อันเจิงยืนอยู่ตรงปากทางเข้าของสำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์โดยมีเสี่ยวชีเต้าอยู่ในอ้อมแขนสายตามองไปยังกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กที่ล้อมรอบหอสมุดมายาอย่างแ่า ชนิดที่ว่าน้ำสักหยดก็ยังไม่ปล่อยให้ลอดผ่านเข้าไปอันเจิงไม่รู้ว่าเคยมีเื่ราวใดเกิดขึ้นระหว่างแม่นางเยว่และมู่ฉางเยียนมาก่อนแต่เสี้ยววินาทีที่แม่นางเยว่ยัดเสี่ยวชีเต้าเข้ามาในอ้อมแขนเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเื่นี้น่าจะเป็เื่ใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงชีวิต
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ทำให้อันเจิงรู้สึกประหลาดใจอย่างแท้จริง
มู่ฉางเยียนเดินออกมาจากหอสมุดมายาด้วยท่าทีนิ่งสงบโดยมีแม่นางเยว่ติดตามอยู่ข้างๆ ท่านแม่ทัพหัวหน้าของกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กะโลงมาจากหลังม้าทันทีที่เห็นพวกเขาเดินเข้าไปหามู่ฉางเยียนและพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าท่านจะหลบซ่อนต่อไปเสียอีกรู้หรือไม่ เพื่อควานหาตัวท่านข้าแทบจะพลิกแผ่นดินทั้งหมดในเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นนี้แล้วนึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าท่านจะมาซ่อนตัวในถิ่นทุรกันดารแบบนี้”
“ั้แ่ข้าออกจากต้าเยี่ยนข้ากับต้าเยี่ยนก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้วพวกเ้าจะมาตามหาตัวข้าอีกทำไม?” มู่ฉางเยียนกล่าว
“อย่าลืมสิว่าอย่างไรท่านก็ยังใช้แซ่มู่มีศักดิ์ฐานะเป็หนึ่งในเชื้อพระวงศ์ของต้าเยี่ยน ตอนนี้ต้าเยี่ยนปรารถนาให้ท่านกลับไป”
มู่ฉางเยียนชี้ไปที่หอสมุดมายา “นี่ต่างหากคือที่ของข้า”
ท่านแม่ทัพแย้งทันที “เทียบกับต้าเยี่ยนแล้วสถานที่แห่งนี้นับเป็อะไรได้หากท่านปรารถนาจะเปิดสำนักศึกษาจริง ๆ อยู่ที่ต้าเยี่ยนก็ทำได้เหมือนกัน ก่อนหน้าที่ข้าจะเดินทางมาที่นี่ไทเฮาทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าสาเหตุที่ท่านไม่ยอมกลับไปนั้นเพราะท่านยังไม่อาจปล่อยวางได้ดังนั้นขอเพียงทำลายสิ่งที่เหนี่ยวรั้งจิตใจท่านอยู่ถึงตอนนั้นท่านก็จะยินยอมกลับไปกับข้าเอง คุณชายมู่...ใช่ว่าท่านจะไม่รู้จักองค์ไทเฮาแต่ไหนแต่ไรมาทรงลงมือโเี้เด็ดขาดเสมอ”
“แล้วถ้าข้าไม่ยอมกลับเล่า?” มู่ฉางเยียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามออกไป
“ที่นี่ก็จะไม่เหลือแม้แต่ชีวิตเดียว”ท่านแม่ทัพตอบ
“เ้าก็รู้ว่าไทเฮากับข้าไม่ถูกกันนางเองก็ไม่ใช่พระมารดาที่ให้กำเนิดข้า ไยนางถึงได้มีรับสั่งให้ตามตัวข้ากลับไป?” มู่ฉางเยียนถามขึ้นอีกครั้ง
“นั่นเพราะท่านคือคนที่เหมาะสมที่สุดแล้วในตอนนี้”
มู่ฉางเยียนคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็ตัดสินใจ“ได้ เช่นนั้นข้าจะกลับไปกับเ้า แต่ว่าข้ามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง นักเรียนทุกคนในหอสมุดมายาของข้าจะต้องได้รับคุณสมบัติในการเข้าร่วมพิธีบรรลุนิติภาวะที่จะจัดขึ้นที่ต้าเยี่ยนในอีกสี่ปีข้างหน้า”
“เื่แบบนี้ขอเพียงท่านกลับไปแค่ประโยคเดียวของท่านก็จัดการได้แล้วมิใช่หรือ?”
มู่ฉางเยียนพยักหน้า “ได้เช่นนั้นข้าก็จะกลับ อ้อจริงสิ...”
มู่ฉางเยียนชี้ไปที่สำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์“มีเด็กสองสามคนที่เดิมพันกับหอสมุดมายาของข้าไว้ ทุกครึ่งปีพวกเราจะคัดเลือกนักเรียนที่โดดเด่นที่สุดออกมาแข่งขันกันผู้ชนะจะกลายเป็นาย ส่วนผู้แพ้ต้องกลายเป็บ่าวรับใช้ หลังจากที่ข้าจากไปแล้วข้าหวังว่าจะมีใครสักคนมาสานต่อดูแลที่นี่แทนข้า ข้าไม่อาจปล่อยให้หอสมุดมายาปิดตัวลงไปเช่นนี้ในเมื่อรับพนันแล้วก็ต้องเดินหน้าให้ถึงที่สุด ไม่อาจยกเลิกกลางคันข้าไม่สนว่าผู้ใดจะขึ้นมาเป็อาจารย์ใหญ่คนต่อไปข้าสนเพียงแต่ว่าเขาต้องทำตามสัญญาที่ข้าให้ไว้อย่างเคร่งครัด”
“เช่นนั้นข้าจะทิ้งรองแม่ทัพเชียวจ่างเฉินไว้ที่นี่ให้เขารับ่ต่อตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของท่าน ท่านคิดเห็นเป็อย่างไร?”
มู่ฉางเยียนพยักหน้า “เชียวจ่างเฉินใจเย็นคิดอ่านรอบคอบดี...งั้นให้เขาอยู่ต่อ”
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”
ท่านแม่ทัพผายมือไปทางราชรถคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ท่ามกลางการอารักขาแ่าของกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็ก“เชิญคุณชายกลับแคว้นขอรับ”
มู่ฉางเยียนจูงมือแม่นางเยว่เดินขึ้นราชรถไปด้วยกัน
ในสำนักฝึกวรยุทธ์เสี่ยวชีเต้าเงยหน้าขึ้นมองอันเจิงด้วยดวงตาแดงก่ำ “พี่ชายอันเจิงท่านแม่ไม่้าข้าแล้วหรือ?”
อันเจิงส่ายหน้า “เสี่ยวชีเต้าข้าอยากให้เ้าฟังให้ดีเชื่อพี่...ความรักที่ท่านแม่ของเ้ามีต่อเ้านั้นไม่ต้องสงสัยเลยแม้การตัดสินใจของนางในตอนนี้ดูเหมือนโหดร้ายกับเ้ามากแต่การที่นางเลือกทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลบางอย่าง ซึ่งไม่อาจอธิบายออกมาเป็คำพูดได้และการที่นางตัดสินใจไม่พาเ้าไปด้วย แน่นอนย่อมต้องมีเหตุผลรองรับเช่นกันอีกอย่างเ้าเองก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือว่า ตราบใดที่พวกเราเอาชนะนักเรียนของหอสมุดมายาได้พวกเราก็จะสามารถเข้าร่วมพิธีบรรลุนิติภาวะ ที่จะจัดขึ้นที่แคว้นต้าเยี่ยนในอีกสี่ปีข้างหน้าและเมื่อถึงตอนนั้นเ้าก็จะได้พบกับท่านแม่ของเ้าเอง”
เสี่ยวชีเต้าพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าจะทำมันให้ได้ขอรับ!”
ราชรถที่อยู่ท่ามกลางการคุ้มกันของกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กค่อย ๆ ไกลออกไปเหลือทิ้งไว้เพียงรองแม่ทัพกับทหารในสังกัดอีกสามสิบกว่านายเื้ัอดีตรองแม่ทัพเชียวจ่างเฉินที่บัดนี้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็อาจารย์ใหญ่คนใหม่ของหอสมุดมายากวาดสายตาพิจารณาหอสมุดแห่งนี้ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนครั้งหนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตามองไปยังซากปรักหักพังของสำนักฝึกวรยุทธ์ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามมองดูอันเจิงกับเด็ก ๆ อีกหลายคนที่อยู่ในสภาพเคว้งคว้างก็อดหัวเราะขบขันไม่ได้ พึมพำกับตนเองเสียงเบา“คิดไม่ถึงว่ามู่ฉางเยียน อันธพาลใหญ่แห่งแคว้นต้าเยี่ยนจะถูกเด็กตัวเล็ก ๆเหล่านี้ยั่วยุจนฉุนเฉียวได้...น่าสนใจนัก”
ภายในราชรถที่กำลังขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วมู่ฉางเยียนจับมือแม่นางเยว่ไว้แน่น ก้มลงกระซิบปลอบโยนข้างหูนางสองสามประโยค “ข้ารู้ว่าเ้ากำลังเสียใจแต่เ้าตัดสินใจถูกต้องแล้วหากพวกที่อยู่ในต้าเยี่ยนรู้ว่าเสี่ยวชีเต้าเป็สายเืของเขาแล้วละก็เสี่ยวชีเต้าจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน ตอนนี้เ้ากลับไปพร้อมกับข้า มีข้าออกหน้าปกป้องเ้าพวกเขาย่อมไม่กล้าลงมือทำอะไรเ้าแน่ การที่พวกเขาไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเสี่ยวชีเต้าจะทำให้เสี่ยวชีเต้าปลอดภัยที่สุด เชื่อข้าอีกสี่ปีข้างหน้าข้าจะต้องหาวิธีให้เสี่ยวชีเต้าเดินทางไปยังเมืองหลวงของแคว้นเยี่ยนให้ได้”
แม่นางเยว่บีบกระชับฝ่ามือใหญ่ของมู่ฉางเยียน ดวงตาฉายแววเศร้าโศกจวนเจียนจะขาดใจ“ท่านกับเขา สุดท้ายก็ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมเช่นนี้พ้น”
ที่สำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์ อันเจิงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโบกมือออกคำสั่ง“ก่อนอื่นจัดการเก็บกวาดลานกว้างเสียพวกเราเหลือเวลาอีกเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้นก่อนที่จะต้องไปแข่งขันกับคนของหอสมุดมายาเวลาของพวกเรามีจำกัด ดังนั้นข้าขอพูดไว้แต่เนิ่น ๆ เลยว่า ข้าไม่อนุญาตให้ทำเื่ขายหน้าแล้วก็ไม่อนุญาตให้พ่ายแพ้เด็ดขาด พวกเ้าต้องชนะเท่านั้น!”
“เอาละ เริ่มลงมือเก็บกวาดได้!”
กลุ่มเด็กน้อยเริ่มวุ่นวายทันที เพียงไม่นานพวกเขาก็จัดการปัดกวาดเช็ดถูด้วยความกระตือรือร้น
ชวีเฟิงจื่อมาถึงพร้อมกับรถม้าคันหนึ่ง ซึ่งขนสมบัติรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมดในโรงหมอจากย่านหนานชานของเขามาเต็มคันรถ เขาจงใจชักสีหน้าใส่ชวีหลิวเอ๋อมองนางด้วยท่าทีเ็า แต่ทุกคนรู้แก่ใจดีว่า จะอย่างไรชวีเฟิงจื่อก็ไม่อาจตัดขาดหรือปล่อยวางเื่ของชวีหลิวเอ๋อได้
ชวีหลิวเอ๋อแม้มีท่าทีอึกอักเก้อกระดากใน่แรก แต่ก็เห็นได้ชัดว่านางมีความสุขมากนางกับชวีเฟิงจื่อพึ่งพาอาศัยแบ่งปันทุกข์สุขร่วมกันมานานหลายปี การที่สุดท้ายชวีเฟิงจื่อตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยกันจะให้นางไม่มีความสุขได้อย่างไร
ผู้เฒ่าฮั่วนำกลุ่มคนงานที่เพิ่งว่าจ้างให้มาซ่อมแซมสำนักฝึกวรยุทธ์กระจายออกไปตามจุดต่างๆ ที่ทรุดโทรม ก่อนที่ตัวเองจะเข้าช่วยกับกลุ่มหนึ่งมองดูเหล่าเด็กน้อยและบรรดาช่างฝีมือกำลังซ่อมแซมสำนักฝึกวรยุทธ์ด้วยท่าทีแข็งขัน ก็อดไม่ได้ยกมือขึ้นมาเช็ดหางตาเบาๆ “นานเท่าไหร่แล้วที่สำนักฝึกวรยุทธ์แห่งนี้ไม่ได้มีชีวิตชีวาขนาดนี้”
เช้าของวันที่สอง อันเจิงค้นพบตำราวิธีการบ่มเพาะเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มฝึกฝนจำนวนมากคงเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีค่าอันใด ดังนั้นพวกเขาจึงยังสามารถพบมันได้ในหอตำราของสำนักฝึกวรยุทธ์
อันที่จริงหลังจากที่สำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์ล้มลงตำราส่วนใหญ่ในหอตำราแห่งนี้ก็ถูกขนย้ายไปที่หอสมุดมายาซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามจนแทบไม่มีเหลือในหอตำราของที่นี่ เขารวบรวมตำราได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยเล่มด้วยซ้ำ
ช่างเื่นั้นก่อน สำหรับผู้ที่เริ่มบ่มเพาะอย่างตู้โซ่วโซ่วเสี่ยวชีเต้า และชวีหลิวเอ๋อ เพียงเท่านี้ก็นับว่าเหลือเฟือแล้ว ไม่จำเป็ต้องใช้วิธีการบ่มเพาะที่ซับซ้อนและเข้าใจยากจนเกินไป
มองไปยังปากทางเข้าของหอตำรา จู่ ๆสายตาของอันเจิงก็ไปสะดุดเข้ากับก้อนหินสีดำทมิฬราวกับหมึกก้อนหนึ่งตรงกลางของมันเว้าลงเล็กน้อยเป็เหมือนแอ่งน้ำเล็ก ๆ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณยี่สิบเิเสีแดงตรงรอยเว้าตัดกับสีดำของหินบริเวณรอบ ๆ ดูแล้วสะดุดตามาก
“ไม่คิดเลยว่าจะพบแท่นนวดาราในสำนักฝึกวรยุทธ์นี่”
เสียงพึมพำกับตัวเองของอันเจิงดังไปเข้าหูผู้เฒ่าฮั่วที่ยืนอยู่ด้านหลังและมองมาทางเขาอยู่พอดี“เ้ารู้จักแท่นนวดาราด้วยหรือ?”
ผู้เฒ่าฮั่วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “ท่านเ้าเมืองคนก่อนท่านเป็จอมยุทธ์ผู้หนึ่งดังนั้นเขาถึงได้ก่อตั้งที่นี่ขึ้นเพื่อถ่ายทอดวิธีฝึกวรยุทธ์ของเขาส่วนเ้าเมืองคนปัจจุบัน เพราะคิดว่าตนเองเป็บัณฑิตดังนั้นเขาถึงได้ก่อตั้งหอสมุดขึ้นที่ฝั่งตรงกันข้ามเพื่อสั่งสอนเื่การบ่มเพาะและความรู้ด้านวิชาการไหนเ้าลองบอกข้ามาซิ แค่ก่อตั้งสำนักฝึกวรยุทธ์หรือหอสมุดขึ้นก็สามารถเติมเต็มความทะเยอทะยานที่ซ่อนอยู่ในจิตใจได้แล้วหรือ?”
“เ้าดูแท่นนวดาราแท่นนี้น่าเสียดายตอนที่มันขนย้ายมาถึงที่นี่ก็เสียหายแล้ว ต้องโทษไอ้พวกจอมยุทธ์หยาบกร้านพวกนั้นไม่รู้จักยับยั้งผ่อนแรงเสียบ้าง โยนส่ง ๆ ไปครั้งหนึ่งมันก็แตกเป็รอยใช้การไม่ได้อีกภายหลังไม่รู้ว่าพวกนั้นไปขโมยแท่นนวดาราแท่นใหม่มาจากไหน แท่นเก่านี้ก็เลยถูกทิ้งไว้ไม่มีใครสนใจต่อมาหอสมุดมายาก่อตั้งขึ้น พวกเด็ก ๆ และบรรดาอาจารย์พากันย้ายไปที่นั่นจนหมดแท่นนวดาราแท่นใหม่ก็ถูกขนย้ายไปด้วย แท่นเก่านี้ก็เลยถูกลืมไปโดยปริยาย”
อันเจิงหรี่ตาลงมองไปทางผู้เฒ่าฮั่วด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ผู้าุโ ท่านคงไม่ใช่คนธรรมดากระมัง”
ผู้เฒ่าฮั่วอมยิ้ม “สายตาเ้าแหลมคมไม่เบาเลยแต่ดูเหมือนครั้งนี้จะทายผิดแล้วล่ะ...ข้าเป็เพียงตาแก่ธรรมดา ๆ เท่านั้นแค่เคยได้ยินเื่เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญตนอย่างพวกเ้าผ่านหูมาบ้าง เมื่อก่อนจอมยุทธ์ผู้นั้นเป็คนชอบดื่มเหล้าเสียก็แต่เพื่อนดื่มของเขามีเพียงข้าชายชราคนนี้คนเดียว ทุกครั้งที่เขาดื่มเหล้ามากเกินไปก็มักจะพูดจาไปเรื่อยเปื่อยเขาบอกกับข้าว่า สิ่งที่ยุติธรรมที่สุดบนโลกใบนี้อยู่ที่มือคน เพราะหากไม่ลงมือทำ มนุษย์ทุกคนก็ล้วนไม่มีอะไรแตกต่างและหากไม่ลงมือทำ พวกเราก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าคนผู้นั้นโดดเด่นกว่าผู้อื่นอย่างไรดังนั้นกฎเกณฑ์สำคัญในการรับศิษย์เข้าสำนักจึงจำต้องอาศัยแท่นนวดาราเป็ตัวตัดสิน”
ผู้เฒ่าฮั่วกล่าวต่อ “จอมยุทธ์ผู้นั้นยังกล่าวอีกว่าแท่นนวดารานี้สามารถวัดศักยภาพในการฝึกฝนของบุคคลได้ตราบใดที่เ้าวางมือลงไปบนวงกลมสีแดงนั่น ผู้ที่สามารถบ่มเพาะได้จะกระตุ้นให้แท่นทดสอบเปล่งแสงขึ้นมายิ่งศักยภาพของเ้าโดดเด่นมากเท่าไหร่จำนวนของดาราที่เปล่งประกายก็จะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บนโลกใบนี้ผู้ที่สามารถทำให้ดวงดาราทั้งเก้าเปล่งประกายได้นั้นมีจำนวนน้อยนิดยิ่งดังนั้นหากสามารถทำให้ดาราส่องแสงได้ถึงแปดดวงก็จะถูกมองว่าเป็อัจฉริยะหาตัวจับยากแล้วใน่สิบปีมานี้ ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในสำนักฝึกวรยุทธ์ของพวกเรา ทำให้ดาราส่องแสงได้เพียงสามดวงเท่านั้น”
อันเจิงผงกศีรษะรับ “นั่นเป็ความจริงมีเพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ดาราทั้งเก้าเปล่งแสงได้”
เขาหันหน้ากลับไปมองตู้โซ่วโซ่วและคนอื่นๆ เอ่ยปากชักชวน “พวกเ้าเข้ามาลองดู”
ตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆตั้งใจฟังอันเจิงอธิบายเกี่ยวกับแท่นนวดาราอีกครั้ง จากนั้นจึงถามออกไป “ในเมื่อมันพังแล้วพวกเราจะลองได้อย่างไร?”
“พังที่ไหนกัน แท่นนวดาราถูกหลอมขึ้นจากเหล็กอุกกาบาตถ้าหากมันพังได้ง่ายขนาดนั้นก็ไม่ถูกเรียกว่าสมบัติวิเศษแล้วแม้ว่าแท่นนวดาราอันนี้จะมีรอยร้าวอยู่บ้างแต่ดาราที่ทำหน้าที่เป็ใจกลางยังคงใช้การได้อยู่ จอมยุทธ์ผู้นั้นรู้เพียงคุณสมบัติของมันแต่เขากลับไม่รู้ถึงวิธีการใช้งาน...โซ่วโซ่ว หยิบหยกแห่งิญญาระดับต่ำออกมาก้อนหนึ่งแล้ววางมันลงบนรอยแยก”
“อืม!” ตู้โซ่วโซ่วขานรับ ก่อนจะหยิบหยกแห่งิญญาระดับต่ำออกมาตามคำสั่งของอันเจิงแล้ววางมันลงไปบนรอยแตกของแท่นนวดาราเบาๆ แท่นนวดาราเปล่งแสงออกมาทันทีที่ััเข้ากับหยกแห่งิญญาที่ตู้โซ่วโซ่ววางลงไปในเวลาเพียงชั่วพริบตาพลังิญญามากมายที่อยู่ในหยกแห่งิญญาก็ถูกแท่นนวดาราดูดซับไปจนหมดสิ้นรอยแตกค่อย ๆ ประสานเข้าหากันทีละเล็กทีละน้อย ก่อนจะหายไปไม่มีเหลือ
“เงินหลายหมื่นตำลึงของข้า หายไปทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ!”ตู้โซ่วโซ่วโอดครวญด้วยความปวดใจ
อันเจิงหัวเราะ “งกจริงไว้ข้าค่อยใช้คืนให้เ้าก็แล้วกัน”
ตู้โซ่วโซ่วเบะปากเดินไปพลางบ่นใส่แท่นนวดาราไปด้วย “ข้าอุตส่าห์ใช้เงินหลายหมื่นตำลึงเพื่อซ่อมแซมเ้าเ้าอย่าได้ขี้โกงข้าเป็อันขาด อ๊ะ...ไม่ถูก ๆ ในเมื่อข้าเสียเงินไปแล้วเ้าก็ต้องเปล่งแสงให้ครบเก้าดวงด้วย”
จากนั้นเขาก็ทาบมือขวาลงไปบนวงกลมสีแดงที่อยู่ใจกลางแท่นนวดารา เพียงพริบตาที่ฝ่ามือของเขาััลงไปบนแท่นแสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นมาทันทีฝุ่นหนาเตอะที่ปกคลุมไปทั่วแท่นนวดาราถูกชะล้างด้วยแสงสว่างเหล่านี้ไปจนหมดสิ้นดาราทั้งเก้าดวงลอยขึ้นมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเหนือแท่นทดสอบก่อนจะเรียงตัวต่อกันเป็แถวเดียวมือของตู้โซ่วโซ่วยังคงวางอยู่บนวงกลมที่เป็ส่วนใจกลาง แสงสีแดงค่อย ๆ ขยับขึ้นจนในที่สุดก็มีดาราสว่างขึ้นหนึ่งดวง
แสงสีแดงหยุดไปครู่หนึ่งจากนั้นมันก็เริ่มขยับต่อ ดาราดวงที่สองส่องแสงสีแดงครึ่งหนึ่งและไม่มีทีท่าว่าจะขยับเพิ่มไปมากกว่านั้น
“หนึ่งดาราครึ่ง”
ตู้โซ่วโซ่วรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เหมาะกับการบ่มเพาะนะนี่คงเป็ศักยภาพร่างกายที่แย่ที่สุด”
ผู้เฒ่าฮั่วฟังแล้วหัวเราะลั่น “ไม่เลย ๆเลวร้ายที่สุดคือครึ่งดาราต่างหาก”
“ข้าขอลองหน่อย”
ชวีหลิวเอ๋อก้าวขึ้นไปข้างหน้าจนถึงตอนนี้นางยังคงสวมใส่เสื้อผ้าในแบบของเด็กผู้ชายอยู่แต่การเคลื่อนไหวดูเป็ธรรมชาติขึ้นมากเมื่ออยู่ต่อหน้าอันเจิงและคนอื่น ๆ
อันที่จริงเมื่อเด็กผู้หญิงอายุครบสิบปีเมื่อไหร่ก็ยากที่จะซ่อนได้แล้ว
เช่นนั้นทำไมจอมยุทธ์หญิงในตำนานเ่าั้ที่ปลอมตัวเป็ชายเดินทางไปทั่วแผ่นดินถึงประสบความสำเร็จเล่า?หากพิจารณาดูดี ๆ ก็จะรู้ว่าทำไม....
คำตอบสำหรับคำถามนี้มีเพียงสองข้อเท่านั้น...หนึ่งคือหน้าอกของพวกนางช่างแบนราบยิ่งราบประหนึ่งผืนปฐีที่เรียบขนานไปกับท้องนภา และสองคือผู้อื่นจงใจหลับหูหลับตาแสร้งทำเป็ไม่รู้เื่
จะว่าไปแล้วชื่อชวีหลิวเอ๋อนี้ก็หาใช่ชื่อที่แท้จริงของนางไม่แต่เป็ชื่อที่ชวีเฟิงจื่อตั้งให้หลังจากที่นางมาติดตามเขาชวีเฟิงจื่อเคยบอกว่าชื่อจริงของนางนั้นคือหลิวซี
มือของชวีหลิวเอ๋อนั้นน่ามองนักทั้งเรียวยาวและขาวผ่อง นางวางมือลงบนใจกลางแท่นทดสอบแสงสีแดงของนางส่องสว่างมากกว่าตู้โซ่วโซ่วมาก ครู่ต่อมาแสงสีแดงก็ทะลุผ่านดาราดวงที่สามไปความเร็วลดลงแล้วมาหยุดอยู่ที่ดาราดวงที่สี่
ชวีหลิวเอ๋อใบหน้าแดงก่ำ ท่าทีดูพึงพอใจมากอย่างไรเสีย ในรอบสิบปีที่ผ่านมานี้ ศิษย์ที่มีพร์โดดเด่นที่สุดในสำนักก็ทำได้แค่สามดาราเท่านั้น
ในที่สุดก็วนมาถึงคราวของเสี่ยวชีเต้าอันเจิงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เสี่ยวชีเต้าเดินออกไปอย่างเป็ธรรมชาติ ก้นน้อย ๆสะบัดไปตามจังหวะที่เขาก้าวเดิน และแล้วเขาก็มาถึงหน้าแท่นนวดาราเ้าตัวเล็กอ้าแขนออกเป็สัญญาณให้ตู้โซ่วโซ่วช่วยอุ้มเขาขึ้นมือน้อยยื่นออกไปประทับลงบนใจกลางวงกลมสีแดงสด พริบตานั้น แสงสีแดงสว่างจ้าก็ครอบคลุมไปทั่วทั้งลานกว้างทุกคนที่อยู่รอบ ๆ เบิกตาค้างด้วยความใ
แสงสีแดงระยิบระยับขยับขึ้นเรื่อย ๆไม่หยุด
หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด…
“อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างแท้จริง”
จู่ ๆอันเจิงก็เดินเข้ามาอุ้มเสี่ยวชีเต้าขึ้น “เจ็ดดารา น่าประทับใจ”
เนื่องจากมีเพียงอันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วสองคนเท่านั้นที่ยืนอยู่ด้านหน้าใกล้แท่นทดสอบดังนั้นคนอื่น ๆ จึงมองไม่เห็นว่าแสงสีแดงบนแท่นทดสอบยังคงไม่หยุดเปล่งแสงตู้โซ่วโซ่วตกตะลึงอยู่ชั่วครู่เขาไม่รู้ว่าทำไมอันเจิงจึงหยุดการทดสอบของเสี่ยวชีเต้าไปเสียดื้อ ๆแต่เขารู้ว่าการที่อันเจิงทำแบบนี้ย่อมมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรออกมา
“ทำไมเ้าไม่ลองดูบ้างเล่า”
ชวีหลิวเอ๋อเองก็มองไปที่อันเจิงด้วยสายตาคาดหวัง
“ข้าหรือ?”
อันเจิงยิ้ม “นั่นไม่จำเป็เลยอย่างข้าแน่นอนว่าต้องเป็อัจฉริยะอยู่แล้วอย่างน้อยที่สุดข้าก็มั่นใจว่าพร์ของข้าไม่ด้อยไปกว่าเสี่ยวชีเต้าแน่”
พูดจบเขาก็พาเสี่ยวชีเต้าเดินจากไปโดยไม่หันหน้ากลับไปมองอีก
ในค่ำคืนนั้นขณะที่ทุกคนกำลังนอนหลับฝันดี อันเจิงก็แอบมาที่แท่นนวดาราเพียงลำพังสุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะลอง...ครึ่งดารา!