริ่มขึ้น
คราวนี้ เหล่านักรบต่างก็มีความแข็งแกร่งเท่ากัน พลังยุทธ์ก็ไม่ต่างกัน ท้ายที่สุด ผู้ที่สามารถเข้าสู่สิบหกอันดับแรกล้วนแต่เป็เด็กหนุ่มอันดับต้นๆ ที่ได้รับการฝึกฝนจากตระกูลใหญ่
ทว่าหากเผชิญหน้ากับนักรบสองสามคนที่มีความแข็งแกร่งเหนือชั้น เช่น ฉู่เฟย ก็อาจจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
"เชอะ ขยะ เสียเวลาข้า"
บนเวทีประลอง ฉู่เฟยไม่แม้แต่จะหยิบมีดออกมา นางใช้เพียงห้ากระบวนท่าเท่านั้นในการเอาชนะนักรบระดับหกสูงสุดของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ และชายคนนั้นก็หมดสติไป ณ ตรงนั้น
เมื่อกลับมาที่ด้านหน้าเวที ฉู่เฟยจ้องมองไปที่ฉู่อวิ๋นอีกครั้ง ใบหน้างดงามของนางค่อนข้างเ็า นางอยากจะทำให้ฉู่อวิ๋นอับอายจนต้องมุดดินหนีจริงๆ แต่นางจับฉลากมาสองครั้ง กลับไม่อาจจับได้เขาเลย
“หวังว่าเ้าจะยังมีชีวิตอยู่ในรอบต่อไป” ฉู่เฟยแค่นเสียงอย่างเ็า ก่อนจะหลับตาและนั่งรอโดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีประลองอีก
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา มีเพียงนักรบสองคนที่เหลืออยู่ในกลุ่มสิบหกอันดับแรกที่ยังไม่ได้ขึ้นเวทีประลองเพื่อตัดสินผู้ชนะ
หนึ่งในนั้นคือฉู่อวิ๋น
เขาก้าวขึ้นสู่เวทีประลองอีกครั้ง มองดูคู่ต่อสู้ตรงหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น และพูดว่า "คุณหนูมู่หรง ไม่คิดว่าเราจะได้พบกัน ช่าง...บังเอิญเสียจริง"
ใช่แล้ว คู่ต่อสู้ของฉู่อวิ๋นในการประลองรอบที่สองคือมู่หรงซิน
“เป็อะไรไปเล่า? เ้าก้อนเมฆโรคจิต หรือว่าเ้าถนอมหยก[1] ไม่อาจลงมือได้กัน?” มู่หรงซินยกยิ้มอย่างงดงามราวดอกไม้[2] ดวงตาคู่งามจ้องมองไปที่ฉู่อวิ๋น ทำให้นักรบหนุ่มต่างอิจฉาตาร้อน
“ไม่หรอก ข้าตั้งใจแน่วแน่ที่จะติดสามอันดับแรกในการประลองเซี่ยหยางในครั้งนี้ เ้าลงมือได้เต็มที่ แต่ข้าก็จะไม่ออมมือเช่นกัน หวังว่าเ้าจะไม่ถือสา” ฉู่อวิ๋นถอนหายใจพลางพูด กระชับกระบี่ชื่อยวนที่อยู่ในมือให้แน่นขึ้น พลังปราณพุ่งขึ้นสูง
แต่ในสายตาของผู้ชม ฉู่อวิ๋นก็ได้แค่นี้
หลังจากเหตุการณ์มอบธนูเป็ของขวัญครั้งก่อน ทุกคนรู้สึกว่าฉู่อวิ๋นสนใจมู่หรงซิน และบางทีเขาอาจจะยอมแพ้ในตอนที่พวกเขาจับฉลากเจอกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของมู่หรงซินก็ไม่ด้อย นางอยู่ในระดับห้าสูงสุดของขอบเขตควบแน่นพลังปราณในหมู่คนรุ่นใหม่ในเมืองไป๋หยาง ตอนนี้ในมือนางถือธนูตามจันทร์อยู่ และพลังยุทธ์ของนางก็เพิ่มสูงขึ้น หากนางคิดต่อสู้อย่างจริงจัง ฉู่อวิ๋นคงไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย
บนที่นั่งเ้าเมือง มู่หรงเจี๋ยมองไปยังมู่หรงซินที่มีเสน่ห์เหลือล้นและรู้สึกภาคภูมิใจมาก ก่อนพูดกับตัวเองว่า "โชคดีที่ซินเอ๋อร์ช่วยรักษาหน้าของข้าไว้ ไม่เช่นนั้นศักดิ์ศรีของข้าคงปลิวหายไปแล้ว ตำแหน่งเ้าเมืองนี่ก็อาจจะด่างพร้อยไปด้วย”
บนเวทีประลอง มู่หรงซินเพิกเฉยต่อดวงตาที่ลุกเป็ไฟเ่าั้และจ้องมองไปที่ฉู่อวิ๋นอย่างเหม่อลอย จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า "เห็นแก่ที่เ้ายกธนูตามจันทร์ให้ข้า ถ้าเ้าตกลงกับคุณหนูเช่นข้าเื่หนึ่ง ข้าก็จะสละสิทธิ์ให้"
“หืม? ข้อตกลงอันใด?” ฉู่อวิ๋นสงสัยว่ามู่หรงซิน้าใช้กลอุบายแบบไหนกันแน่
“ฮิฮิ” มู่หรงซินยิ้มหวาน จากนั้นนางก็ก้าวขาเรียวหยก เดินบิดองค์เอวแน่งน้อย แล้วเข้าไปใกล้ฉู่อวิ๋นจนเหลือเพียงไม่กี่ก้าวแล้วพูดว่า "เ้า...ไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกคุณหนูเช่นข้าว่าคุณหนูมู่หรงอีก”
“เอ่อ?” ฉู่อวิ๋นสับสนเล็กน้อยและถามว่า “เหตุใดข้าถึงเรียกเ้าว่าคุณหนูมู่หรงไม่ได้เล่า? คุณหนูมู่หรง”
“อ๊ะ! เ้าเอาอีกแล้ว!”
เมื่อมองดูท่าทางที่งงงวยของฉู่อวิ๋น มู่หรงซินก็รู้สึกว่านางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เ้าอันธพาลตัวเหม็นคนนี้ไม่รู้จักรับน้ำใจคนเลยจริงๆ!
“คำก็คุณหนู สองคำก็คุณหนู เ้าไม่ใช่คนรับใช้ของข้า โปรดเรียกข้าด้วยชื่ออื่นด้วย!” มู่หรงซินพูดอย่างโกรธๆ โดยเอามือเท้าเอว ใบหน้าเล็กๆ ของนางก็อมลมพองขึ้น
"เอ่อ...ได้"
ฉู่อวิ๋นพูดไม่ออก มู่หรงซินคนนี้ไม่มีเหตุผลจริงๆ
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นจึงไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ดังนั้นเขาจึงต้องคิดสักครู่แล้วพูดว่า "ถ้าเช่นนั้น...ข้าจะเรียกเ้าว่าพี่หญิงใหญ่มู่หรง!"
หลังจากพูดจบ ฉู่อวิ๋นก็แอบพยักหน้า รู้สึกว่าตนเองทำได้ดีทีเดียว!
มู่หรงซินที่มักไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และในหัวมีแต่การประชันขันแข่ง นาง้าชื่อเรียกที่มีอำนาจเหนือกว่าและทรงพลังแน่ นางต้องชอบชื่อนี้อย่างแน่นอน
“เป็อย่างไรบ้าง?” ฉู่อวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ และมองไปที่มู่หรงซิน แต่เมื่อเขามองดูนาง กลับมองเห็นคิ้วของนางกระตุกยิกๆ ลมหายใจเร็วรี่ และดูเหมือนนางจะโกรธมาก
หรือเขาจะตั้งชื่อใหม่ได้ไม่ดี?
“เ้าอันธพาลตัวเหม็น เ้าคนโง่เขลา!!!” มู่หรงซินกระทืบเท้าด้วยความโกรธ อยากจะเดินเข้าไปหยิกแขนของฉู่อวิ๋น แต่ทันทีที่ยื่นมือออกไป นางก็หยุดชะงัก หายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง สงบสติอารมณ์อีกครั้ง และพูดเบาๆ "เ้า...เรียกข้าว่าซินเอ๋อร์ได้หรือไม่?"
“ซินเอ๋อร์?”
ฉู่อวิ๋นนิ่งอึ้ง แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็แค่เปลี่ยนชื่อเรียกเท่านั้น ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร
“ได้ จากนี้ข้าจะเรียกเ้าว่าซินเอ๋อร์” ฉู่อวิ๋นพูดเบาๆ
แต่สองคำที่ธรรมดานี้กลับทำให้มู่หรงซินมีความสุขมาก นางยกยิ้มงดงามและพูดว่า "ได้ คำไหนคำนั้น"
จากนั้น มู่หรงซินก็มองไปที่ฉู่อวิ๋นอีกครั้ง แล้วหันกลับมาพูดกับกรรมการผู้เฒ่าเฟิง "ผู้เฒ่าเฟิง คุณหนูเช่นข้าขอสละสิทธิ์เ้าค่ะ"
เสียงนี้ดังมากพอที่ผู้คนในลานประลองจะได้ยิน จึงทำให้เกิดความโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มีอะไรผิดไปหรือเปล่า? เ้าฉู่อวิ๋นนี่ชนะสองรอบติดต่อกันโดยไม่ต้องต่อสู้เลยนะ! เขาเป็เพียงแค่นักรบระดับห้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณเท่านั้นเอง เปลี่ยนข้าไปแทนก็ได้!”
“ข้าเข้าใจแล้ว ฉู่อวิ๋นคนนี้คงจะมีความสัมพันธ์กับมู่หรงซินไม่น้อย าาสัตว์ปีศาจตัวนั้นก็อาจจะเป็มู่หรงซินที่ช่วยเขาชนะมาก็ได้! เชอะ ช่างไร้ยางอายจริงๆ ถึงกับต้องพึ่งผู้หญิงเพื่อไต่อันดับ!”
เมื่อมู่หรงซินก้าวลงจากเวทีประลอง คำพูดที่ไม่พึงประสงค์และหยาบคายก็ดังไปทั่วสารทิศ แน่นอนว่าคำพูดทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่ฉู่อวิ๋น
เมื่อครู่ ทุกคนไม่ได้ยินสิ่งที่ทั้งคู่พูดบนเวทีประลอง แต่เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของมู่หรงซินแล้ว พวกเขาก็มั่นใจมากขึ้นว่าในคำพูดของฉู่อวิ๋นต้องเกี่ยวกับการล่อลวงหญิงสาวแน่นอน
ในเวลานี้ ใบหน้าของมู่หรงเจี๋ยซีดเซียว เขาเอนหลังบนเก้าอี้อย่างไม่อาจสงบใจ โดยคิดว่า "บุตรสาวเติบโตแล้วไม่อาจเก็บไว้ได้[3]จริงๆ ฉู่อวิ๋นนั่นมีอะไรดีกัน? ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งยังปลุกิญญายุทธ์พิการขึ้นมาอีก เฮ้อ ตระกูลมู่หรงเราไร้ทายาทแล้ว"
มู่หรงเจี๋ยรู้จักมู่หรงซินดี เขาสังเกตเห็นได้ว่านางมีความประทับใจที่ดีต่อฉู่อวิ๋น
แต่ในการประลองเซี่ยหยางในครั้งนี้ ตระกูลมู่หรงอยู่ในสิบหกอันดับแรกเท่านั้น
ไม่นาน การประลองรอบที่สามก็เริ่มขึ้น นี่คือการต่อสู้เพื่อแย่งชิงแปดอันดับแรก
ในบรรดานักรบแปดอันดับแรก ทุกคนมีการแสดงออกที่แตกต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างคล้ายกัน คือในบรรดาแปดคน ยกเว้นฉู่อวิ๋นและฉู่เฟย ทุกคนต่างก็เป็นักรบระดับหกของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ
การประลองยุทธ์เซี่ยหยางในครั้งนี้เต็มไปด้วยผู้ที่แข็งแกร่งและมากความสามารถ ต้องรู้ว่า ครั้งสุดท้ายที่มีการจัดการประลองเซี่ยหยาง มีนักรบเพียงสามคนเท่านั้นที่อยู่ในระดับหกของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ แต่ตอนนี้กลับมีถึงหก จำนวนเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า
ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาแปดอันดับแรก ยังมีฉู่เฟย หญิงสาวผู้เป็ที่ภาคภูมิใจแห่ง์ซึ่งโดดเด่นเหนือใครๆ
แน่นอนว่าเกือบทุกคนคิดว่าฉู่อวิ๋นซึ่งอยู่ในระดับห้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณไม่ควรจะอยู่ในกลุ่มนักรบนี้
ซือหม่าเค่อก็เข้าสู่แปดอันดับแรกเช่นกัน ยามนี้ เขาจ้องมองไปที่ฉู่อวิ๋น ดวงตาของเขาพลุ่งพล่านด้วยความโกรธและดุร้าย และพูดกับตัวเองว่า "ไอ้สารเลวนี่ เมื่อครู่นี้ถึงกับสนิทชิดเชื้อกับเสี่ยวซินมากขนาดนั้น! ช่าง...ช่างไม่สมควรจริงๆ!"
จากนั้น ซือหม่าเค่อก็ถือง้าวไว้ในมือแล้วทิ่มมันลงไปที่พื้น ทันใดนั้น ก็เกิดสายฟ้าแลบวาบแสงไปรอบๆ พื้นดินแตกกระจาย แถมสิ่งนี้ยังทำให้ฉู่อวิ๋นงุนงงอีกด้วย
“เ้าหนุ่มนี่ป่วยหรือเปล่า? เขาออกแรงโจมตีพื้นโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนดีอะไร สมควรต้องระวังเขาไว้ด้วย” ฉู่อวิ๋นคิดในใจและมองไปที่ซือหม่าเค่ออย่างดูถูก
แต่ท่าทางที่ไร้พิษภัยนี้กลับถูกซือหม่าเค่อจดจำเอาไว้แล้ว เขากัดฟัน ในใจ้าทำลายฉู่อวิ๋นให้สิ้นซาก แต่ตอนนี้ทั้งลานต่างเงียบสงบ ทุกคนกำลังเฝ้ารอให้การแข่งขันเริ่มต้น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระงับความโกรธลง และเศร้าโศกอยู่คนเดียวจนใบหน้าครึ้มม่วง
"ตึง!"
เสียงตีกลองดังสนั่น ทำให้นักรบแปดอันดับแรกบางคนวิตกกังวล
“การประลองแปดอันดับแรกได้เริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการแล้ว สำหรับคู่แรก ตระกูลหลี่ หลี่เจ๋อ และตระกูลฉู่ ฉู่อวิ๋น เชิญขึ้นเวทีประลองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประลอง”
“หืม? ข้าเป็คนแรกในรอบนี้เลยหรือ? ดีเลย” ฉู่อวิ๋นะโขึ้นไปบนเวทีประลองอย่างกระปรี้กระเปร่า
นักรบอีกคนหนึ่งที่ชื่อหลี่เจ๋อก็ปรากฏตัวบนเวทีประลองแล้ว ทำให้ฝูงชนรู้สึกตื่นเต้น
“หลี่เจ๋อคนนี้เป็นักรบระดับหกของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ และเขาได้ปลุกิญญายุทธ์ระดับสี่ เสือดาวเหล็กเงินขึ้น ทรงพลังไม่อาจดูแคลน!”
“ฮิฮิ ฉู่อวิ๋นคนนี้คงอาศัยไมตรีที่มีกับตระกูลมู่หรงเพื่อเข้ามาถึงแปดอันดับแรก แต่ตอนนี้เขาเจอกับคนที่แข็งแกร่งตัวจริง เกรงว่าต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเสียแล้ว”
คำพูดเยาะเย้ยที่มาจากทุกสารทิศดังเข้าหูของฉู่อวิ๋น แต่เขาเพิกเฉยต่อคำพูดเ่าั้และยืนตระหง่านอย่างภาคภูมิใจที่มุมๆ หนึ่งของลานประลอง
“พี่ฉู่ อีกสักครู่ข้าไม่อาจยั้งมือได้ ท่านต้องระวังหน่อยนะ” หลี่เจ๋อประสานมือคำนับและเตือนเขา
“โอ้? เอ่อ ได้สิ” ฉู่อวิ๋นสะดุ้ง เขาแค่ไม่คิดว่าคู่ต่อสู้คนนี้จะค่อนข้างสุภาพ
เมื่อมองดูท่าทางไม่ใส่ใจอะไรของฉู่อวิ๋นแล้ว หลี่เจ๋อก็ส่ายหัวและคิดในใจ "ดูเหมือนเมื่อครู่นี้ข้าจะคิดผิดไป"
อันที่จริง ตอนที่ฉู่อวิ๋นและฉู่เฟยกำลังจะต่อสู้กัน หลี่เจ๋อที่เป็ผู้ฝึกกระบี่ก็ยืนมองดูจากด้านข้างอยู่ตลอด ในเวลานั้น หลี่เจ๋อเห็นฉู่อวิ๋นชักกระบี่ของเขาออกมาในระยะใกล้ ความรู้สึกที่ว่าเขาควรจะเป็ปรมาจารย์กระบี่ก็พุ่งขึ้นมา
แต่ตอนนี้หลี่เจ๋อกลับไม่สามารถรับรู้ถึงรัศมีที่ไม่มีใครเทียบได้ครั้งนั้นของฉู่อวิ๋นอีกแล้ว
"เคร๊ง!"
การต่อสู้เพื่อชิงสี่อันดับแรกเริ่มขึ้นแล้ว!
ทันใดนั้น หลี่เจ๋อก็ดึงกระบี่ยาวที่ทำจากเหล็กชั้นดีออกมา กระบี่นั้นถูกล้อมรอบด้วยลายสลักเงาเสือดาว แสงเย็นเฉียบกระทบสายตาผู้คน แวววาวคมกริบยากจะทำลาย
ทันทีที่เขาลงมือ เขาก็ใช้ิญญายุทธ์ด้วยทันที
“ข้าไม่ชอบลากโคลนมาล้างน้ำ[4] มาออกกระบวนท่าด้วยกันเถอะ!” ดวงตาของหลี่เจ๋อเฉียบคม พลังปราณของเขาพลุ่งพล่าน การเคลื่อนไหวว่องไวราวสายฟ้า กระบี่เหล็กชั้นดีนั้นราวกับท่าสังหารเสือดาว พลังช่างน่าอัศจรรย์ เหมือนมีใบมีดเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนอยู่
“ควั่บ ควั่บ ควั่บ ควั่บ!”
กระบี่พุ่งตรงออกไป แสงวูบวาบทอประกายอย่างดุเดือด ปราณกระบี่เงาเสือดาวพุ่งเข้าหาฉู่อวิ๋น ฉายแสงเย็นเยียบจนเสียดกระดูก
--------------------
[1] อุปมาถึงความรักและการปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างดี
[2] ยิ้มสวยราวกับดอกไม้ แปลว่า พรรณนาถึงบุคคลที่สวยงามและยิ้มแย้มงดงามราวกับดอกไม้
[3] หลังจากที่ผู้หญิงโตขึ้น เมื่อถึงวัยที่แต่งงานได้ ก็ควรแต่งงาน ไม่ควรเก็บตัวอยู่ที่บ้าน
[4] ทำอะไรชักช้า อืดอาด ยืดยาด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้