สีหน้าของมู่ฉางเยียนเปลี่ยนไปอย่างน่าเกลียดเขาหันกลับมามองผู้ดูแลหอสมุดก่อนจะโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ทันใดนั้น ร่างของผู้ดูแลหอสมุดก็ะเิและกลายเป็หมอกโลหิตในพริบตา
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นะโหลบด้วยความใถึงที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกศิษย์ของหอสมุดมายาเพราะนี่เป็ครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่านเ้าเมืองลงมือสังหารใครบางคนเองกับมือ
“พวกเ้าทุกคนควรรู้ว่าการเข้าเรียนในหอสมุดมายาของข้าเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุด”
มู่ฉางเยียนก้าวไปข้างหน้าดวงตาของเขาขณะที่มองไปที่อันเจิงเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล
และในเวลานี้เสียงของมู่ฉางเยียนก็ดังขึ้นในห้วงความคิดของอันเจิง
“ข้าไม่รู้ว่าเ้ามาจากไหนแต่ก็พอจะเดาได้อยู่หลายส่วน เ้าไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดาและข้าก็มั่นใจว่าเ้ารู้ว่าข้าหมายถึงอะไรอย่างไรก็ตามระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเ้านั้นต่ำต้อยยิ่งอ่อนแอเสียจนไม่น่าพูดถึง ข้าไม่สนว่าเ้าจะเคยเป็ใครหรือเป็ผู้แข็งแกร่งจากไหนมาก่อนแต่ในระยะเวลาสั้น ๆ นี้เ้าคงไม่อาจกลับไปยังที่ที่เ้าจากมาได้ ข้ารับรู้ถึงข้อตกลงระหว่างเ้ากับแม่นางเยว่แล้วถ้าไม่ใช่ทำเพื่อเสี่ยวชีเต้า นางไม่มีทางช่วยพวกเ้าชำระล้างไขกระดูกแน่นอนดังนั้นก่อนที่เ้าจะตัดสินใจอะไร ข้าขอเตือนให้เ้าคิดทบทวนให้ดีก่อน”
ด้วยระดับการบ่มเพาะของอันเจิงในปัจจุบันย่อมไม่อาจส่งเสียงไปยังจิตใจของอีกฝ่ายได้โดยตรงดังนั้นเขาจึงยักไหล่ให้ครั้งหนึ่ง หันกลับไปมองเสี่ยวชีเต้าแล้วถามขึ้น “เสี่ยวชีเต้าเ้าคิดดีหรือยัง มีหลายสิ่งหลายอย่างในหอสมุดมายาแห่งนี้ที่สามารถช่วยเ้าฝึกฝนได้แต่หากเ้าติดตามข้า วัสดุที่จำเป็ต่อการบ่มเพาะทั้งหลายเ้าอาจจะขาดแคลนทั้งหมด”
เสี่ยวชีเต้าตอบอย่างจริงจังเสียงของเขาแม้จะยังเจือด้วยความเป็เด็ก แต่ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้นกลับมั่นคงและชัดเจนยิ่ง“พี่ชาย...ท่านเคยพูดไว้ว่าการบ่มเพาะมิใช่เพื่อใช้รังแกผู้อื่น แต่เท่าที่ข้าเห็นขนาดผู้ดูแลหอสมุดยังหยิ่งยโสและกดขี่ข่มเหงผู้คนมากขนาดนี้ บางทีแม้แต่อาจารย์ของที่นี่ก็คงไม่ต่างกันดังนั้นไม่ว่าคำสอนของพวกเขาจะดีแค่ไหน เสี่ยวชีเต้าก็ไม่้าเรียนรู้จากพวกเขาข้าจะติดตามพี่ชาย ท่านไปไหน เสี่ยวชีเต้าไปด้วย ข้าเชื่อในตัวของพี่ชาย”
อันเจิงฟังแล้วเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้ามู่ฉางเยียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ขนาดเ้าข้ายังไม่สนใจ นับประสาอะไรกับบรรดาอาจารย์พวกนั้น?เอาเป็ว่าจากนี้ไปเสี่ยวชีเต้าอยู่ในการดูแลของข้าแล้วข้าจะรับผิดชอบเื่การบ่มเพาะของเขาเองและั้แ่วันนี้ข้าก็คืออาจารย์ของเสี่ยวชีเต้า หรือหากเ้ายังไม่เชื่อเช่นนั้นพวกเรามาพนันกันเป็อย่างไร...ทุก ๆ ครึ่งปีต่อจากนี้เ้าพาศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของหอสมุดมายาออกมา พวกเราแข่งขันกันหากเสี่ยวชีเต้าแพ้ข้าจะยอมปล่อยให้เขาติดตามเ้าไป แต่ถ้าคนของเ้าแพ้ก็อย่าได้มาวุ่นวายหรือรบกวนการบ่มเพาะของพวกข้าอีก”
มู่ฉางเยียนกล่าว “ไม่สำคัญว่าเ้าจะเป็ใครมาจากไหนข้าสามารถบดขยี้เ้าได้ง่าย ๆ เลยตอนนี้”
อันเจิงยกยิ้ม “เส้นสีดำที่บริเวณลำคอด้านซ้ายของเ้าเลื้อยขึ้นมาเกือบจะถึงหูอยู่แล้วถ้าข้าเดาไม่ผิดเมื่อมันมาถึงกลางหน้าผากเมื่อไหร่ เ้าคงจะตายอย่างไม่ต้องสงสัยดังนั้นกับเ้าที่มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ถามจริง ๆ เถอะว่า เ้าจะปกป้องเสี่ยวชีเต้าไปได้อีกนานแค่ไหนกัน? และเมื่อเ้าตายไปเคยคิดหรือไม่ว่าคนที่เคยมีความแค้นกับเ้าจะต้องลงมือสังหารคนใกล้ตัวหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเ้าทั้งหมดแน่”
สีหน้าของมู่ฉางเยียนซีดเผือดเขาพูดอะไรไม่ออกแล้วจริง ๆ
“อย่าคิดว่าตอนนี้เ้าแข็งแกร่งกว่าแล้วจะมาพูดจาหยิ่งยโสต่อหน้าข้าได้ระดับการบ่มเพาะของเ้าในตอนนี้ ไม่แม้แต่จะแตะขอบปลายของระดับการบ่มเพาะของข้าเมื่อก่อนได้ด้วยซ้ำดังนั้นเื่วิธีการบ่มเพาะ เทียบกับข้าแล้ว เ้าไม่อาจเอาชนะข้าได้ยิ่งคนของเ้ายิ่งไม่มีทางเป็ไปได้”
เขาหันกลับมาแล้วเดินจากไปมู่ฉางเยียนเอ่ยถามไล่หลัง “ถ้าไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าข้าใส่ใจในตัวเสี่ยวชีเต้าจริงๆ เ้าจะบอกเื่ทั้งหมดนี้กับข้าอย่างชัดแจ้งเหมือนตอนนี้หรือไม่?”
“ไม่อย่างแน่นอน” เขาตอบขณะเดินไปด้วย
มู่ฉางเยียนตัดสินใจได้แล้ว “ได้ข้าตกลงเดิมพันกับเ้า ทุก ๆ ครึ่งปีต่อจากนี้ข้าจะส่งศิษย์ในหอสมุดของข้าออกไปแข่งขันกับเ้าถ้าคนของข้าแพ้ ข้าจะให้สิ่งที่เ้า้า แต่ถ้าพวกเ้าแพ้พวกเ้าทั้งหมดต้องเข้ามาอยู่ในหอสมุดของข้า ทำงานรับใช้อยู่ที่นี่”
“ล้างเท้าให้เ้ายังได้เลย” อันเจิงตอบ
มู่ฉางเยียนหมุนตัวเดินกลับเข้าหอสมุดไปไม่หันหลังกลับมามองอีก
ในอีกด้านหนึ่งของถนน สีหน้าของแม่นางเยว่ก็ดูไม่ดีเช่นกัน
บริเวณหน้าประตูของหอสมุดมายาลูกศิษย์ของหอสมุดจำนวนมากกำลังพากันมุงดูเื่สนุก พวกเขาไม่รู้ว่าเด็กน้อยเหล่านี้เป็ใครมาจากไหนแต่ถึงขนาดเดือดร้อนท่านเ้าเมืองต้องออกมารับหน้าด้วยตนเอง ซ้ำยังพูดคุยต่อรองกันครู่ใหญ่หัวข้อสนทนาที่เกี่ยวกับกลุ่มของอันเจิงจึงแพร่ออกไปราวกับไฟลามทุ่งในความคิดเห็นของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าเด็กกลุ่มนี้ช่างรนหาที่ตายนัก
อันเจิงเดินไปหยุดอยู่หน้าทางเข้าสำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์มองดูแผ่นป้ายที่ห้อยอยู่้าแล้วอดไม่ได้ถอนหายใจออกมาหนัก ๆ “เฮ้อ...ทรุดโทรมมากจริงๆ”
ตอนนี้เองชายชราผู้หนึ่งในชุดเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งก็เดินออกมาจากประตูของสำนักฝึกวรยุทธ์เขามองไปที่อันเจิงด้วยสายตาราวกับมองคนโง่ “เ้าเด็กน้อย เ้าไม่คิดว่าตัวเองหยิ่งยโสเกินไปหน่อยหรือ?สำนักฝึกวรยุทธ์แห่งนี้ถูกทำลายไปนานมากแล้ว นอกเหนือจากคนเฝ้าประตูเช่นข้าที่นี่ก็ไม่มีเ้าหน้าที่หรืออาจารย์คนอื่นอีก อาจารย์ที่เคยสอนอยู่ที่นี่ล้วนแต่ย้ายไปยังหอสมุดมายาซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกันหมดคิดอาศัยพลังการบ่มเพาะของตนเองเอาชนะพวกเขา เ้ามีความมั่นใจมาจากไหน?”
“นานเท่าไหร่แล้วที่เ้าไม่ได้กินเนื้อ?” จู่ ๆ อันเจิงก็เอ่ยถามขึ้น
ชายชราคิดอย่างจริงจังเขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “น่าจะสักสามถึงสี่ปีได้กระมังั้แ่อดีตท่านเ้าเมืองถูกมู่ฉางเยียนสังหารไป ที่นี่ก็ถูกทิ้งร้างมาโดยตลอดสาเหตุที่เ้าเมืองคนใหม่จงใจปักหลักอยู่ที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพื่อเตือนให้ชาวเมืองรู้ว่าไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ต่อต้านเขาส่วนเหตุผลที่ข้ายังมีชีวิตอยู่และมีสภาพอย่างเช่นที่พวกเ้าเห็นก็เพื่อทำให้สำนักฝึกวรยุทธ์แห่งนี้ดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม”
อันเจิงหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่งแล้วส่งมอบมันให้กับชายชรา“เอาเงินนี่ไปซื้อเนื้อกินซะ”
ชายชราตกตะลึง “แล้วหลังจากนั้นเล่า?”
อันเจิงหัวเราะขบขัน “เ้าก็ไปจ้างคนมา หาผู้ชายสักสองสามคนมาช่วยทำความสะอาดและถางหญ้าพวกนี้เสียส่วนเ้าก็ไปอาบน้ำล้างตัวสักหน่อย เงินที่เหลือใช้สำหรับซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ตัวเองก็แล้วกัน”
“ก่อนหน้านี้ตัวเ้าถูกมองเป็เสมือนภาพลักษณ์ของสำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์ต่อไปเ้าก็ต้องเป็ภาพลักษณ์ของนิกายที่กำลังจะก่อตั้งขึ้นใหม่เช่นกัน”
ชายชราถาม “นี่เ้าจริงจังใช่หรือไม่?”
“เ้าจะคิดว่าข้าพูดเล่นก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดนับจากนี้ไปข้ารับประกันได้เลยว่า เ้าจะมีเนื้อหอม ๆ ให้กินมีสุรารสเลิศให้ดื่มจนอิ่มหนำเชียวล่ะ”
ชายชราลุกขึ้นอย่างงงงัน “ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะถือว่าข้ากำลังฝันอยู่ก็แล้วกัน”
อันเจิงมองตามหลังคนอื่น ๆ ที่เดินเข้าไปถึงได้สังเกตเห็นว่าวัชพืชที่ขึ้นอยู่ในสำนักฝึกวรยุทธ์แห่งนี้สูงเกือบจะเท่าครึ่งตัวคนแล้ว
ห้องหับไม่เลว ติดที่สกปรกไปหน่อย
หลังจากทุกคนเข้ามาจนครบก็หย่อนก้นนั่งลงกลางลานกว้างอันเจิงเดินเข้าไปหาพวกเขา พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ั้แ่นี้เป็ต้นไปพวกเราจะอาศัยอยู่ที่นี่แม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าจะเคยถามความเห็นของพวกเ้าไปครั้งหนึ่งแล้วแต่ตอนนี้ข้าจะขอยืนยันการตัดสินใจของพวกเ้าอีกครั้งเพราะนี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของพวกเ้าโดยตรง”
ตู้โซ่วโซ่วยกมือขึ้นพลางพูด “อันเจิงข้าฟังเ้าเ้าตัดสินใจอย่างไรข้าก็จะเอาตามนั้น อนาคตของข้าเลือกติดตามเ้าแน่นอนแล้ว”
ชวีหลิวเอ๋อก้มหน้าลงมองออกไปข้างนอกเป็ครั้งคราว เห็นชวีเฟิงจื่อยืนรออยู่ข้างนอกพร้อมที่จะดึงนางออกไปทุกขณะนางก็เริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมา
ทว่าไม่นานนักสาวน้อยก็กัดริมฝีปากของตนเองพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบา “ข้าไม่คิดฝึกฝน ยิ่งไม่คิดอยากเข้าไปศึกษาที่หอสมุดมายาแต่หากข้าต้องเลือก ข้าก็ขอเลือกอยู่ที่นี่”
เสี่ยวชีเต้ายกมือขึ้นเลียนแบบตู้โซ่วโซ่ว “พี่ชายอันเจิงเสี่ยวชีเต้าก็จะติดตามท่าน”
“เ้ายังเด็กอยู่ดังนั้นข้าต้องขอความคิดเห็นจากมารดาของเ้าก่อน”
ในเวลานี้เองแม่นางเยว่ก็เดินเข้ามานางชำเลืองมองอันเจิงแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินออกไป
อันเจิงตามหลังนางไปติด ๆ โดยไม่ลืมอุ้มเสี่ยวชีเต้าตามไปด้วยกันเสี่ยวชีเต้าแม้จะอายุยังน้อยแต่ก็รู้ความและมีเหตุผลอย่างยิ่งมือป้อมทั้งสองข้างกอดคออันเจิงเอาไว้ เด็กน้อยอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเชื่อฟังไม่ส่งเสียงรบกวนสักนิด
“ทำไม?”
แม่นางเยว่หันกลับมาถามคำถามเขาด้วยสายตาของนาง
อันเจิงส่งเสี่ยวชีเต้าให้กับแม่นางเยว่จากนั้นเขาก็ะโขึ้นไปนั่งบนก้อนหินด้านข้าง
เขาดึงต้นหญ้าที่งอกขึ้นมาจากก้อนหินและคาบมันไว้ในปาก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้น“ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามท่าน ข้าอยากรู้ว่าท่าน้าฝึกเสี่ยวชีเต้าให้โตขึ้นเป็คนแบบไหน?ก่อนหน้านี้ท่านไม่้าให้เสี่ยวชีเต้าบ่มเพาะพลังเหตุผลส่วนใหญ่นั่นก็เพื่อกันเขาออกจากวังวนแห่งการต่อสู้ เพราะท่านรู้ดีว่าโลกใบนี้อันตรายขนาดไหนดังนั้นท่านจึงเลือกเก็บซ่อนเขาไว้ให้เขาอยู่แต่ในโลกใบเล็กที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและการปกป้อง ข้าพูดไม่ผิดกระมัง?”
“แต่ว่าภายหลังท่านเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาคิดว่าท่านคงรู้ดีถึงพร์และศักยภาพแฝงในตัวเสี่ยวชีเต้าว่ามันยอดเยี่ยมมากหากห้ามไม่ให้เขาบ่มเพาะ ก็ดูจะเป็การไม่ยุติธรรมต่อเขามากจนเกินไปยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามารดาของเขาเป็ผู้มีฝีมือที่โลดแล่นอยู่ในยุทธภพมานานเขาไม่มีทางถูกกีดกันให้อยู่ภายนอกไปได้ตลอดหรอก? ดังนั้นข้าจึงอยากรู้อยากรู้ว่าท่านคิดจะเลี้ยงเสี่ยวชีเต้าให้เป็คนแบบไหน? ถ้าเพียงเพื่อทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเช่นนั้นท่านก็พาเขาไปที่หอสมุดมายา ให้เขาได้ฝึกฝนภายใต้การอบรมสั่งสอนของท่านเ้าเมืองมู่ฉางเยียนเถิดอย่างน้อยที่สุดที่แห่งนั้นก็มีทรัพยากรครบครัน และมากพอต่อความ้าในการบ่มเพาะของเขา”
“แต่บอกตามตรง ข้าไม่อยากให้เสี่ยวชีเต้าต้องไปเกลือกกลั้วหรือดูดซับกลิ่นอายสวะพวกนั้น”
อันเจิงมองไปที่แม่นางเยว่ “ที่ต้องพูดข้าก็พูดไปจนหมดแล้วที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะตัดสินใจอย่างไร แน่นอนว่า สำหรับพวกท่านสองแม่ลูกข้าก็เป็เพียงแค่คนนอกเท่านั้นดังนั้นหากท่านไม่ปรารถนาจะตอบก็ไม่ต้องตอบคำถามของข้าก็ได้”
เงียบไปเนิ่นนานในที่สุดเสียงของแม่นางเยว่ก็ดังขึ้น “แล้วเ้าปรารถนาให้เสี่ยวชีเต้ากลายเป็คนแบบไหน?”
“กล้าหาญองอาจ มีความรับผิดชอบเป็ที่ตั้งเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายและความอยุติธรรมอย่างไม่กลัวเกรงเสมือนดั่งวีรบุรุษผู้น่าชื่นชม”
แม่นางเยว่เพียงส่ายหน้ากลับไปให้ “ข้าหวังเพียงแค่เขาจะมีพลังในการปกป้องตนเองจากภัยอันตรายทั้งปวง”
อันเจิงพยักหน้า “เอาละ เช่นนั้นก็เป็ข้าที่ผิดเองท่านพาเสี่ยวชีเต้าออกไปเถอะ”
เขาะโลงมาจากก้อนหินพร้อมคายหญ้าในปากทิ้งมือทั้งสองข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงความรู้สึกคลุมเครือบางอย่างซึ่งไม่อาจอธิบายได้เอ่อล้นขึ้นมา
บางทีในสายตาของคนส่วนใหญ่ อันเจิงอาจดูเหมือนเด็กดื้อไม่มีสัมมาคารวะแต่ในสายตาของแม่นางเยว่กลับเห็นต่าง มองดูแผ่นหลังของอันเจิงที่กำลังเดินจากไป นางรู้สึกคลับคล้ายราวกับมองเห็นแผ่นหลังของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ผู้ซึ่งยืนหยัดต่อกรกับความชั่วร้ายทั้งปวง
“อันเจิง”
แม่นางเยว่ร้องเรียกเขาจากทางด้านหลัง “ถ้าวันหนึ่งมีบางอย่างเกิดขึ้นกับข้าเ้าสัญญาได้หรือไม่ว่าจะช่วยปกป้องเสี่ยวชีเต้า”
อันเจิงหยุดเดินหันหลังกลับไปมองก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ดุจดั่งพี่ชายน้องชายที่คลานตามกันมา”
แม่นางเยว่ย่อตัวลงวางเสี่ยวชีเต้าลงกับพื้นแล้วชี้ไปที่อันเจิงพลางพูด “เสี่ยวชีเต้าฟังแม่เ้าจงติดตามพี่ชายอันเจิงตั้งใจฝึกฝนให้ดีการบ่มเพาะพลังไม่เพียงแต่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเท่านั้นแต่ยังทำให้จิติญญาแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย พี่ชายอันเจิงของเ้าเป็คนที่สามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้ดังนั้นเ้าต้องเคารพและเชื่อฟังพี่ชายดุจดั่งที่เ้าเคารพและเชื่อฟังแม่ เข้าใจหรือไม่”
เสี่ยวชีเต้าพยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านแม่ท่านไม่ต้องกังวล เสี่ยวชีเต้าเข้าใจ”
แม่นางเยว่น้ำตารื้นยืนขึ้นและประสานมือคำนับไปที่อันเจิงครั้งหนึ่ง “ข้าไม่รู้ว่าเ้าเป็ใครมาก่อนดังนั้นข้าจะไม่ถาม ข้าหวังเพียงแต่เ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังและไม่ผิดต่อความไว้วางใจของเสี่ยวชีเต้า ที่เ้าพูดมานั้นไม่ผิดข้าเป็คนในยุทธภพ ดังนั้นแล้วอย่างไรเขาก็ตัดความสัมพันธ์นี้ออกไปไม่พ้นเกี่ยวกับเื่ชาติกำเนิดของเสี่ยวชีเต้า ข้าอยากให้เ้าจดจำไว้ให้มั่นอย่าได้บอกต่อแก่ผู้ใดเป็อันขาด เสี่ยวชีเต้ามิได้ถือกำเนิดในเส้นทางหกวิถี...”
ยังไม่ทันพูดจบ จู่ ๆสีหน้าของแม่นางเยว่ก็ซีดเผือด
ดวงตาหญิงสาวมองไปยังทิศทางของหอสมุดมายาซึ่งตั้งอยู่อีกฟากบนถนนย่านซินจงแววตาที่เจือไปด้วยความโศกเศร้าเมื่อครู่บัดนี้คุกรุ่นไปด้วยเพลิงโทสะทว่าขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“อันเจิง เ้าสัญญากับข้าแล้วฝากดูแลเสี่ยวชีเต้าด้วย”
แม่นางเยว่คุกเข่าลงดึงร่างเสี่ยวชีเต้าเข้ามากอดหอมหนัก ๆ หลายครั้ง ในแววตาฉายชัดถึงความรู้สึกไม่อาจปล่อยวาง
นางมองดูเสี่ยวชีเต้าตัวน้อยด้วยน้ำตาไหลพรากก้มลงไปหอมร่างเล็กอีกครั้งแทนคำบอกลาก่อนจะยัดร่างเสี่ยวชีเต้าเข้าสู่อ้อมอกอันเจิงด้วยท่าทีรีบร้อนกระวนกระวายเอ่ยสำทับเป็ครั้งสุดท้ายแล้วจากไป “อันเจิงรบกวนเ้าเลี้ยงดูเขาให้เติบใหญ่เป็คนดีด้วย”
พูดจบร่างของแม่นางเยว่ก็ทะยานออกไปยังทิศทางของหอสมุดมายาด้วยความเร็วราวกับแสง
ที่หน้าประตูของหอสมุดมายาเวลานี้องครักษ์สวมชุดเกราะทมิฬยืนเรียงรายอยู่เป็จำนวนมากสีหน้าของแต่ละคนล้วนแล้วแต่ไร้ความรู้สึก เหมือนกับพวกเขาถูกตีขึ้นจากเหล็กไหลมิใช่มนุษย์แต่เป็เครื่องมือสำหรับสังหารมนุษย์มากกว่า
ม้าที่พวกเขาขี่มาดูอย่างไรก็ไม่ใช่ม้าธรรมดาบนหน้าผากของม้าแต่ละตัวมีเขาแหลมงอกออกมาเขาหนึ่งเขี้ยวคมโผล่พ้นออกมาให้เห็นเด่นชัดว่า นี่คือลักษณะของม้าศึกชั้นเยี่ยม
“กลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กแห่งแคว้นเยี่ยน”
ปฏิกิริยาตอบสนองของอันเจิงช้ากว่าแม่นางเยว่มากและนั่นทำให้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม เขาสามารถระบุที่มาของทหารในชุดเกราะสีดำทมิฬเ่าั้ได้อย่างรวดเร็วพวกเขาคือทหารม้าชั้นเยี่ยมของาาแห่งแคว้นเยี่ยนแคว้นเยี่ยนมีทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบหกมณฑล และแม้ว่าแคว้นนี้จะมีขนาดเล็กแต่ก็เป็หนึ่งในแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบหกแคว้นใกล้เคียงกองทัพของแคว้นเยี่ยนเป็ที่โด่งดังและรู้จักกันไปทั่วในเื่ของความไม่กลัวตายซึ่งหนึ่งในหน่วยของกองทัพที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กเบื้องหน้าของพวกเขาเวลานี้
มีคนเคยเล่าต่อ ๆ กันมาว่า อัศวินเพลิงเหล็กเพียงหนึ่งพันแปดร้อยนายก็สามารถต้านทานกองทัพซึ่งยกกำลังมามากกว่าแสนนายได้แล้ว!
หอกยาวในมือของแม่ทัพซึ่งเป็ผู้นำกลุ่มชี้ไปที่หอสมุดมายา“คุณชายมู่...ท่านคิดจะซ่อนตัวไปอีกนานแค่ไหน? ถ้าท่านยังไม่ยอมออกมาแต่โดยดีเห็นทีข้าคงต้องรื้อหอสมุดมายาของท่านทิ้ง”