อันเจิงยืนอยู่ข้างแท่นนวดาราอีกครู่ใหญ่แล้วก็อดไม่ได้หัวเราะเสียงดัง
ครึ่งดารา...
ในอดีตเขาเคยเป็ถึงผู้าุโหลักของกรมตุลาการแห่งราชสำนักต้าซีที่ยิ่งใหญ่เป็หนึ่งในความสมบูรณ์แบบที่มีเพียงไม่กี่คนและหาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้เป็ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตแห่ง์ขั้นเก้า ขาดอีกเพียงขั้นเดียวก็จะสมบูรณ์แบบแล้วเป็หนึ่งในจำนวนผู้แข็งแกร่งที่สามารถนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียวแต่ตอนนี้ศักยภาพในการฝึกฝนของเขากลับอยู่ที่ครึ่งดาราเท่านั้น อันเจิงสาบานได้เลยว่าเขาจะไม่ยอมให้ตู้โซ่วโซ่วเห็นผลการทดสอบนี้เด็ดขาดให้ตายก็ไม่มีทาง!
ไม่อย่างนั้นเ้าหมอนั่นมีหวังได้ยืดอกโอ้อวดตัวเองทั้งวันเป็แน่
อันเจิงรู้ดีกว่าใครถึงความหมายของสัญลักษณ์ครึ่งดารานี้...มันบ่งบอกว่าเขาจะไม่มีความหวังใดๆ ที่จะฟื้นฟูพลังของเขาให้กลับไปสู่ขอบเขตแห่ง์อีก อย่าว่าแต่ขอบเขตแห่ง์เลยแม้แต่ขอบเขตสุมารุ การจะก้าวไปให้ถึงนั้นยากยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้น์เสียอีก
แล้วแบบนี้ เขาจะกลับไปแก้แค้นได้อย่างไร?
เมื่อเขาตระหนักได้ว่า บุคคลที่เขา้าจะช่วยเหลือกลับกลายเป็คนทรยศที่วางแผนทำร้ายเขาเสียเองจิตใจของเขาก็แหลกสลายกลายเป็ขี้เถ้า อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ตาย!เขารอดชีวิตมาจากความสิ้นหวังและตั้งเป้าหมายว่าจะแก้แค้นอาศัยความโกรธเป็แรงผลักดันในการมีชีวิตอยู่ต่อ
ผลกระทบทางจิตใจครั้งนั้นของเขาใหญ่หลวงนักแต่อันเจิงไม่คิดจะยอมแพ้
ครึ่งดาราแล้วอย่างไร?เป็คนธรรมดาแล้วอย่างไร? ต่อให้คนทั้งโลกรู้ว่าคนธรรมดาให้ตายก็ไม่มีทางฝึกฝนจนไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือผู้คนได้แล้วจะอย่างไร?
ท้าทาย์เสียก็สิ้นเื่!
อันเจิงสูดลมหายใจเข้าลึกบอกกับตัวเองว่านี่เป็เพียงการเริ่มต้นเท่านั้นเพียงแต่จุดเริ่มต้นของเขาอาจจะด้อยกว่าผู้อื่นสักหน่อย
อันเจิงเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองครุ่นคิดวิธีที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลาอันเจิงเชื่อว่า ขอเพียงแค่เขาพยายาม ประกอบกับความรู้และประสบการณ์ที่มีเขาจะต้องเติบโตก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้ผู้อื่นแน่นอน
ตอนนี้เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขาต้องมีสติให้มากต้องคิดและไตร่ตรองทุกอย่างให้ละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นค่อย ๆ วางแผนและเดินไปทีละขั้น
ในชาติภพก่อน ร่างกายของเขาเรียกได้ว่าเป็อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียมดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับวิธีการฝึกตนในระดับเดียวกับอัจฉริยะ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว
ทันใดนั้นเอง คำพูดที่เขาเคยพูดไว้กับตู้โซ่วโซ่วพลันดังขึ้นมาในหัวพวกเราเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นแล้ว ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเราต้องทำก็คือ ต้องฝึกให้หนักมากกว่าคนอื่น
อันเจิงออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังลานฝึกวรยุทธ์
สำนักฝึกวรยุทธ์แห่งนี้แม้จะถูกทิ้งร้างไปหลายปีแต่สิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานยังคงครบสมบูรณ์ดีอยู่อาจเป็เพราะเสาไม้เ่าั้ไม่ดึงดูดสายตาผู้ใดดังนั้นพวกมันจึงยังตั้งตระหง่านอยู่บนสนามฝึกซ้อมได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
ในขณะที่ทุกคนกำลังนอนหลับฝันหวาน อันเจิงอาศัยแสงจันทร์นำทางไปยังลานฝึก
เ้าอ้วนตู้โซ่วโซ่วที่มีศักยภาพร่างกายหนึ่งดาราครึ่งกำลังนอนหลับฝันหวานชวีหลิวเอ๋อที่มีศักยภาพร่างกายสี่ดาราเองก็กำลังนอนหลับฝันหวานเสี่ยวชีเต้าที่มีศักยภาพร่างกายถึงเจ็ดดาราก็กำลังนอนหลับฝันหวานเช่นกัน กระทั่งผู้ฝึกวรยุทธ์ทั้งหลายในหอสมุดมายาที่ตั้งอยู่ตรงฝั่งตรงข้ามทุกคนล้วนนอนหลับฝันหวาน
มีเพียงแค่อันเจิงเท่านั้นที่ยังคงตื่นอยู่...
อันเจิงเริ่มฝึกฝนวิธีการออกหมัด ทุกท่วงท่าของเขาที่แสดงออกล้วนเป็ท่าพื้นฐานในการเคลื่อนไหวทั้งสิ้นอันเจิงเอาผ้านวมห่อเสาไม้ไว้หนา ๆป้องกันไม่ให้เสียงจากการฝึกซ้อมไปรบกวนการนอนของคนอื่น วิธีการฝึกขั้นพื้นฐานเป็การฝึกเพื่อความมั่นคงและเพิ่มความรวดเร็วในการออกหมัดเท่านั้น ไม่มีผลต่อการบ่มเพาะแต่อย่างใดดังนั้น อันเจิงจึงผูกเหล็กสองชิ้นที่มีขนาดความยาวเท่ากับท่อนแขนไว้ที่แขนของเขาด้วยเหล็กแต่ละชิ้นมีน้ำหนักประมาณสิบห้ากิโลกรัม
ตึง ตึง ตึง...
หลังจากออกหมัดอย่างต่อเนื่อง อันเจิงรู้สึกว่าแขนของเขากำลังจะขาดออกจากกันแม้ว่าร่างกายของเขาตอนนี้จะไม่เลวนัก แต่ศักยภาพร่างกายนั้นไม่ดีเลยกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทะเลปราณของเขาไม่อนุญาตให้เขาดูดซับพลังมากไปกว่านี้แล้วดังนั้นเขาไม่สามารถกักเก็บพลังเอาไว้ได้นาน หากต้องปะทะกับศัตรูการจะเอาชนะอีกฝั่งได้มีแต่ต้องจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเท่านั้น
สองชั่วโมงผ่านพ้นไปเสาไม้ที่ถูกห่อด้วยผ้านวมอย่างดีก็หักโค่น กำปั้นของอันเจิงบวมเป่งและทันทีที่เขาปลดเหล็กสองชิ้นออกจากท่อนแขน ความเ็ปรุนแรงก็แล่นผ่านไปทั่วร่าง
หลังจากพักผ่อนไปได้ครู่ใหญ่อันเจิงก็อาศัยแสงจากคบเพลิงในสนามฝึกวรยุทธ์ เขียนบทสรุปวิธีการฝึกฝนสำหรับตู้โซ่วโซ่วชวีหลิวเอ๋อ และเสี่ยวชีเต้าออกมา ในแง่ศักยภาพของเสี่ยวชีเต้าอันเจิงรู้ดีว่าตัวเองไม่อาจช่วยอะไรเขาได้มากนักเพราะการที่เขาจะแข็งแกร่งขึ้นมาได้นั้น จำเป็ต้องอาศัยพลังของตัวเองเป็หลักส่วนตู้โซ่วโซ่ว แน่นอนว่าต้องพึ่งพาความเพียรในการบ่มเพาะค่อนข้างมากสำหรับชวีหลิวเอ๋อนั้น แม้ศักยภาพของนางจะไม่ธรรมดา แต่ร่างกายผอมบางและอ่อนแอมากจนเกินไปนางจำเป็ต้องฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่านี้
เมื่อเขียนเสร็จ อันเจิงก็ผูกท่อนเหล็กติดกับแขนของตัวเองแล้วฝึกออกหมัดอีกครั้งเห็นว่ายังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะรุ่งสาง จึงตัดสินใจกลับไปที่ห้องแล้วนอนหลับพักผ่อน
หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว อันเจิงก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ชุดใหม่แล้วเดินออกจากห้องแสงของพระอาทิตย์ยามเช้าช่างอบอุ่นและอ่อนโยนยิ่งนัก ยามเมื่อมันสาดส่องลงมาบนร่างของคนประหนึ่งคล้ายถูกโอบอุ้มไว้ด้วยแสงสีทองก็มิปาน
“อรุณสวัสดิ์ท่านอาจารย์”
เสี่ยวชีเต้า ตู้โซ่วโซ่ว และชวีหลิวเอ๋อยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าเมื่อพวกเขาเห็นอันเจิงเดินออกมาก็พร้อมใจกันยืดตัวขึ้น ะโด้วยเสียงดังทันที
อันเจิงเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง “ไยพวกเ้ามาเรียกข้าว่าอาจารย์เล่า?นี่มันค่อนข้าง...ไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่พวกเ้าควรเรียกข้าว่าอาจารย์ใหญ่มากกว่า”
กล่าวจบเขาก็ส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่สิไม่สิ ชื่อของที่นี่คือสำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์แต่ข้าคิดว่าฟังแล้วไม่ค่อยรื่นหูเท่าไหร่ พวกเราเปลี่ยนชื่อใหม่ดีหรือไม่เอาเป็ชื่อนิกายเบิก์...อีกหน่อยพวกเ้าก็เรียกขานข้าเป็ท่านผู้นำนิกายก็แล้วกัน”
ตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆแต่เดิมยังพากันคิดว่าอันเจิงนั้นช่างถ่อมตัวคิดไม่ถึงว่าเขาจะหน้าด้านหน้าหนาถึงเพียงนี้เห็นทีพวกเขาคงต้องทำความรู้จักกับอันเจิงใหม่เสียแล้ว
อันเจิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มร่า “ป้ายชื่อสำนักด้านนอกแขวนไว้อย่างนั้นก่อนแล้วกันอีกหน่อยรอสาวกของพวกเรามากขึ้นแล้วค่อยเปลี่ยนตอนนี้พวกเรามาเริ่มบทเรียนแรกกันได้แล้ว ทุกคนตั้งใจให้ดี ข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดแอบี้เีเด็ดขาด”
ทั้งสามคนทยอยเดินตามอันเจิงเข้าไปในห้องเรียนอันเจิงเดินขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นสูงหน้าห้อง ก่อนจะมอบตำราบ่มเพาะที่เขาเขียนเองกับมือเมื่อคืนให้กับคนทั้งสาม“นี่คือวิธีฝึกฝนและข้อควรรู้ต่าง ๆ รวมถึงกฎเกณฑ์ของนิกาย ทั้งหมดนี้พวกเ้าต้องจดจำให้ได้ข้าให้เวลาพวกเ้าสามวันในการท่องจำ”
“สามวัน!”
ตู้โซ่วโซ่วก้มมองตำราเล่มหนาเตอะด้วยดวงตาเบิกกว้าง“หนามาก ใช้กินยังกินไม่หมดด้วยซ้ำ เวลาแค่สามวันจะไปอ่านจบได้อย่างไร”
อันเจิงตอบด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าเคยบอกเ้าแล้วว่าพวกเราเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นมากดังนั้นนั่นจึงเป็เหตุผลที่พวกเ้าต้องท่องจำเื่ทั้งหมดที่อยู่ในตำราให้ได้ภายในสามวัน”
ตู้โซ่วโซ่วยกมือขึ้นเกาหัว “เอาเถอะ ในเมื่อเ้าพูดแบบนั้นข้าจะไม่ยอมแพ้แน่ เพียงแต่ข้ารู้ตัวอักษรไม่มากจะทำอย่างไรดี?ตำราที่เ้าให้ข้ามานี้ สองในสามส่วนข้าอ่านไม่รู้เื่เลย”
เสี่ยวชีเต้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “พี่ชายตัวอ้วนท่านอย่าได้กลัวไปเลยข้าสอนท่านเอง ตอนที่ข้าอายุสองขวบข้าก็จำตัวอักษรได้จนหมดแล้วแต่ท่านแม่ก็ยังเอาแต่บ่นข้าอยู่เรื่อยว่าข้าเรียนรู้ช้าเกินไป”
ชวีหลิวเอ๋อถอนหายใจด้วยความชื่นชม “เสี่ยวชีเต้าสุดยอดมากจริงๆ พี่สาวสู้เ้าไม่ได้เลย กว่าพี่สาวจะจำตัวอักษรทั้งหมดได้ก็อายุกว่าห้าขวบแล้ว”
ตู้โซ่วโซ่วเหลือบมองไปทางอันเจิงแวบหนึ่ง “เห็นทีข้าคงเป็คนเดียวที่นี่ที่เป็คนปกติ”
“เช่นนั้นเ้าก็ต้องพยายามมากกว่าทั้งสองคนให้มาก”อันเจิงกล่าว
หลังจากพูดจบเขาก็เดินออกจากห้องเรียนแล้วมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อมตั้งใจฝึกฝนร่างกายของเขาต่อไป
วิธีการบ่มเพาะรวมถึงขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ในการฝึกฝนรวมอยู่ในหัวของเขาหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็ใด ๆที่ต้องไปนั่งท่องหรือจดจำเช่นเดียวกับคนอื่น
สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ พึ่งพาความพยายามของตนเองให้มากแล้วยกระดับศักยภาพของตนเอง หลังจากผูกท่อนเหล็กติดกับแขนและขาทั้งสองข้างเรียบร้อยแล้วเขาก็เริ่มฝึกออกหมัดต่อ
เ้าแมวะโขึ้นไปนั่งอยู่บนท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆมองดูอันเจิงฝึกฝนด้วยแววตาเฉื่อยชาเกียจคร้าน
อันเจิงหันไปยิ้มให้เ้าแมว “เสี่ยวช่าน เ้าแข็งแกร่งกว่าข้ามากนักหลังจากเ้ากลืนหยกแห่งิญญาระดับต่ำเข้าไป เ้าก็สามารถเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็สัตว์อสูรระดับต่ำได้แล้วแต่ข้านี่สิ หากคิดอยากจะยกระดับศักยภาพร่างกายของตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องใช้หยกแห่งิญญาสีม่วงถ้าเป็ในบ้านของข้าที่จักรวรรดิต้าซีก็ยังจะพอมีหยกแห่งิญญาสีม่วงเก็บไว้อยู่บ้างแต่ในโลกมายาแห่งนี้แค่ระดับสีทองยังหาไม่เจอเลย”
ลูกแมวลงมาจากเสาไม้แล้วะโขึ้นไปเกาะไหล่อันเจิงคลอเคลียอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปยังทิศทางอื่นแล้วส่งเสียงร้องเบา ๆ
อันเจิงมองตามออกไปยังทิศทางนั้นแต่เขาก็ไม่เห็นอะไรนอกจากตึกไม้สี่ชั้นของหอตำราและแท่นนวดาราแล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก
เ้าแมวเห็นอันเจิงไม่ขยับเขยื้อนตัวก็ให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างมันะโลงมาจากไหล่ของเขา ก่อนจะเข้าไปงับขากางเกงแล้วลากให้เดินตามออกไปยังทิศทางที่มันมองเมื่อครู่อันเจิงประหลาดใจเล็กน้อยทว่าก็ยอมเดินตามมันไปแต่โดยดี เ้าแมววิ่งเหยาะ ๆ ออกไป ก่อนจะะโขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นนวดาราแล้วส่งเสียงร้องออกมาสองสามครั้ง
อันเจิงเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าแท่นนวดารามองดูมัน แต่ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ
อย่างไรก็ตามเขากลับพบว่า ดวงตาคู่นั้นของเ้าแมวแลดูอัศจรรย์ยิ่งกว่าเดิมมากเดิมทีดวงตาของมันก็ส่องสว่างและเปล่งประกายเหมือนดั่งทะเลดวงดาวอยู่แล้วทว่าตอนนี้มันกลับงดงามและดูน่าพิศวงยิ่งกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า คล้ายกับกลุ่มดวงดาวที่กำลังโคจรอยู่ท่ามกลางจักรวาลกว้างใหญ่
เห็นว่าอันเจิงไม่เข้าใจสิ่งที่มัน้าจะสื่อ เ้าแมวก็ยิ่งรู้สึกร้อนรนมันใช้กรงเล็บน้อย ๆ ข่วนลงไปบนแท่นนวดาราหลายครั้งอันเจิงขยับเข้าไปใกล้ด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและทันทีที่เขาก้มหน้ามองดูรอยข่วนตื้น ๆ ที่เ้าแมวเหลือทิ้งไว้ ดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้างเขาเห็นแสงสีม่วงจาง ๆ ปรากฏขึ้นมาตรงรอยขีดข่วนที่เ้าแมวทำไว้
ในใจของอันเจิงร้องยินดีขึ้นมาทันทีเป็ไปได้หรือไม่ว่า แท่นนี้จะไม่ใช่แท่นนวดาราธรรมดา ๆ?
แท่นนวดาราส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยหอสถิตดาราจากจักรวรรดิต้าซีขอแค่เป็สำนักที่มีขนาดใหญ่สักหน่อยล้วนมีมันไว้ในทั้งสิ้น หอสถิตดาราจากจักรวรรดิต้าซีเป็สถานที่ในการหลอมสร้างอาวุธที่มีชื่อเสียงที่สุดและได้รับการยอมรับมากที่สุดในปัจจุบัน ความยิ่งใหญ่ของมัน กล่าวได้ว่าเป็ดั่งนิกายขนาดใหญ่นิกายหนึ่งเลยทีเดียวอย่างไรก็ตาม คนของหอสถิตดาราค่อนข้างมีอุปนิสัยจำเพาะพวกเขาให้ความสำคัญกับการขัดเกลาฝีมือในการหลอมสร้างอาวุธมากจนไม่สนใจความขัดแย้งใดๆ ในยุทธภพ นั่นจึงเป็เหตุผลที่ว่า ทำไมหลายปีมานี้หอสถิตดาราถึงได้ร่ำรวยเป็อย่างมากเม็ดเงินที่พวกเขามี มากยิ่งกว่าเงินในท้องพระคลังของบางแคว้นเสียอีก
ตอนนี้เองที่ผู้เฒ่าฮั่วเดินเข้ามาจากที่ไกล ๆใบหน้าของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าสายตาของเ้าจะยังดีไม่เท่าเ้าแมวตัวนั้นนะหลายวันมานี้เ้าเองก็เห็นแท่นนวดาราผ่านตาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่กลับไม่สังเกตเห็นความแตกต่างของมันแม้เพียงเสี้ยวกระผีก อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าดวงตาของเ้าแมวตัวนี้น่าทึ่งจริงๆ ถ้าข้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็กงล้อเก้าภพกระมัง สมบัติวิเศษทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งใดที่สามารถรอดพ้นไปจากกงล้อเก้าภพได้น่าประหลาดใจนักที่ดวงตาคู่นี้มาปรากฏอยู่บนร่างแมวธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งจากบันทึกโบราณที่เคยได้บันทึกไว้ ครั้งแรกและครั้งเดียวที่กงล้อเก้าภพปรากฏขึ้นมันปรากฏอยู่บนตัวของกิเลนเพลิงในตำนาน”
อันเจิงหมุนตัวกลับไป “ท่านเป็ใครกันแน่?”
ผู้เฒ่าฮั่วหัวเราะ “ก็เหมือนกับคนอื่น ๆที่อพยพเข้ามาอยู่ในโลกมายาแห่งนี้เป็เพียงคนสิ้นหวังไม่มีที่ไปคนหนึ่งก็เท่านั้น เ้าถามว่าข้าเป็ใคร บอกตามตรงข้าก็ไม่รู้จะตอบเ้าอย่างไรดี...หรือต่อให้ข้าบอกก็ไม่แน่ว่าเ้าจะรู้จักข้า”
อันเจิงหรี่ตาลงมองไปทางผู้เฒ่าฮั่วด้วยความระมัดระวัง
“อย่าได้มองข้าเช่นนั้นถ้าข้าคิดไม่ดีกับพวกเ้าจริง ๆ คงไม่รอจนถึงตอนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเ้ามีอะไรให้ข้าต้องลงมือกัน”
ผู้เฒ่าฮั่วหย่อนตัวลงนั่งก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ “นี่เป็ของดีจริง ๆ ข้าใช้เวลากว่าสามสิบหกปีจึงจะหลอมสร้างเสร็จ”
อันเจิงคล้ายกับตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้ฉับพลัน“ท่านเป็คนของหอสถิตดาราหรือ?”
“ข้าจะเล่าเื่หนึ่งให้เ้าฟัง...นานมาแล้วในหอสถิตดาราขณะที่ทุกคนกำลังเรียนรู้การหลอมกลั่นอาวุธอย่างมุ่งมั่น จนไม่มีเวลาไปสนใจยุทธภพและเื่ราวภายนอกกลับมีชายหนุ่มผู้หนึ่ง ั้แ่เด็กเขาไม่สนใจการหลอมกลั่นอาวุธแม้แต่น้อยความฝันเดียวของเขาคือการได้บ่มเพาะและออกไปโลดแล่นในยุทธภพเพื่อเป็การพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเอง เขาได้ท้าชนและบังคับให้ผู้อื่นแข่งขันกับเขานับครั้งไม่ถ้วนเพราะความสุขที่ได้รับหลังจากการเอาชนะผู้อื่นมันทำให้เขาเพลิดเพลินเกินจะกล่าวเื่เลวร้ายที่เขาก่อจึงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และแล้วในที่สุด ความชั่วช้าของเขาก็ดังไปเข้าหูคนของกรมตุลาการแห่งราชสำนักต้าซีจนได้”
“เ้ารู้หรือไม่ว่ากรมตุลาการเป็สถานที่เช่นไร?”
ผู้เฒ่าฮั่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ “เฮ้อ!นั่นคือสถานที่ที่แม้แต่พญายมราชก้าวเข้าไปยังต้องรู้สึกหวาดกลัว...ชายหนุ่มคนนั้นรู้ตัวดีว่าหลังจากออกมาโลดแล่นในยุทธภพแล้ว ย่อมไม่อาจใช้ชื่อของหอสถิตดาราได้อีก ดังนั้นเขาจึงได้เปลี่ยนชื่อตัวเองมาเป็ฮั่วอู่ฟู”
“ทว่าต่อมาภายหลังเขาก็ถูกคนของกรมตุลาการไล่บี้อย่างหนักจนหมดหนทางไปไม่อาจไม่ยอมแพ้ ได้แต่กลับไปขอให้บิดาที่อยู่ที่หอสถิตดาราช่วยเหลือ บิดาของชายหนุ่มผู้นี้รู้อยู่เต็มอกว่าบุตรชายของตนทำเื่เลวร้ายไว้มากมายขนาดไหนแต่เขาจะปล่อยให้บุตรชายเพียงคนเดียวตายตกไปได้อย่างไรด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจพาบุตรชายไปจากหอสถิตดารา ไปจากจักรวรรดิต้าซีแล้วมากบดานอยู่ที่เทือกเขาชางหมานในโลกมายา”
“อู่ฟูมาถึงที่นี่ก็ยิ่งกว่าปลาได้น้ำเขาอาศัยความสามารถของตนเองเอาชนะทุกคนที่อยู่ในโลกมายา และตั้งตนขึ้นเป็เ้าเมืองคนใหม่อย่างไรก็ดี บุญคุณความแค้นในยุทธภพไม่เคยสิ้นสุดวันหนึ่งขณะที่บิดาของเขาไม่อยู่บ้าน เขาก็ถูกคนผู้หนึ่งที่มีชื่อว่ามู่ฉางเยียนฆ่าตายสมบัติวิเศษที่บิดาของเขาตั้งใจหลอมขึ้นมาเพื่อต่อชีวิตเขาโดยเฉพาะสุดท้ายกลับไม่อาจได้ใช้”
ผู้เฒ่าฮั่วยื่นมือออกไปลูบแท่นนวดาราเบาๆ “ของสิ่งนี้คือสมบัติวิเศษที่มีระดับขั้นสีม่วง มีชื่อเรียกว่าตราประทับท้าทาย์”