ใบหน้าของจั๋วน่าสะท้อนความใคร่รู้
รุ่นพี่กงหยางเป็คนมีความสามารถมาก เซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่ได้ชอบกงหยางเข้าหรอกนะ?
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ทันเอ่ยอะไร จั๋วเว่ยผิงตีศีรษะของน้องสาวเสียก่อน “คนอื่นไปไหนต้องรายงานต่อเธอหรือ? เร่งมือจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วไปทำธุระ ตอนบ่ายฉันยังต้องทำงานนะ!”
จั๋วเว่ยผิงคิดว่าน้องสาวของเธอมีนิสัยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไปสักหน่อย นี่คือความหมายเชิงบวก ถ้าความหมายเชิงลบคือไม่รู้จักกาลเทศะ
ใคร่รู้เื่ส่วนตัวของคนอื่นขนาดนั้นเพื่ออะไรกัน ใส่ใจกว่าเ้าหน้าที่ตำรวจเสียอีก!
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าจั๋วน่าไม่ได้มีเจตนาร้าย ที่เธอใสซื่อไร้เดียงสาไม่มีการปกปิดความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ เพราะว่าเธอเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี ครอบครัวเป็สุขมากสินะ จั๋วน่าแค่ไม่รับงานวาดโปสเตอร์ เซี่ยเสี่ยวหลานจะคิดแค้นอีกฝ่ายด้วยเหตุนี้ได้เชียวหรือ? อีกอย่างพอขอให้จั๋วน่าช่วยทำบัตรผ่าน แม้เธอบ่นยุ่งยาก ทว่าไม่ปฏิเสธแม้แต่คำเดียว
ส่วนองค์หญิงน้อยแสนน่ารำคาญ หรือเหลียงฮวนผู้เป็น้องสาวเธอ เซี่ยเสี่ยวหลานพบอีกฝ่ายเพียงหนเดียว แต่ความประทับใจมันฝังลึกเหลือเกิน
“รุ่นพี่กงไปปักกิ่งเพื่อช่วยงานเล็กน้อยเท่านั้น จะกลับมาเมื่อไรฉันยังไม่ทราบจริงๆ งานที่เขารับหนนี้ไม่ใช่ของร้านฉันหรอกค่ะ”
จั๋วน่ายังคงสงสัยอยู่ดี แต่ไม่กล้าซักไซ้ต่อหน้าจั๋วเว่ยผิง
เธอแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็พาทั้งสองคนวิ่งวุ่นไปทั่วมหาวิทยาลัย ขอความช่วยเหลือจากหลายๆ คน ในที่สุดก็ช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานทำบัตรผ่านเข้าออกห้องสมุดสำเร็จ
“ห้องสมุดเปิดแปดโมงเช้า มีคนเข้าไปเรียนเองเยอะมากทุกวัน ถ้าเธอมาถึงแปดโมงครึ่งอาจแย่งที่นั่งไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่จั๋ว ฉันจำไว้แล้ว”
กว่าธุระจะเสร็จสิ้นก็ปาไปบ่ายโมงแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานยืนยันจะเลี้ยงอาหารสองพี่น้องจั๋ว จั๋วเว่ยผิงไม่ยอม ทว่าจั๋วน่ายินดี
“พี่จั๋ว นี่คือมิตรภาพระหว่างพวกเรา กินข้าวสักมื้อก็ไม่เป็ไรใช่ไหมล่ะ? พี่ดูสิว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาเข้างานเสียหน่อย...”
หลังเกลี้ยกล่อมจั๋วเว่ยผิงอย่างยากเย็นได้สำเร็จแล้ว ก็หาร้านอาหารหน้ามหาวิทยาลัย จั๋วเว่ยผิงสั่งอาหารราคาถูกสองอย่าง เซี่ยเสี่ยวหลานถามจนรู้ว่าจั๋วน่าชอบรับประทานเนื้อวัว จึงให้เถ้าแก่ยกเนื้อวัวตุ๋นมาหนึ่งชั่ง
“เซี่ยเสี่ยวหลาน ฉันว่าเธอนี่ใจกว้างไม่เบาเลยนะ”
เนื้อวัวตุ๋นหั่นเป็แผ่นบาง ทุกๆ ชิ้นล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องปรุงและกลิ่นหอมของเนื้อวัว จั๋วน่ารับประทานแล้วถึงกับดวงตาหลับพริ้ม
เซี่ยเสี่ยวหลานหัวเราะร่วน จั๋วน่าเป็พวกช่างกิน ความคิดไม่ซับซ้อนทีเดียว
เมื่อทำบัตรผ่านเข้าออกและรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานจึงกล่าวลาสองพี่น้องจั๋ว แวะไปดูร้านก่อนกลับบ้านเสียหน่อย อีกฝั่งถนนมีรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่ ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใส่ใจนัก พอเข้าร้านไปก็เห็นน้าหลี่ที่มาเมื่อไม่กี่วันก่อนคนนั้นกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่
มีน้าหลี่เพียงคนเดียว วันนี้หลิวฟางกลับไม่ได้มาด้วย
ขอเพียงไม่ต้องรับมือน้าสาว เซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้ว
เมื่อเห็นเซี่ยเสี่ยวหลาน น้าหลี่วางเสื้อผ้าลงทันที สีหน้ายินดีปรีดาอย่างยิ่ง
“ฉันนึกว่าวันนี้เธอไม่อยู่เสียอีก มา ช่วยน้าเลือกเสื้อผ้าหน่อยสิ”
ราวกับว่าน้าหลี่เชื่อมั่นในสายตาของเซี่ยเสี่ยวหลานมาก สิ่งที่เธอใส่อยู่ก็คือเสื้อขนแพะที่เซี่ยเสี่ยวหลานช่วยเลือกก่อนหน้านี้นั่นเอง
ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากมาแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมต้องมอบดวงหน้ายิ้มแย้มให้มากๆ “คุณมาซื้อเสื้อผ้าหรือคะ วันนี้อยากเลือกอะไร ฉันจะแนะนำให้คุณเองค่ะ”
ด้านหยางเฉิงเพิ่งส่งสินค้าใหม่มา และเป็เสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิล็อตสุดท้ายของปีนี้แล้วพอดี
ต่อให้น้าหลี่คนนี้เลือกมากเพียงใด ในหมู่สินค้าของเฉินซีเหลียงก็ต้องมีแบบที่เธอถูกใจบ้างอยู่ดี แถมน้าหลี่ยังว่าง่ายเหลือเกิน แบบไหนที่เซี่ยเสี่ยวหลานแนะนำและเธอเห็นว่าเหมาะก็ซื้อไว้หมด เลือกไปเลือกมาสารพัดจนจ่ายให้ร้านหลายร้อยหยวนอีกแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานช่วยนำเสื้อผ้าใส่ลงในถุง จากนั้นหยิบผ้าพันคอแพรแท้ผืนน้อยสองผืนออกมาจากใต้โต๊ะต้อนรับ
“ฉันเห็นคุณเหมือนจะไม่ค่อยชอบเข็มขัดกับกระเป๋าเงินพวกนั้น ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนเป็แถมผ้าพันคอให้คุณสองผืนดีกว่า สามารถสับเปลี่ยนจับเข้ากับชุดที่ใส่ได้ค่ะ”
ฤดูใบไม้ผลิเป็ฤดูกาลแห่งการผูกผ้าพันคอพอดี เสื้อนอกตัวบางเสริมด้วยผ้าพันคอ จับเข้าชุดกันทำให้ดูมีราศีและรสนิยมดียิ่งขึ้น
น้าหลี่พอใจอย่างที่คิดไว้ ถือข้าวของยืนอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไปอยู่หน้าประตู สนทนากับเซี่ยเสี่ยวหลานสักพักใหญ่
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่ามีคนกำลังมองเธออยู่ ความรู้สึกไวของเธอต่อเื่พวกนี้ยิ่งนัก
พอน้าหลี่ถือของขึ้นรถเก๋งฝั่งตรงข้ามถนน เซี่ยเสี่ยวหลานก็พบกับต้นกำเนิดของของสายตาที่เธอััได้ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งลงจากรถมาเปิดประตูรถให้น้าหลี่ หน้าตาของเขาคล้ายกับน้าหลี่อยู่หลายส่วน ทว่าน้าหลี่ดูอัธยาศัยดี ส่วนชายคนนั้นดูไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้เลย อายุราวสามสี่สิบปี คงเป็ลูกหลานของน้าหลี่
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดอะไรมากมาย ลูกหลานน้าหลี่พามาซื้อเสื้อผ้าเป็เื่ปกติธรรมดาเหลือเกิน อีกทั้งผู้ชายไม่ชอบเดินเตร่ในร้านค้า จึงเลือกรออยู่ในรถ
เมื่อรถยนต์ขับออกไป เซี่ยเสี่ยวหลานหันกลับเข้าร้านทันที
“ทำธุระเื่บัตรผ่านเข้าออกห้องสมุดเสร็จแล้ว ั้แ่พรุ่งนี้ไปฉันก็จะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด กลางวันไม่กลับไปกินข้าวที่บ้าน แม่ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะไม่ได้กินข้าวนะ”
หลังจ้างหม่าเวย หลี่เฟิ่งเหมยหรือหลิวเฟินก็สามารถออกจากร้านล่วงหน้าได้ในตอนบ่าย หลิวเฟินคิดว่าให้เธอไปรับเทาเทาจากโรงเรียนดีกว่า จากนั้นพาเทาเทาไปอยู่ที่บ้านเธอ ดูแลเทาเทาและหุงหาอาหารพร้อมกัน เซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาจากเรียนที่ห้องสมุดก็สามารถรับประทานมื้อเย็นได้ทันที
หลี่เฟิ่งเหมยคิดว่าสมควรเหมือนกัน “ใกล้สอบแล้วต้องกินดีหน่อย ตึกพวกเรานั้นก็มีคนจะสอบเกาเข่าเช่นกัน ไข่และนมเตรียมพร้อมไว้ทุกวัน...”
“แค่นมกับไข่ ครอบครัวเราไม่เคยขาดเสียหน่อย!”
เสียงของเซี่ยเสี่ยวหลานโดนเมินเฉยทันที เหล่าผู้ใหญ่ไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังทำเื่เล็กให้กลายเป็เื่ใหญ่แม้แต่น้อย การสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นเป็เื่สำคัญมากน่ะสิ อย่าว่าแต่ใช้มุมมองของปี 83 มาพิจารณา ต่อให้ผ่านไป 30 ปี การที่ครอบครัวมีเงินหรือไม่นั้นก็ไม่ทำให้ความ้าการศึกษาในระดับสูงของคนรุ่นหลังล่าถอยเลยสักนิด เื่การทำธุรกิจนี้เป็ความไม่แน่นอน เผื่อวันใดวันหนึ่งตกต่ำมา มีวุฒิการศึกษาติดตัวไว้ย่อมไม่อดตาย
ครอบครัวของเซี่ยเสี่ยวหลานคิดเช่นนี้นั่นเอง เงินที่ได้มามันมากเสียจนทำเอารู้สึกไม่มั่นคง เซี่ยเสี่ยวหลานสอบติดมหาวิทยาลัยเมื่อไรต่างหากถึงจะไม่กังวลเื่อนาคตได้จริงๆ
หม่าเวยพนักงานคนใหม่ของร้านมองเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยสีหน้าเทิดทูน มีคนแบบนี้ได้อย่างไรนะ อายุไม่ต่างกันมากแท้ๆ เถ้าแก่น้อยไม่ใช่แค่ทำธุรกิจเอง อีกทั้งจะเข้าร่วมการสอบเกาเข่าอีกด้วย
ได้ยินว่าผลการเรียนดีมาก ปีนี้คงสอบติดเป็แน่แท้
----------------------------------------
น้าหลี่ขึ้นรถ เห็นสายตาของฝานเจิ้นชวนผู้เป็ลูกชายยังเฝ้าคิดถึงคะนึงหาอยู่
น้าหลี่จึงรู้ได้ว่าลูกชายของเธอถูกใจเข้าแล้ว
วันนี้ฝานเจิ้นชวนไม่ได้ตั้งใจเข้าเมืองมาเพื่อดูเซี่ยเสี่ยวหลานโดยเฉพาะ แต่มาเพื่อประชุม น้าหลี่รู้ว่าเขาจะมาในเมือง จึงติดตามมาด้วยอีกคน พอการประชุมตอนเช้าจบ น้าหลี่บอกว่าจะมาซื้อเสื้อผ้า ฝานเจิ้นชวนรู้ทันทีว่ามารดาเขาวางแผนอะไร อย่างไรเสียก็อุตส่าห์มาแล้ว เช่นนั้นดูสักหน่อยแล้วกัน ฝานเจิ้นชวนเคยเจอเหลียงฮวนมาแล้ว เหลียงฮวนนั้นเต็มไปด้วยความไม่ประสีประสา แต่พูดจากใจจริงถือว่าหน้าตาดีทีเดียว หากเหลียงฮวนโตกว่านี้สองสามปี ฝานเจิ้นชวนอาจถูกใจไปแล้ว
ในเมื่อเป็ลูกพี่ลูกน้องกัน แถมหลิวฟางยังกล้าแนะนำ แม่เขาเองก็ทำท่าทางมั่นใจเสียเต็มประดา ฝานเจิ้นชวนจึงเตรียมใจพร้อมไว้เล็กน้อยว่าคงสวยทัดเทียมกัน
แต่ตอนแรกที่มาถึงร้านเสื้อผ้า น้าหลี่ไม่ออกมาเสียที ฝานเจิ้นชวนจึงรู้แล้วว่าเ้าตัวไม่อยู่
หลังจากนั้นก็มีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งขี่จักรยานโผล่มา จอดไว้หน้าหลานเฟิ่งหวง ฝานเจิ้นชวนตกตะลึงในบัดดล—เป็เธอแน่ คือเธอนั่นเอง! เขาเดาถูกว่าหลานสาวของหลิวฟางน่าจะสะสวยไม่เบา พอรู้ว่าเป็เด็กสาวจากชนบท นึกว่าจะเหมือนแม่บ้านเสียวอวี่ตอนเพิ่งเข้าเมืองเสียอีก แม้จะหน้าตาดีจริง ทว่าจืดชืดไร้เสน่ห์
แน่นอน เด็กสาวชนบทผู้จืดชืดไร้เสน่ห์ถูกเขาอบรมจนกลายเป็สาวงามแสนแพรวพราวไปเสียแล้ว
ฝานเจิ้นชวนไม่มีทางชอบผู้หญิงเพียงคนเดียว เขาเริ่มเบื่อหน่ายแม่บ้านสาวแล้วเสียด้วย
แต่แวบแรกที่เห็นเซี่ยเสี่ยวหลาน ฝานเจิ้นชวนก็รู้ว่าตนเองคิดผิด!
คุณภาพผู้หญิงคนก่อนๆ ของเขาไม่ได้ย่ำแย่เลย ทว่าเมื่อเทียบกับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วหญิงสาวเ่าั้ล้วนกลายเป็ดาษดื่น เสียวอวี่จะไปสู้อะไรได้ เปรียบเทียบกับเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ด้วยซ้ำ... เสน่ห์แพรวพราวของเซี่ยเสี่ยวหลานเป็สิ่งที่ธรรมชาติสรรสร้าง สะท้อนออกมาจากดวงหน้า จากรูปร่าง จากในกระดูก รูปลักษณ์พริ้มพราย ทว่ากลับมีลักษณะเด่นบางอย่างที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่ระหว่างความแพรวพราวนี้ กึ่งหลบกึ่งซ่อน ทำให้ความแพรวพราวนั้นยิ่งน่าดึงดูดใจ
ต้องเป็ผู้หญิงเช่นนี้สิ ถึงจะเรียกว่าถูกเตรียมพร้อมไว้สำหรับเขา!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้