เื่ที่อันเจิงกลับไปที่ร้านเหล้าของแม่นางเยว่ในย่านหนานชานเพียงลำพังนั้นตู้โซ่วโซ่วกับจงจิ่วเกอไม่รู้เื่แม้แต่น้อย
หลังจากอันเจิงกลับมาแล้วในใจก็ยังรู้สึกตงิด ๆ ไม่หายเขาสงสัยว่าเพราะเหตุใดตอนกลับมาเขาถึงไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลยเขาเคยดำรงตำแหน่งผู้าุโของกรมตุลาการแห่งราชสำนักต้าซีมาก่อน เคยพบเจออันตรายมานับไม่ถ้วน?เขาย่อมชัดแจ้งแก่ใจดีว่า ในคืนนี้หลังจากที่เฉินผู่ตายไปแล้ว สถานการณ์ในย่านหนานชานจะต้องย่ำแย่และเลวร้ายลงเป็แน่ซึ่งการที่เขาย้อนกลับไปก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว เพราะมีความเป็ไปได้ถึงเจ็ดแปดส่วนที่จะได้รับอันตรายด้วยเหตุนี้เขาถึงได้ไปหาแม่นางเยว่เพียงลำพังตั้งใจไว้ว่าหลังจากคุยธุระเสร็จและประสบความสำเร็จกลับมา ค่อยบอกข่าวดีนี้แก่ตู้โซ่วโซ่วฟังอีกทีแต่ถ้าหากไม่ประสบผลสำเร็จเขาก็จะไม่พูดถึงเื่นี้อีก
แต่คืนนี้ถนนแถวย่านหนานชานกลับเงียบสงบอย่างน่าประหลาด
อันเจิงไม่รู้เลยว่า ก่อนหน้าที่เขาจะไปถึงร้านเหล้าบัณฑิตวัยกลางคนในชุดคลุมตัวยาวผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นจากนั้นอาศัยเขาเพียงคนเดียว ใช้นิ้วเพียงหนึ่งนิ้วก็สามารถสังหารเหล่าอันธพาลบนท้องถนนไปมากกว่าสองร้อยเจ็ดสิบเก้าชีวิตขอแค่มาเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนให้เขาเห็น เขาก็ลงมือฆ่าหมดไม่เลือก ทั้งยังไม่สนใจด้วยว่าจะเป็ฝ่ายไหนดังนั้นอิทธิพลใหญ่ที่เขากวาดล้างไปจึงมีทั้งตระกูลเฉิน สำนักต้าโค่วรวมถึงไปกองกำลังอื่น ๆ ที่คิดจะอาศัยจังหวะนี้แทรกตัวเข้ามาแล้วตั้งตนเป็ใหญ่อย่างไรก็ดี ถนนย่านหนานชานในค่ำคืนนี้กลับไม่ปรากฏคราบเืให้เห็นแม้แต่น้อย แต่ก็ว่าไม่ได้แต่ไหนแต่ไรมาบัณฑิตฆ่าคนก็ไม่เคยทิ้งคราบเืให้เห็น ตอนที่อันเจิงเดินผ่านย่านหนานชานใช่ว่าเขาจะไม่ชะโงกหน้าเข้าไปสังเกตตรอกเล็กตรอกน้อยที่เดินผ่าน เขาดูแล้ว แต่ไม่เห็นศพแม้แต่ศพเดียว
อันเจิงหย่อนตัวนอนลงบนกิ่งไม้จมเข้าสู่ภวังค์ความคิด ตู้โซ่วโซ่วเห็นเขาก็กระดกก้นขึ้นมานั่งข้าง ๆ
“เ้ากำลังทำอะไรอยู่?” ตู้โซ่วโซ่วเอ่ยถาม
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าพวกเราจะไปไหนต่อดีถ้าหากแม่นางเยว่ไม่ยอมช่วยพวกเราชำระล้างไขกระดูกพวกเราคงไม่อาจเข้าสำนักหรือนิกายไหนได้”
เขามองไปยังตู้โซ่วโซ่วที่ทำท่ากระดกก้นไม่หยุด “เ้าทำอะไรของเ้า?”
ตู้โซ่วโซ่วยืดอก พูดออกไปว่า “สิ่งแรกที่ข้าต้องทำหลังจากตื่นขึ้นมาในยามเช้าก็คือการเข้าไปนั่งขี้ในห้องน้ำแต่เมื่อวานข้าขี้มาตลอดทั้งวันจนไส้แทบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงทำตามความเคยชินแต่ข้าไม่ขี้หรอกนะ”
“เ้าอยากจะนั่งยอง ๆ ก็นั่งไปสิ จะสะบัดก้นทำบ้าอะไร?”
จงจิ่วเกอที่นั่งพิงอยู่บนกิ่งไม้อีกกิ่งใกล้ ๆหลับตาลงแล้วช่วยตอบคำถามนี้แทน “ท่านอัน เื่นี้เ้าไม่รู้ได้อย่างไรหลังจากนั่งเสร็จก็ต้องสะบัดก้นปิดฉากสิ...”
อันเจิงรู้สึกละเหี่ยใจขึ้นมาทันทีถอนหายใจเสียงเบา แอบด่าทั้งคู่ในใจว่าหน้าด้านเสียจริง
“อันเจิง ข้าขอถามอะไรเ้าสักข้อสิ”
ตู้โซ่วโซ่วกระแทกก้นลงบนกิ่งไม้เสียงดังแรงกระแทกพาเอาต้นไม้ทั้งต้นสั่นะเืรุนแรง ส่งผลให้อันเจิงที่นั่งอยู่ใกล้ ๆรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเรือเล็กที่ลอยคว้างอยู่กลางคลื่นลมทะเล
“ว่ามา”
“เ้าเคยมีหญิงสาวที่ชอบหรือไม่?”
“ไม่เคย”
“เพราะเหตุใดเล่า?”
อันเจิงเหลือบตามองตู้โซ่วโซ่ว “ในย่านหนานชานเด็กที่มีอายุเหมาะสมกับพวกเราคงมีไม่มากเท่าไหร่กระมัง?หรือต่อให้มี จะมีเด็กผู้หญิงที่ไหนออกมาวิ่งตามถนนเ้าเพิ่งจะอายุได้สิบขวบเท่านั้น ทั้งวันคิดเื่ไร้สาระอะไรอยู่”
ตู้โซ่วโซ่วแย้ง “ชีวิตในอุดมคติของข้าก็คือการหาสาวงามสักคนหนึ่งมาแต่งด้วยจากนั้นให้นางคลอดลูกให้ข้าเยอะ ๆข้าจะสร้างร้านค้าในย่านหนานชานแห่งนี้สักหลายร้านหน่อย แบบที่ว่าตื่นมาก็นับเงินเลยข้าฝันไว้ว่า วันหนึ่งหลังจากตื่นนอนและออกมาเปิดร้านในยามเช้าแล้ว ข้าจะจับจูงเมียของข้าพานางเดินไปด้วยกันบนถนน ให้ทุกคนอิจฉาในความร่ำรวยและความสุขของข้า ยามที่นางส่ายเอวน้อยๆ ไปมา ข้าจะยื่นมือออกไปแล้วช่วยโอบนางไว้”
จงจิ่วเกอขัดขึ้นทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท “เ้าอัปลักษณ์ขนาดนี้จะมีสาวงามที่ไหนยอมแต่งให้เ้า”
ตู้โซ่วโซ่วเอ็ดกลับไป “เ้าไม่เห็นหรือว่าข้างกายคนงามที่เดินบิดสะโพกอยู่บนถนนทุกวันนี้ ก็มีแต่ผู้ชายหน้าตาน่าเกลียดด้วยกันทั้งนั้นแถมพวกมันทั้งอ้วนทั้งอัปลักษณ์ ตัวข้านี้ยังดูดีกว่าพวกมันอีก ดังนั้นในภายหน้าข้าก็สามารถเป็อย่างพวกมันได้เหมือนกัน”
จงจิ่วเกอยกนิ้วหัวแม่มือให้อย่างนับถือ ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วพึมพำเสียงเบา“คน...คนงาม”
ตู้โซ่วโซ่วเบะปากให้ “เ้าฝันกลางวันอยู่หรือไง?”
ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาก็สังเกตเห็นว่าอันเจิงมองผ่านเขาไปในแววตาอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความสงสัยและหวาดระแวง มองตามสายตาของอันเจิงไปตู้โซ่วโซ่วก็เห็นสาวงามนางหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า นางคือหญิงงามที่ทำให้บุรุษทั้งย่านหนานชานไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างพากันหลงใหลไปกับความงามนี้จนแทบเสียสติ ใช่แล้ว....สตรีเบื้องหน้าของพวกเขาตอนนี้ก็คือแม่นางเยว่เถ้าแก่ของร้านเหล้าย่านหนานชานนั่นเอง วันนี้แม่นางเยว่สวมชุดตัวยาวสีเหลืองอ่อนขับเน้นความงามตามแบบฉบับหญิงสาวแรกแย้มได้เป็อย่างดีช่างเป็สตรีที่น่าอัศจรรย์จริง ๆแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็สามารถเปลี่ยนบรรยากาศที่แผ่กระจายอยู่รอบกายได้แล้ว
แม่นางเยว่เงยหน้าขึ้นมองดูทั้งสามคนถามขึ้นว่า “เช้า ๆ แบบนี้พวกเ้าไปนั่งทำอะไรอยู่บนต้นไม้?”
ตู้โซ่วโซ่วกำลังจะเปิดปากตอบกลับไปแต่อันเจิงยกมือขึ้นมาอุดปากเขาไว้เสียก่อนเขากลัวเหลือเกินว่าตู้โซ่วโซ่วจะหลุดปากสารภาพความจริงออกไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเื่ความเคยชินของเขาที่ต้องลุกขึ้นมานั่งยอง ๆแล้วสะบัดก้นทุกเช้าเื่นั้น
“พวกเรามานั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าจากนั้นก็รอกล่าวอรุณสวัสดิ์กับท่านอย่างไรเล่า”
อันเจิงยกยิ้มเล่นหูเล่นตาทว่าในใจมีแต่ความกังวลล้นปรี่ เมื่อคืนเขาเพิ่งจะไปเยือนร้านเหล้าของนางมาแต่ไม่ได้เคาะประตู เขาทิ้งห่อผ้าเล็ก ๆ ห่อหนึ่งเอาไว้ ไม่กลัวว่าผู้อื่นที่เดินผ่านไปผ่านมาจะหยิบผ้าห่อนั้นติดมือกลับไปด้วยเพราะเขาััได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่กระจายอยู่รอบบ้าน เขารู้ได้ทันทีว่า แม่นางเยว่ตอนนั้นมีเจตนาสังหารขึ้นมาแล้วจริงๆ ดังนั้นตอนนี้การที่เ้าตัวตามมาหาเขาถึงที่อันเจิงจึงไม่รู้ว่าแม่นางเยว่ผู้นี้มีจุดประสงค์ใดกันแน่?
ความตื่นตัวและระมัดระวังที่อันเจิงมีต่อแม่นางเยว่เพิ่มมากขึ้นหลายเท่า ส่วนแม่นางเยว่เองทำไมจะไม่รู้ว่าจะเกิดเื่แบบนี้ขึ้นทว่าหลังจากได้ยินเื่ความเป็มาที่ไม่ชัดเจนของอันเจิงจากปากมู่ฉางเยียนแล้ว นางก็ได้คำตอบขึ้นมาว่าเพราะเหตุใดตอนที่เจอกับเด็กน้อยอันเจิงผู้นี้ครั้งแรก นางถึงได้รู้สึกว่าแววตาของเด็กชายคนนี้มีบางอย่างที่แตกต่างไปจากเด็กทั่วไป
“ข้ามีธุระจะคุยกับเ้า ธุระจริงจังมากเสียด้วย”
แม่นางเยว่พูดขึ้นอย่างกะทันหัน กระชับสั้นได้ใจความหลังจากจบประโยคก็หมุนตัวแล้วเดินจากไปอันเจิงะโลงมาจากกิ่งไม้ที่นั่งอยู่ตามหลังอีกฝ่ายไปติด ๆตู้โซ่วโซ่วเห็นทั้งสองเดินออกไปด้วยกัน คนหนึ่งนำหน้าอีกคนตามหลังก็ให้รู้สึกอิจฉานิด ๆ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลยไม่รู้ว่าอันเจิงจะจัดการได้หรือไม่”
จงจิ่วเกอด่ากลับ “ไอ้ลามก”
ตู้โซ่วโซ่วฟังแล้วอึ้งไปนิ่งค้างไปชั่วครู่ด้วยเพราะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ทำไมจงจิ่วเกอถึงด่าตัวเองว่าไอ้ลามก
แม่นางเยว่เดินนำอยู่ข้างหน้าอันเจิงสาวเท้าตามหลังไปติด ๆ แต่ระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นก็ยังรักษาไว้เช่นเดิมฝีเท้าที่ใช้เดินสม่ำเสมอ ความเร็วไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนี่เป็ครั้งแรกที่แม่นางเยว่ััได้ถึงความระมัดระวังระดับนี้จากตัวเด็กอายุน้อยผู้หนึ่งดังนั้น จากคำพูดที่มู่ฉางเยียนเคยคาดเดาไว้จึงทำให้นางมีความมั่นใจขึ้นหลายส่วน
กระทั่งเดินมาจนถึงด้านหลังของป่าลึกแม่นางเยว่ก็หมุนตัวกลับมาพูดกับเขา “ข้าค่อนข้างสนใจความเป็มาของเ้าเด็กกำพร้าคนหนึ่งบนถนนแถวย่านหนานชาน คงไม่มีปัญญาเขียนวิธีฝึกวรยุทธ์ขั้นสูงเช่นนั้นออกมาได้แน่แต่ข้าจะไม่ถามเ้า เพราะทุกคนล้วนมีความลับเป็ของตัวเองเหมือนกับที่เ้าอยากขอให้ข้าช่วย แต่กลับไม่เอ่ยปากถามหาสาเหตุว่าเพราะเหตุใดข้าถึงได้แอบซ่อนตัวตนปิดบังพลังวัตรของตัวเองไว้ ในสายตาของข้าข้าไม่ได้มองเ้าเป็เพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ดังนั้น เ้าไม่จำเป็ต้องเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็เด็กน้อยเพื่อให้ข้าลดความระแวงลงพวกเรามาเปิดอกคุยกันตรง ๆ เลย เ้าเห็นว่าอย่างไร”
อันเจิงหัวเราะชอบใจฟันขาวเรียงเป็ระเบียบโผล่พ้นออกมาให้เห็นรอยยิ้มนั้นดูจริงใจและไม่เป็พิษเป็ภัย “เชิญท่านพูด”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่อ้อมค้อมแล้วที่เ้ามาหาข้าเมื่อคืนเพราะอยากให้ข้าช่วยเ้าชำระล้างไขกระดูกใช่หรือไม่?”
อันเจิงส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ใช่ข้าแต่เป็พวกข้าต่างหาก”
แม่นางเยว่ชะงัก “สองคนเลยรึ?ถ้าอย่างนั้นของตอบแทนแค่วิธีฝึกวรยุทธ์เล่มเดียวคงไม่พอกระมัง”
อันเจิงยักไหล่ตอบ “เขียนให้ท่านอีกสักเล่มสองเล่มก็ยังได้”
“ไม่จำเป็ วิธีการฝึกวรยุทธ์ชั้นสูงเล่มนั้นถึงแม้จะเหมาะกับสภาพร่างกายของเสี่ยวชีเต้า แต่ตอนนี้เขายังเล็กอยู่หากเปลี่ยนเป็อีกสิบปีข้างหน้า ไม่แน่ว่าอาจพอมีประโยชน์บ้างข้ามีความคิดอยากจะส่งเสี่ยวชีเต้าไปที่หอสมุดมายาหลังจากข้าช่วยพวกเ้าชำระล้างไขกระดูกแล้ว ข้าอยากให้พวกเ้าช่วยคุ้มครองเขาดูแลเขาแทนข้า ส่วนวิธีที่จะทำให้พวกเ้าเข้าไปอยู่ในหอสมุดมายาได้นั้นข้าจะเป็คนจัดการเอง รับรองได้เลยว่า พวกเ้าจะได้รับการปรนนิบัติดูแลอย่างดี ในฐานะที่สูงส่งยิ่งกว่าลูกศิษย์ธรรมดาของหอสมุดมายาแน่นอน”
อันเจิงไม่ได้ติดใจสงสัยเื่นี้เขารู้อยู่แล้วว่าแม่นางเยว่จะต้องมีความเป็มาและเื้ัที่แข็งแกร่ง
เพราะนี่คือการแลกเปลี่ยนดังนั้นการพูดคุยตกลงระหว่างสองฝ่ายจึงราบรื่นไม่มีปัญหาทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหอสมุดมายา แม่นางเยว่ไม่รู้สึกเป็ห่วงแม้แต่น้อยเพราะเ้าของหอสมุดมายาก็คือมู่ฉางเยียน นางเชื่อใจเขา
่เวลาที่อันเจิงตกลงทำการค้ากับแม่นางเยว่ในส่วนลึกของป่าภายในจวนตระกูลเฉินที่ถูกโค่นล้มไปแล้วเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังูเาจำลอง มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าด้านหลังูเาจำลองของตระกูลเฉินมีเส้นทางลับสายหนึ่งซ่อนอยู่ด้านใน เส้นทางนี้มุ่งตรงไปยังห้องลับที่เป็สถานที่เก็บสมบัติอันมีค่ามหาศาลของจริงของตระกูลเฉินหลังจากแผนการของเฉินผู่ประสบความสำเร็จ สิ่งแรกที่เขาทำคือการส่งเฉินชี บุตรชายของเขาเข้าไปซ่อนไว้ในห้องลับแห่งนั้นจากนั้นทิ้งลูกน้องฝีมือดีหลายคนไว้ที่นี่ ให้ค่อยคุ้มครองเฉินชีอย่างลับ ๆ ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางเดินดุ่มๆ ไปหาอันเจิงที่เรือนเล็กหลังนั้นตัวคนเดียวแน่
เบื้องลึกเื้ัของตระกูลเฉินซับซ้อนและยิ่งใหญ่ขนาดไหนคนนอกไม่มีทางรู้แต่เฉินผู่ที่ทำงานรับใช้ ทนเป็ขี้ข้าให้ตระกูลเฉินโขกสับมานานปีรู้เห็นทั้งหมดของที่อยู่ในห้องลับแห่งนี้มีค่ามากกว่าของที่เฉินผู่ตัวปลอมอย่างจงจิ่วเกอนำออกไปเสียอีก
เฉินชีแบกห่อผ้าขนาดใหญ่หลายต่อหลายห่อขึ้นหลังหลังจากนั้นจึงหันไปโบกมือให้กับเหล่านักรบเดนตายที่ถูกฝึกมาอย่างดีโดยเฉินผู่ทุกคนขยับขึ้นมาจากทุกทิศ รอรับคำสั่งจากเฉินชี
เฉินชีพูดออกมาแค่สองประโยค “พาข้าไปพบหัตถ์ิญญาและระหว่างทางบอกเล่ารายละเอียดการตายของพ่อข้ามาให้หมด”
คนที่เข้ามาอาศัยในโลกมายาแห่งนี้มีอยู่ทุกประเภทแต่ว่าเหตุผลหลักที่คนส่วนใหญ่อพยพลี้ภัยเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้กลับเหมือนกันนั่นก็คือหากไม่ถูกคนตามฆ่า ก็หมดหวังไม่มีที่ไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลเฉินจึงอาศัยจุดดังกล่าวชุบเลี้ยงคนมีฝีมือหรือคนที่พอจะเป็ประโยชน์ได้เอาไว้ไม่น้อยฉายาหัตถ์ิญญานามท่านจิ่วผู้นี้ก็เป็หนึ่งในนั้น
ในห่อผ้าที่แบกอยู่บนหลังเฉินชีขณะนี้ มีบันทึกเล่มหนึ่งเก็บซ่อนเอาไว้สมุดบันทึกเล่มนี้มีรายนามของผู้มีฝีมือในย่านหนานชานที่ถูกคนตระกูลเฉินชุบเลี้ยงหรือควบคุมได้
แน่นอนว่าการได้สมุดรายชื่อเล่มนี้ไม่ต่างอะไรไปจากการที่เฉินชีได้เส้นเืหลักที่สำคัญบัดนี้สิ่งที่มีค่าที่สุดของตระกูลเฉินได้ตกอยู่ในกำมือของเขาเรียบร้อยแล้ว
เติ้งป้าลูกน้องคนสนิทของเฉินผู่แบกร่างเฉินชีเอาไว้บนหลังก่อนจะทะยานออกไปเขาวิ่งไปพลางพูด “นายน้อย ข้าคิดว่านายท่านน่าจะตายอยู่ที่บ้านไอ้เด็กอันเจิงผู้นั้นตอนนี้ข้าสั่งให้คนของพวกเราออกไปค้นหาศพแล้วแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงถูกพลังอำนาจสายหนึ่งหยุดยั้งไว้ ทำให้งานไม่คืบหน้า ข้าน้อยคิดว่าสิ่งที่จำเป็ที่สุดสำหรับพวกเราตอนนี้ก็คือการแอบซ่อนตัวไว้ก่อน ส่วนเื่ล้างแค้นค่อยรอชำระในวันหน้าก็ยังไม่สายยิ่งตัวตนของท่านเป็ที่รู้จักไปทั้งย่านหนานชาน ยิ่งต้องระวังมากเป็พิเศษเพราะพวกที่้าสมบัติของตระกูลเฉินนั้นมีไม่น้อยเลย”
เฉินชีพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “ลุงเติ้ง ข้ารู้ดีว่าข้าต้องทำอย่างไรเพราะงั้นข้าถึงได้ขอให้ท่านพาข้าไปหาท่านจิ่วหัตถ์ิญญาอย่างไรเล่า”
ใบหน้าของเติ้งป้าฉายแววโศกเศร้าเล็กน้อยเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไป “นายน้อย...ตอนนี้ท่านเป็คนใหม่มีฐานะใหม่แล้ว”
เฉินชีขานรับในลำคอเสียงเบาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็แค่ชื่อ ไม่จำเป็ต้องใส่ใจอะไรมากตราบใดที่มันสามารถทำให้ข้าแก้แค้นแทนท่านพ่อของข้าได้ ต่อให้ต้องใช้สกุลเดียวกันกับศัตรูข้าก็ไม่สนยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเราไม่ได้มีเพียงแค่การแก้แค้นอย่างเดียวแล้วท่านพ่อส่งต่อพวกเ้าให้ข้า มอบข้าให้พวกเ้าดูแล ถ้าหากพวกเราทำให้ท่านพ่อผิดหวังข้าจะมีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร? พวกเราต้องกลายเป็ขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมายาแห่งนี้ให้ทุกคนหมอบกราบอยู่แทบเท้าข้าให้ได้”
เติ้งป้าเอ่ย “นายน้อยโปรดวางใจ ต่อให้ข้าน้อยต้องตายก็จะรักษาชีวิตของท่านเอาไว้ให้ได้”
กลุ่มคนวิ่งผ่านตรอกเล็ก ๆไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าบ้านเล็กหลังหนึ่งที่ไม่มีอะไรสะดุดตา
เฉินชีะโลงมาจากหลังเติ้งป้าเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้าน หลังจากจัดเสื้อผ้าของตนเองเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปยืนอยู่หน้าประตูไม้ กระแอมล้างคอแล้วกล่าวออกไปด้วยเสียงดังฟังชัด “ผู้ด้อยาุโเฉินชีขอเข้าพบท่านจิ่ว”
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูดังส่งมาชายชราในสภาพขี้เมาดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ร่างกายซูบตอบผอมแห้งปรากฏขึ้นในครรลองสายตาชายชราผู้นั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย มองมาทางเฉินชีก่อนจะถามขึ้น “คนของตระกูลเฉินรึ?”
“มิผิดขอรับผู้ด้อยาุโพบปัญหาบางอย่าง จึงเดินทางมาที่นี่เพื่อมาขอรับบุญคุณที่ท่านจิ่วเคยติดค้างไว้คืน”
“ของเล่า?”ชายชราทวงถาม
เฉินชีล้วงเข้าไปหยิบหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแกว่งมันไปมาแสดงให้อีกฝ่ายดู “ป้ายคำสั่งประจำตระกูลเฉินสำหรับแขกผู้มาเยือน คิดว่าท่านจิ่วคงจะยังจำได้”
ชายชราตอบรับก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน“ตระกูลเฉินตอนนี้คงจบสิ้นแล้วสินะถึงได้ให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเ้าขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำแทน”
เฉินชีที่เดินตามหลังเข้าไปพูดขึ้นในขณะที่เดินไปด้วยว่า “ท่านผู้าุโไม่จำเป็ต้องสอดมือเข้ามายุ่ง เพียงทำเื่ที่สมควรทำเท่านั้นก็พอ”
ฝีเท้าของชายชราหยุดลงทันทีเขาไม่ได้หันหน้ากลับไปแต่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เ้าพูดไม่ผิดข้าติดค้างหนี้น้ำใจคนตระกูลเฉินของพวกเ้า คืนแล้วก็จบไม่จำเป็ต้องพูดคุยกันมากไปกว่านี้”
“บอกมา...เ้า้าอะไร” ชายชราถาม
เฉินชีชี้ไปที่แขนที่ห้อยต่องแต่งอยู่ของเขา“ช่วยข้ากู้คืนแขนข้างนี้”
ชายชรามองไปที่แขนเฉินชีอย่างพิจารณาส่ายหัวให้เบา ๆ “กู้คืนไม่ได้ เส้นเอ็นขาดหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเวลาก็ล่วงเลยมานานเกินไปหากเ้ามาเร็วกว่านี้ ข้าคิดว่าน่าจะยังพอมีหวังอยู่”
เฉินชีถามต่อ “แล้วข้าต้องทำอย่างไรแขนข้างนี้ของข้าถึงจะกลับมาใช้งานได้?”
ชายชราตอบ “ตัดทิ้งซะ แล้วก็เปลี่ยนแขนใหม่”
เฉินชีขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าให้ “เช่นนั้นก็ตัดมันทิ้งแล้วเปลี่ยนแขนใหม่ให้ข้า”
ชายชราเอ่ยถาม “เ้าไม่กลัวเจ็บรึ?”
เฉินชีแสยะยิ้มเย็น “ใจเจ็บมามากแล้วข้าจึงไม่กลัวว่าที่อื่นจะเจ็บอีก”
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปทันทีเขาถอนหายใจออกยาว ค่อย ๆ อธิบายไปว่า “การเปลี่ยนแขนไม่ได้ง่ายอย่างที่เ้าคิดไม่เพียงแต่ต้องมีหยกแห่งิญญาระดับกลางอย่างน้อยสามสิบก้อนแต่ยังต้องใช้แขนที่เพิ่งจะถูกตัดออกมาสด ๆ ใหม่ ๆมิหนำซ้ำเ้าของแขนใหม่ยังต้องมีเืใกล้เคียงกับของเ้าอีกด้วย”
เฉินชีหันไปสั่งการเติ้งป้าทันที “ไปหาแขนของเด็กที่มีอายุใกล้เคียงกับข้ามายิ่งมากยิ่งดี ถ้าหาไม่ได้เอาแขนของคนที่มีอายุมากกว่าข้าหน่อยก็ไม่เป็ไรเร็วเข้า ข้าไม่อยากรออีกแล้ว”
เติ้งป้าพยักหน้า “ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ถ้าหากแขนของเด็กทั้งหมดในย่านหนานชานแห่งนี้ใช้การไม่ได้ข้าน้อยก็จะไปตัดจากที่อื่นมาให้”
พูดจบก็หันหลังแล้วเดินออกไป
เฉินชีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ช่วยเปลี่ยนใบหน้าให้ข้าด้วยได้หรือไม่”