หอสมุดมายามีขนาดใหญ่มากแต่คนที่สามารถเข้ามาศึกษาที่นี่ได้นั้นกลับมีไม่มากนัก
อย่างน้อยที่สุด ในสถานที่เช่นโลกมายาแห่งนี้หอสมุดมายานับเป็สำนักศึกษาที่มีสถานะสูงสุด
สำหรับเหตุผลที่หอสมุดมายาถูกเรียกว่าหอสมุด แทนที่จะเป็นิกายหรือว่าสำนักศึกษาความจริงนั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมามาก นั่นเพราะมู่ฉางเยียนเ้าเมืองของโลกมายาแห่งนี้รู้สึกว่าตนเองเป็เพียงแค่บัณฑิตธรรมดา ๆ ผู้หนึ่งเท่านั้นดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงสมควรถูกเรียกขานว่าเป็หอสมุดมากกว่า
จงจิ่วเกอตัดสินใจลงหลักปักฐานที่ย่านซินจง เขาซื้อร้านค้าเล็ก ๆแห่งหนึ่งไว้ทำการค้า เนื่องจากที่นี่อยู่ไม่ไกลจากหอสมุดมายาเท่าไหร่นักดังนั้นจึงเป็จุดตั้งหลักที่ดี
หลังจากอันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วได้รับความช่วยเหลือจากแม่นางเยว่ และประสบความสำเร็จในการชำระล้างไขกระดูกแล้วพวกเขาทั้งสองก็จับจูงเสี่ยวชีเต้าเดินไปบนท้องถนนมุ่งหน้าไปยังทางเข้าของหอสมุดมายา
โดยปกติทั่วไปแล้ว สำนักศึกษาทั้งหลายจะมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดในการสรรหาศิษย์และพวกเขาจะมีกำหนดเวลาแน่นอนในการรับศิษย์ใหม่ทุกปี
ผู้ปกครองมากมายที่วาดหวังให้บุตรของตนเองกลายเป็ดั่งัทะยานขึ้นสู่สรวง์จะจูงมือบุตรหลานของตนไปยังนิกายหรือสำนักศึกษาต่าง ๆเพื่อให้พวกเขาได้ทำการทดสอบตามเวลาที่กำหนด คนที่มีความสามารถมากพอจะถูกเลือกให้อยู่ต่อแต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะถูกเขี่ยทิ้งและกำจัดออกไป
เยี่ยนโยวสิบหกแคว้นในสายตาของคนหมู่มาก คงถูกมองว่าเป็ดินแดนป่าเถื่อนโหดร้ายเมื่อนำไปเทียบกับจักรวรรดิต้าซีที่แสนยิ่งใหญ่เพราะในทุก ๆ ปี มีผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องตายตกไปในาระหว่างแคว้น
และแน่นอนว่า กลุ่มอิทธิพลในราชสำนักเหล่านี้ย่อมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสำนักศึกษาต่างๆ ทั่วแคว้น ดังนั้นแล้ว บางครั้งบางคราการได้เป็ศิษย์ของสำนักศึกษาที่ใดที่หนึ่งจึงใช่ว่าจะเป็เื่ดีเสมอไป
แต่ทำไมยังมีคนอีกเป็จำนวนมากเลือกอาศัยอยู่ในเทือกเขาชางหมานสถานที่ซึ่งขึ้นชื่อเื่ความโหดร้ายป่าเถื่อนแห่งนี้ มิหนำซ้ำแต่ละปีผู้ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่รังแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นเป็เพราะว่าต่อให้สถานที่นี้จะโหดร้ายเพียงใดแต่ตราบใดที่พวกเขาทำตามกฎของที่นี่ อย่างน้อยก็สามารถรับประกันชีวิตของพวกเขาได้
าระหว่างแคว้นที่เกิดขึ้นในเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นเป็เสมือนดั่งไฟที่คอยเผาผลาญทำลายล้างทุกสรรพชีวิต คนส่วนมากที่ต้องมาสังเวยชีวิตในาเหล่านี้ล้วนแต่เป็คนธรรมดาทั้งนั้น
เสี่ยวชีเต้าแข็งแรงมากตลอดทางที่เดินไปด้วยกันเขาไม่ยอมให้อันเจิงอุ้มเขาเลย
เมื่ออันเจิงถามเขาว่าทำไมเขาก็ตอบกลับมาว่า ท่านแม่ของเขาเคยพูดเอาไว้ว่าเป็บุรุษต้องเข้มแข็งหากแค่เดินยังรู้สึกเหนื่อย แล้วจะบ่มเพาะพลังให้สำเร็จได้อย่างไร?
อันเจิงยิ้มน้อย ๆยื่นมือออกไปเคาะปลายจมูกเสี่ยวชีเต้าเบา ๆ “การบ่มเพาะมิใช่เื่ง่ายดายอย่างที่เ้าคิดอย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความเข้มแข็งคือส่วนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะพลังเ้าสามารถทำความเข้าใจและอดทนถึงเพียงนี้ได้ก็นับว่าประสบความสำเร็จไปมากกว่าครึ่งแล้ว”
เสี่ยวชีเต้ามีความสุขมากที่ได้ยินเช่นนี้เขารู้สึกว่าตัวเองยอดเยี่ยมยิ่งนักหลังจากที่ได้รับการยอมรับจากพี่ชายอันเจิง
เมื่อพวกเขามาถึงประตูของหอสมุดมายาก็หันไปเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
ชวีเฟิงจื่อกับลูกศิษย์ของเขาชวีหลิวเอ๋อ
ผู้ดูแลหอสมุดกำลังยืนเท้าเอวอยู่หน้าประตูสบถคำหยาบคายด้วยสีหน้าดุร้าย
“ไป ไสหัวไปให้พ้น ๆ!”
เขาชี้ไปที่จมูกของชวีเฟิงจื่อและสาปแช่ง“เ้าคิดว่าหอสมุดมายาแห่งนี้เป็สถานสงเคราะห์หรืออย่างไร?น้ำหน้าอย่างเ้าคิดอยากจะเข้าก็เข้ามาได้รึ?”
ใบหน้าของชวีเฟิงจื่อแสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “นายท่าน ได้โปรดฟังที่ข้าพูดก่อนก่อนหน้านี้มิใช่ท่านเ้าเมืองที่ประกาศออกไปเองหรือ ว่าตราบใดที่สามารถชำระค่าเล่าเรียนแบบเต็มจำนวนได้ก็จะสามารถส่งเด็ก ๆ ไปที่หอสมุดมายาเพื่อทำการทดสอบ หลังจากผ่านการทดสอบพวกเขาก็จะสามารถอยู่ในหอสมุดมายาแห่งนี้ต่อไปได้”
“นายท่าน ท่านดูนี่สินี่คือเงินทั้งหมดที่ข้าเก็บหอมรอมริบมาด้วยความยากลำบากข้าเก็บมันจนครบจำนวนที่หอสมุดมายา้าแล้ว นายท่านให้โอกาสพวกเราสักครั้งได้หรือไม่?”
ผู้ดูแลหอสมุดถุยน้ำลายใส่หน้าชวีเฟิงจื่อกล่าวอย่างดูแคลน “ไสหัวไปซะ! คนอย่างเ้า นายท่านเช่นข้าเห็นมานักต่อนักแล้วคิดจริง ๆ หรือว่าเศษเงินเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของลูกเ้าได้?ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างพวกเ้าสมควรมา รีบไสหัวกลับไปเสีย! หาไม่ข้าจะปล่อยสุนัขตัวนี้ออกไปกัดพวกเ้า”
ในมือของเขาถือเชือกเส้นหนึ่งซึ่งคล้องติดกับปลอกคอสุนัขตัวใหญ่ ท่าทางดุร้ายสุนัขตัวนี้สูงเกือบท่วมศีรษะคน มองจากที่ไกล ๆ ไม่ต่างอะไรจากวัวั์ตัวหนึ่งเลยทีเดียว
สุนัขตัวนั้นมองไปที่ชวีเฟิงจื่อและชวีหลิวเอ๋อด้วยความกระหายหิวของเหลวหนืดสีใสไหลออกมาจากปากมันไม่หยุด กรงเล็บแหลมคมของมันคล้ายกับจะตะปบอีกฝ่ายได้ในอุ้งเท้าเดียว
ชวีหลิวเอ๋อหวาดกลัวมากเสียจนเนื้อตัวสั่นระริกนางยื่นมือออกไปกระตุกแขนเสื้อของชวีเฟิงจื่อหลายครั้ง “ท่านอาจารย์พวกเราไปกันเถอะเ้าค่ะ!”
ชวีเฟิงจื่อตวาดกลับด้วยความโกรธขึ้ง “จะไปได้อย่างไร!ข้าอุตส่าห์ทนลำบากแบกรับถ้อยคำสาปแช่งด่าทอว่าเป็ไอ้หน้าเืเห็นแก่เงินก็เพื่อเก็บสะสมเงินพวกนี้ให้เ้าไม่ง่ายเลยกว่าจะเก็บจนครบ สร้างโอกาสให้เ้าได้รับการฝึกฝนแต่ดูเ้า...ดูสิ่งที่เ้าทำ เพียงแค่อุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้เ้าก็ถอดใจเสียแล้วทำเช่นนี้จะมองหน้าอาจารย์ของเ้าได้อย่างไร จะมองหน้าผู้อื่นได้อย่างไร?!”
ใบหน้าของชวีหลิวเอ๋อซีดเผือดนางไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
ผู้ดูแลหอสมุดเบะปาก “ไอ้ขอทานจะไปหรือไม่ไป? ข้าไม่คิดจะพูดซ้ำอีกเป็ครั้งที่สองหรอกนะ”
ชวีเฟิงจื่อคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรงแล้วโขกหัวให้เขาไม่หยุด“นายท่าน ข้าขอร้องท่านล่ะ เมตตาพวกข้าเถอะ กว่าจะเก็บเงินได้มากขนาดนี้ไม่ง่ายเลยท่านให้โอกาสพวกข้าสักครั้งเถอะนะ ให้เด็กน้อยได้เข้าไปลองทดสอบดูสักครั้งนะขอรับ?”
เขาหยิบทองคำก้อนเล็กก้อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อก่อนจะยัดมันไว้ในมือของผู้ดูแลหอสมุด “นายท่าน ข้าขอร้องท่านล่ะ เมตตาพวกข้าด้วย”
ผู้ดูแลหอสมุดยกเท้าขึ้นถีบชวีเฟิงจื่อจนกลิ้งหลุน ๆ ไปกับพื้น “นี่เ้าเห็นข้าเป็ขอทานรึ?ทองคำแค่ก้อนเดียว ไม่พอแม้แต่จะซื้อเนื้อให้สุนัขของข้ากินด้วยซ้ำไสหัวไปซะ!”
ชวีเฟิงจื่อลุกขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้คลานเข้าไปแล้วโขกหัวต่อ “นายท่าน ข้าขอร้องท่าน ให้เวลาข้าเก็บเงินอีกนิดข้าสัญญาว่าจะกลับมาตอบแทนน้ำใจนี้ของท่านอย่างแน่นอน”
“เ้าคิดว่านายท่านอย่างข้าขาดแคลนเศษเงินพวกนี้รึ?”
ผู้ดูแลหอสมุดเตะเขาอีกครั้ง “จะไปหรือไม่ไป?ถ้ายังไม่ไป ข้าจะปล่อยสุนัขไปกัดเ้าแล้ว”
ทันใดนั้นเองเ้าสุนัขตัวใหญ่ก็พุ่งทะยานขึ้นไปข้างหน้าตวัดอุ้งเท้าใส่ชวีเฟิงจื่อจนล้มลงกับพื้น
สุนัขตัวมหึมาก้มหน้าลงมองไปที่เหยื่อของมันของเหลวในปากหยดลงบนใบหน้าชวีเฟิงจื่อ อุ้งเท้าั์กดลงที่หน้าอกอีกฝ่ายแน่น
เสี่ยวชีเต้าเห็นฉากนี้กำปั้นเล็ก ๆของเขาก็กำเข้าหากันแน่น เงยหน้าขึ้นไปมองอันเจิง “พี่ชายอันเจิง ท่านช่วยพวกเขาได้หรือไม่?”
ชวีเฟิงจื่อพยายามที่จะยืดตัวขึ้นเห็นได้ชัดว่าสุนัขตัวนี้กำลังโกรธอยู่ มันก้มหัวลงไปใกล้คอของชวีเฟิงจื่อมากขึ้นเรื่อยๆ
อันเจิงปล่อยลูกแมวตัวน้อยในอ้อมแขนออกไปทันทีประกายแสงสีขาวแหวกผ่านอากาศก่อนจะไปหยุดลงตรงหน้าชวีเฟิงจื่อ
ลูกแมวตัวกระจิริดน่ารักเมื่อต้องปะทะกับสุนัขตัวเขื่องซึ่งมีขนาดพอๆ กับความสูงของมนุษย์ นี่ไม่ต่างอะไรกับการเอาเด็กทารกที่เพิ่งหัดคลานไปสู้กับชายฉกรรจ์ร่างใหญ่นิสัยโเี้เลย
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า กลับเป็ฝ่ายสุนัขเสียอีกที่ต้องล่าถอยไปหลังจากได้ยินเสียงร้องหง่าวๆ ของเ้าแมวตัวน้อยเพียงไม่กี่ครั้ง ประหนึ่งพบเจอกับศัตรูทางธรรมชาติ มันร่นถอยกลับไปกระโจนเข้าใส่ผู้ดูแลหอสมุดอย่างรวดเร็วต่อให้เขาจะเรียกจะสั่งมันอย่างไรสุดท้ายก็ไร้ประโยชน์
คนในหอสมุดมายาคนอื่น ๆ เห็นท่าไม่ดีก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยหยุดสุนัขตัวนั้นทันทีในที่สุดก็ช่วยผู้ดูแลหอสมุดออกมาได้
สีหน้าของผู้ดูแลหอสมุดบัดนี้ดำทมิฬใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มตรวจสอบสาเหตุที่ทำให้สุนัขของเขาตื่นใทันทีไม่นานเขาก็พบว่าต้นเหตุทั้งหมดมันมาจากลูกแมวที่ยังไม่ทันโตตรงหน้า
อันเจิงเดินเข้าไป อุ้มลูกแมวขึ้นจากนั้นก็หันไปฉุดแขนชวีเฟิงจื่อให้ลุกขึ้นจากพื้น
เมื่อชวีเฟิงจื่อเห็นว่าเป็อันเจิงที่เข้ามาช่วยเหลือก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเขากล่าวขอบใจอันเจิงด้วยสีหน้าหดหู่และเศร้าใจ
“ขอบคุณพวกเ้าที่อุตส่าห์ช่วยชีวิตข้าไว้แต่ถ้าปล่อยให้สุนัขของเขากัดข้าบางทีเขาอาจจะใจอ่อนยอมให้ชวีหลิวเอ๋อเข้าร่วมการทดสอบของสำนัก”
อันเจิงยกมือขึ้นตบไปที่หน้าของชวีเฟิงจื่ออย่างแรง“ที่ข้าช่วยท่านเพราะข้าอยากช่วย ไม่จำเป็ต้องขอบคุณส่วนคำพูดที่ว่าถ้าปล่อยให้สุนัขของเขากัดท่านบางทีเขาอาจจะใจอ่อนยอมให้ชวีหลิวเอ๋อเข้าร่วมการทดสอบของสำนัก...นั่นคือสาเหตุที่ท่านถูกข้าตบ”
“ไม่เห็นจริง ๆ หรือว่า ไอ้นิสัยอวดเบ่งวางท่าไม่เห็นหัวใครของมันนั้นส่วนหนึ่งก็มีสาเหตุมาจากพวกเ้าที่เป็เสียแบบนี้ เ้าคิดหรือว่าหากปล่อยให้ตัวเองโดนสุนัขตัวนั้นกัดแล้วเขาจะยอมปล่อยพวกเ้าเข้าไป?”
อันเจิงหัวเราะเยาะ “ชวีเฟิงจื่อ ข้ารู้สึกสมเพชท่านจริงๆ”
ชวีเฟิงจื่อคำรามลั่น “เ้าจะไปรู้อะไร!เพื่อให้นางได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาที่หอสมุดมายาอย่างนี้ ไม่ใช่เื่ง่ายแม้แต่น้อย!”
อันเจิงส่ายหัว “ที่ท่านคิดอยู่มันผิดแล้วเฮ้อ...ข้าช่วยชีวิตท่านได้ แต่น่าเสียดายจริง ๆที่ไม่อาจช่วยนำสมองของท่านกลับมาด้วย”
ชวีเฟิงจื่อเส้นความอดทนขาดผึงทันทีก้าวขึ้นไปหมายจะโจมตีใส่อันเจิง แต่กลับถูกชวีหลิวเอ๋อคว้าแขนเสื้อเอาไว้เสียก่อนนางร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนเขาด้วยสภาพน่าสงสาร
ในเวลานี้เองที่ผู้ดูแลหอสมุดเดินเข้ามาพร้อมกับผู้คุมอีกสองสามนายเขาชี้ไปที่อันเจิงแล้วตวาดด่าด้วยน้ำเสียงดังลั่น “ไอ้เด็กหน้าเหม็นนี่มาจากไหน?กล้าดีอย่างไรมาสร้างปัญหาที่หน้าประตูหอสมุดมายาแห่งนี้!”
อันเจิงเงยหน้าขึ้นมองผู้ดูแลหอสมุดแวบหนึ่งจากนั้นก็เดินกลับ
ผู้ดูแลหอสมุดคิดว่าอันเจิงจะอาศัยจังหวะนี้วิ่งหนีจึงสั่งให้ผู้คุมของเขาขึ้นไปดักอยู่ข้างหน้า
อันเจิงประคองร่างชวีหลิวเอ๋อขึ้นมาเกลี่ยหยาดน้ำตาบนใบหน้านางออกอย่างแ่เบา “เ้าได้รับการปกป้องจากชวีเฟิงจื่อดีมากจนเกินไปดังนั้นเ้าจึงไม่เคยัักับความชั่วร้ายของโลกใบนี้ เ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมผู้ดูแลหอสมุดถึงไม่ยอมให้เ้าเข้าไป?นั่นเพราะเ้าไม่มีเงินมากพอจะติดสินบนเขาชวีเฟิงจื่อทำงานอย่างหนัก ทั้งประหยัดอดออมเพื่อให้เ้ามีเงินมากพอสำหรับเข้าร่วมการทดสอบแต่ว่ากับคนประเภทนี้ การจะผ่านเขาเข้าไปนั้นต้องจ่ายเงินมากกว่าค่าเข้าทดสอบมากโข”
เขาหยิบหยกแห่งิญญาระดับต่ำออกมาแล้วมอบให้กับชวีหลิวเอ๋อ“ถือไว้”
ชวีหลิวเอ๋อถือมันไว้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับสิ่งที่อยู่ในมือเวลานี้
อันเจิงดึงมือของชวีหลิวเอ๋อออกมาจากนั้นชี้ไปที่ผู้ดูแลหอสมุด “เล็งไปที่หน้าเขาดี ๆ จากนั้นค่อยเขวี้ยงหยกแห่งิญญาในมือของเ้าออกไปแรงๆ”
ชวีหลิวเอ๋อส่ายหัวรัว ๆ อย่างหวั่นวิตกนางไม่กล้าลงมือ นางกลัวมากจริง ๆ
ตู้โซ่วโซ่ววิ่งเข้ามาจากอีกฟากด้วยโทสะล้นปรี่เล็งเป้าไปที่หน้าของผู้ดูแลหอสมุดแล้วเขวี้ยงหยกแห่งิญญาในมือออกไปสุดกำลังเนื่องจากตู้โซ่วโซ่วผ่านการชำระล้างไขกระดูกมาแล้ว ดังนั้นพละกำลังของเขาจึงมากกว่าชายฉกรรจ์ธรรมดาทั่วไปหลายเท่านัก
หยกแห่งิญญาลอยเป็เส้นตรงแหวกผ่านอากาศออกไปแล้วปะทะเข้ากับดั้งจมูกของผู้ดูแลหอสมุดอย่างจัง ก่อนที่เืกำเดาของอีกฝ่ายจะพุ่งกระฉูดราวกับดอกไม้ไฟในงานเทศกาล
หยกแห่งิญญาระดับต่ำก้อนหนึ่งมีมูลค่ามากถึงหลายหมื่นตำลึงเงินแล้วหลังจากผู้ดูแลหอสมุดเห็นสิ่งที่ถูกเขวี้ยงมาชัด ๆก็รีบก้มตัวลงไปหยิบมันขึ้นมาด้วยท่าทีทะนุถนอม
อันเจิงลากชวีหลิวเอ๋อให้เดินตามไปด้วยกัน เหยียบหยกแห่งิญญาไว้ใต้ฝ่าเท้าเขาก้มตัวลงไปถามอีกฝ่ายที่บัดนี้ใบหน้ายับเยินไปแล้ว “เ้าไม่เห็นทองคำก้อนอยู่ในสายตาแต่หยกแห่งิญญาเพียงแค่ก้อนเดียวกลับสามารถเปลี่ยนให้เ้าเป็ข้ารับใช้ของข้าได้...เป็อย่างไรอยากได้หรือไม่?”
ผู้ดูแลหอสมุดปาดเืกำเดาที่ยังคงไหลออกมาอย่างไม่ใส่ใจพยักหน้าให้ซ้ำ ๆ “อยากได้”
อันเจิงส่ายหัว “แต่ข้าไม่อยากให้เ้า”
เขาก้มลงหยิบหยกแห่งิญญาแล้วนำมันกลับเข้าไปใส่ในกระเป๋าตามเดิม“ทำไมคนอย่างเ้าถึงมาเป็ผู้ดูแลหอสมุดได้นะ ข้ารู้สึกผิดหวังกับที่นี่จริง ๆ”
ผู้ดูแลหอสมุดถูกอันเจิงกลั่นแกล้งสีหน้าของเขาเวลานี้จึงดูน่าเกลียดมาก
อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจอาละวาดหรือทุบตีอีกฝ่ายตามใจชอบได้นั่นเพราะการที่เด็กน้อยคนหนึ่งสามารถหยิบหยกแห่งิญญาออกมาเขวี้ยงใส่คนได้นั้นเื้ัจะต้องไม่ธรรมดามากเป็แน่ผู้ดูแลหอสมุดยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวต่อเื่นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
“สถานที่แห่งนี้คือบ้านของข้าดังนั้นท่านเ้าเมืองจึงได้ขอให้ข้าทำหน้าที่เป็ผู้ดูแลหอสมุดให้”
ผู้ดูแลหอสมุดอธิบาย แล้วถามออกไปด้วยความระมัดระวัง“เ้าเป็ใคร?”
อันเจิงหันหน้ากลับไปมองเสี่ยวชีเต้า “ข้าเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วสิไม่อยากเข้าเรียนที่นี่แล้ว ทำอย่างไรดี?”
ตู้โซ่วโซ่วเอ่ยสนับสนุน “นั่นสินี่มันสถานที่เปรตนรกอันใด น่าขยะแขยงนัก พูดตามตรงนะ ต่อให้ที่นี่เป็สำนักศึกษาที่ดีที่สุดในโลกมายาที่สอนเกี่ยวกับการฝึกตนข้าก็ไม่้าเข้าร่วมแม้แต่น้อย”
ในความเป็จริง เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่อันเจิง้าเข้าร่วมกับสำนักศึกษานี้ก็เพื่อปกปิดที่มาที่ไปของตัวเอง ในหัวของเขามีวิธีการฝึกฝนซึ่งมีประสิทธิภาพอยู่มากมายส่วนตัวเขาเองก็มีประสบการณ์ในการต่อสู้นับไม่ถ้วน ให้เทียบกับสำนักศึกษาอื่น ๆเขายังรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าพวกนั้นมากแต่เนื่องด้วยเขาไม่้าเป็จุดสนใจ ไม่้าให้คนอื่นล่วงรู้ความลับของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหาสำนักศึกษาสักแห่งจากนั้นเข้าไปศึกษาที่นั่น ด้วยวิธีการนี้เมื่อเขาแข็งแกร่งและเติบโตขึ้นก็จะไม่มีผู้ใดสงสัยในตัวตนของเขาอีก
แต่ว่ามาวันนี้หลังจากได้เห็นการวางตัวที่ไร้ยางอายของผู้ดูแลหอสมุดมายาเขาไม่้าอยู่ที่นี่ต่อแล้วจริง ๆ
อันเจิงมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นก็ไปสะดุดตาเข้ากับอาคารสูงหลังหนึ่งซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงข้ามกับหอสมุดมายาพอดีดูเหมือนว่ามันจะอยู่ในสภาพทรุดโทรมมากแล้วเพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ซากปรักหักพัง บานประตูทั้งสองข้างปิดแน่น ที่หน้าประตูมีวัชพืชขึ้นรก
สูงขึ้นไปเหนือบริเวณประตูป้ายไม้อันหนึ่งแขวนอยู่ตรงนั้น ด้านในสลักด้วยอักษรซึ่งอ่านได้ยากสี่คำว่า “สำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์”
ว่ากันว่าเมื่อหลายปีก่อน สำนักแห่งนี้เกือบจะได้รับการยอมรับว่าเป็สำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกมายาแล้วนั่นเพราะอดีตอาจารย์ใหญ่ของที่นี่ก็คืออดีตเ้าเมืองโลกมายานั่นเองแต่หลังจากการมาถึงของมู่ฉางเยียนเ้าเมืองคนปัจจุบัน อดีตเ้าเมืองก็ถูกสังหารพร้อมๆ กับที่สำนักศึกษาแห่งนี้ถูกโค่นล้มและถูกทำลายตามไปด้วย
มู่ฉางเยียนตั้งใจสร้างหอสมุดมายาขึ้นตรงกันข้ามกับสำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์เพราะยิ่งหอสมุดมายาเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความถดถอยและเสื่อมโทรมของสำนักฝึกวรยุทธ์เบิก์มากขึ้นเท่านั้น
“ไปที่นั่นกัน”
อันเจิงจูงเสี่ยวชีเต้าและชวีหลิวเอ๋อให้เดินตามกันไป “ก็แค่การบ่มเพาะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้”
ผู้ดูแลหอสมุดที่ถูกเมินใส่ตกตะลึงไปครู่หนึ่งหลังได้สติกลับมาก็ด่าไปด้วยท่าทีเหยียดหยาม “ไอ้พวกหน้าโง่!”
อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าตวาดเสียงดังนักเพราะเขาไม่ทราบที่มาที่แท้จริงของอันเจิง
ในขณะนี้เองบัณฑิตมู่ฉางเยียนก็เดินออกมาจากหอสมุดมายา หลังจากชำเลืองมองพวกเขาชั่วครู่ก็พูดออกมา“เข้ามาสิ”
อันเจิงหันกลับไปถามเสี่ยวชีเต้า “เ้าอยากไปหรือไม่?”
เสี่ยวชีเต้าส่ายหัวรัว ๆ ปฏิเสธกลับไป “ข้าไม่ไปข้าอยากติดตามพี่ชายอันเจิง!”