่นี้ลึกๆ แล้วต้านเสวี่ยรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
วันนั้นหลังจากกลับจากจวนอ๋อง นางกลัวว่าชิงอีจะขับไล่ให้กลับไปหาคนของเซียวเจวี๋ย นางจึงกลับวังมาจัดการคนของไทเฮาที่สร้างปัญหาพวกนั้นโดยไม่มีการออมมือแต่อย่างใด ทั้งยังโเี้ยิ่งกว่าหลิงเฟิงเสียอีก
นับจากวันที่ชิงอีเปิดโปงและไม่ใส่ใจนาง
เดือนต่อมา การปฏิบัติระหว่างนางกับเถาเซียงก็ต่างกันมาก ซึ่งหากทำได้ดีก็จะมีการตกรางวัลให้
ภายใต้บุญบารมีของชิงอีทำให้ต้านเสวี่ยเกือบลืมว่าตนคือคนสอดแนมซึ่งรับหน้าที่สำคัญมาจากจวงอ๋อง นางคิดว่าตนเองก็ไม่ได้ต่างจากชิงอีมากนัก องค์หญิงเป็คนตรงไปตรงมา ดังนั้น ตราบเท่าที่ไม่หัวหมอแล้วปรนนิบัติได้เรียบร้อยก็จะไม่โดนอะไร
ต้านเสวี่ยเดินมาพร้อมกับชุดน้ำชา เมื่อเห็นร่างของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในลานตำหนักก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปหา “องค์หญิง เหตุใดวันนี้ถึงได้ตื่นบรรทมไวขนาดนี้ล่ะเพคะ?”
ปกติหากไม่ใช่่สายก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมาเลยน่ะสิ!
“อืม ่นี้ข้านอนเต็มอิ่มน่ะก็เลยอยากลุกขึ้นมาขยับเนื้อขยับตัว” ชิงอีฉวยกาน้ำชาจากมือนางไปและดื่มชาจากกาตรงๆ แล้วล้มตัวลงนอนด้วยท่าทางอ่อนปวกเปียกอย่างเกียจคร้านตรงกลางลานนั้น “เสี่ยวเถาเอ๋อร์ล่ะ?”
ต้านเสวี่ยวางชุดน้ำชาลงบนโต๊ะข้างๆ และนำขนมมาให้ชิงอี เสร็จแล้วค่อยตอบพร้อมรอยยิ้ม “เถาเซียงไปห้องเครื่องเพื่อดูแลอาหารกลางวันขององค์หญิงเพคะ เมื่อคืนท่านตรัสว่าท่าน้าเสวยซุปเต้าหู้หมักมิใช่หรือเพคะ? ซุปนี้ทำค่อนข้างยาก นางกลัวว่าคนในห้องเครื่องจะไม่ตั้งใจทำถึงได้ไปจับตามองอยู่เรื่อยๆ คาดว่าน่าจะกลับมาในไม่ช้านี้เพคะ”
ชิงอียิ้มจนตาหยีพร้อมกล่าวชมเชย “พวกเ้าสองคนนี่รู้งานดีจริงๆ”
พอได้ยินคำชมจากองค์หญิง ต้านเสวี่ยก็มีความสุขเป็อย่างมาก ทว่า เมื่อสติกลับคืนมาก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เหตุใดตนเองกับเถาเซียงถึงหลงใหลและเคลิบเคลิ้มกันง่ายดายขนาดนี้?
หลังจากดื่มชาไปสองถ้วยบวกกับติ่มซำอีกสามชิ้นแล้ว ชิงอีอิ่มจนรู้สึกว่าพุงยื่นออกมาเล็กน้อยจึงเตรียมจะสั่งให้ต้านเสวี่ยไปเรียกเถาเซียงกลับจากห้องเครื่อง เพราะตอนนี้คงกลืนซุปเต้าหู้หมักนั่นอีกไม่ไหวแล้ว ทว่า มีร่างเล็กวิ่งด้วยความรีบร้อนเข้ามา
“แย่แล้วเพคะ...อะ...องค์หญิง...เกิด...เกิดเื่ใหญ่แล้วเพคะ” เถาเซียงพูดอย่างกระหืดกระหอบ
“รีบร้อนขนาดนั้นเลยหรือไง?” ชิงอีที่ดูอารมณ์ดีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้นางด้วยท่วงท่าสง่างามประดุจฮองเฮา
เถาเซียงถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะยามมองหน้าทรงเสน่ห์ที่ยื่นเข้ามาใกล้ ทั้งรับรู้ถึงหัวใจที่เต้นไม่เป็จังหวะและยังรู้สึกเขินอายอีกต่างหาก
ชิงอีหัวเราะคิกคักขึ้นมาด้วยความพึงพอใจกับปฏิกิริยาของนาง
“องค์หญิงเพคะ!” เถาเซียงย่ำเท้าอย่างเขินๆ ่นี้พอเริ่มเข้ากันได้ดี ชิงอีมักทำให้นางอายจนหน้าแดงและใจเต้นไม่เป็ส่ำแล้วหัวเราะชอบใจ เมื่อได้ััถึงด้านมืดขององค์หญิงตัวร้ายของตนแล้วทำให้เถาเซียงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่เช่นนี้ แถมยังรู้สึกอับจนหนทางเป็อย่างยิ่ง
ทว่า นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นตลก “องค์หญิงทรงฟังหม่อมฉันก่อนนะเพคะ เื่นี้มันเลวร้ายจริงๆ เพคะ!”
“อืม ฟังอยู่” ชิงอีหาวออกมา
เถาเซียงเต้นเร่าๆ อย่างกระวนกระวายและพูดโพล่งออกไปว่า “เมื่อครู่หม่อมฉันอยู่ในห้องเครื่องได้ยินคนของไทเฮาพูดว่าไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ให้ท่านไปวัดตงหวาเพื่อสวดขอพรให้ฝ่าา แถมยังตรัสอีกว่าท่านต้องบำเพ็ญตนตามหลักศาสนา ฝ่าาหายดีเมื่อไรถึงจะสามารถเสด็จกลับมาได้เพคะ!”
“นี่มันเป็การขับไล่องค์หญิงชัดๆ เลยนะ?!” ต้านเสวี่ยรู้สึกพะวงเมื่อได้ยินแบบนั้น “บำเพ็ญตนตามหลักศาสนาอะไรนั่นต่างจากพระอย่างไรกัน เช่นนี้ภายหลังองค์หญิงจะอภิเษกสมรสได้อย่างไรล่ะ?!”
ทั้งคู่ต่างกังวลใจเป็อย่างมาก ทว่า ชิงอีกลับนอนตัวอ่อนปวกเปียกไม่สะทกสะท้านใดๆ ไม่แม้จะร้อนรนกับการถูก ‘ไล่’ ออกจากวัง
“องค์หญิงเพคะ!”
“อย่ากังวลใจไป” ชิงอีเอ่ยอย่างใจเย็น “อยู่แต่ในวังหลวงน่าเบื่อจะตายไป ถือเสียว่าเป็โอกาสในการออกไปเดินเล่นเถอะ”
เถาเซียงกับต้านเสวี่ยต่างมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี เช่นเดียวกับหลิงเฟิงที่เพิ่งเข้ามาจากด้านหลังแต่พอได้ยินบทสนทนานั้น เขาก็หายตัวไปอย่างเงียบๆ
ชิงอีเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ
พระราชเสาวนีย์ที่จะให้ชิงอีไปวัดตงหัวเพื่อสวดมนต์อธิษฐานแด่ฮ่องเต้ได้ถูกส่งมายังตำหนักเชียนชิวทันทีที่รับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อย
หลังจากรับพระราชเสาวนีย์มาแล้ว ชิงอียังคงสงบนิ่งและขอให้เถาเซียงและต้านเสวี่ยเก็บเสื้อผ้า ซึ่งสองสาวแม้จะโกรธแต่ก็ไม่อาจบ่นอะไรออกมาได้และได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด
หลิงเฟิงซึ่งอยู่ใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “องค์หญิง ท่านอ๋องน่าจะได้รับข่าวแล้ว พวกเรารอกันก่อนดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ชิงอีชำเลืองมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เ้าแบ่งเบาความกังวลแทนเซ่อเจิ้งอ๋องทั้งที่รับเงินเดือนที่ข้ามอบให้ นี่เ้ายังไม่ลืมนายเก่าสินะ”
หลิงเฟิงน้ำท่วมปาก แม้นึกคำพูดดีๆ มาตอบกลับไปอยู่คำสองคำ ทว่า สายตาของชิงอีดูจะมองทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงได้แต่กลืนคำเ่าั้ลงไปแทน
“ไปช่วยเถาเซียงและคนอื่นๆ เก็บข้าวของเถอะ”
หลิงเฟิงพยักหน้าลงเพื่อน้อมรับคำสั่ง พอเขาเดินลับหลังออกมาก็ได้ยินเสียงของนางเอ่ยอย่างแ่เบาว่า “ที่ข้าเก็บเ้าไว้ใกล้กายไม่ใช่เพื่อให้เ้ามาอวดฉลาด”
ใจหลิงเฟิงหล่นวูบและ้าหันกลับไปอธิบาย แต่ชิงอีก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว เขาจึงคอตกแล้วมองหาเถาเซียงและคนอื่นๆ พร้อมกับอดที่จะพึมพำออกมาไม่ได้ว่านิสัยของว่าที่หวังเฟยผู้นี้ ช่างยากที่จะเข้าใจเหลือเกิน! เขาเอาใจไม่ถูกเลยจริงๆ!
ภายในตำหนัก
ชิงอีปิดประตูและหันไปด้านข้าง คนหนึ่งคนกับแมวตัวหนึ่งเผชิญหน้ากัน
“หนุ่มน้อยหลิงเฟิงนั่นเป็คนใจดีนะเหมียว แต่ดูท่านสิกลับตัดบทเขาอย่างไม่ไยดี”
“ให้ปลาแห้งแค่ไม่กี่ตัวในทุกวันก็ซื้อใจเ้าได้แล้วสินะ เ้านี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ” ชิงอีพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เ้าแมวอ้วนกลอกตามองบน มันยักไหล่แล้วะโไปอยู่บนไหล่ของชิงอี จากนั้นก็หาวออกมาและพูดว่า “คิดว่าทุกเื่จะสมปรารถนาไปเสียหมดหรืออย่างไร ถึงจะเป็แมวก็ใจร้อนเหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นปลาตัวใหญ่นั่นห้ามปล่อยให้มันหนีไปเด็ดขาด!”
“ไม่ต้องห่วง หนีไม่พ้นหรอก”
มีเพียวเถาเซียง ต้านเสวี่ย และหลิงเฟิง สามคนเท่านั้นที่เดินทางไปวัดตงหวากับชิงอี
เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ข้าหลวงในวังเชียนชิวต่างพากันแปรผันอย่างราวเร็วราวกับจิ้งจกเปลี่ยนสี ชิงอีทำแค่เพียงกลอกตาเย้ยหยันแล้วจดคนเ่าั้ไว้เพื่อคิดบัญชีภายหลัง
หากมีใครมองมาเห็นฉากนี้คงรู้สึกว่ามันช่างเปล่าเปลี่ยวอยู่ไม่น้อย
คณะเดินทางพอมาถึงประตูทางเหนือของวังก็หยุดขบวนเพื่อเปลี่ยนไปใช้รถม้าในการเดินทางออกจากวังแทน ชิงอีเตรียมตัวขึ้นรถม้า แต่ก็มีคนะโมาจากด้านหลังเสียก่อน
“ช้าก่อน”
หนุ่มน้อยในชุดที่สง่างามควบม้าตรงเข้ามาหานาง ส่วนหน้าที่มีราศีมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย
ชิงอียกยิ้มเพียงมุมปากระหว่างที่ขนตาแพยาวนั้นกระพือเล็กน้อยแล้วมองฉู่จื่ออวี้ด้วยความสงสัย
เขาพลิกตัวลงจากหลังม้าและเดินต่ออีกสองสามก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าชิงอี แล้วขึ้นเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยว “เมื่อก่อนไม่เห็นท่านจะเชื่อฟังเช่นนี้เลย? พอสั่งให้ท่านออกจากวังก็รีบไปขนาดนี้ ท่านจะรีบไปเกิดใหม่หรือไง!”
ทันทีที่ฉู่จื่ออวี้พูดจบก็มีนิ้วโป้งมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“ฉู่ชิงอี!” ฉู่จื่ออวี้ขบฟันแน่น ยามเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างไม่สะทกสะท้านของนางก็โกรธขึ้นมาอีกครั้ง
เด็กน้อยคนนี้...
รอยยิ้มบางๆ ที่ฉายผ่านในดวงตาของชิงอี
“เื่ใหญ่ขนาดไหนเชียวถึงทำให้เ้ากังวลจนหน้าซีดเซียวเช่นนี้” นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ส่วนริมฝีปากแดงขยับนิดๆ “เป็น้องชายของข้าจะมาสติแตกแบบนี้ไม่ได้นะ”
ฉู่จื่ออวี้ถึงกับสำลักลมหายใจ นางคงไม่ได้หมายความอย่างที่พูดใช่หรือไม่?
เขากวาดตามองไปข้างหลังแล้วลืมโต้กลับไปชั่วขณะหนึ่ง คิ้วของเขาขมวดมากขึ้นเรื่อยๆ “ท่านพาคนออกไปแค่นี้น่ะเหรอ?! แล้วเหล่าขันทีกันนางกำนัลที่เหลือในวังของท่านล่ะ?”