เมื่อเื่น้ำมันตะเกียงถูกเปิดเผย ชิงอีก็ถูกส่งออกจากวังเช่นนี้จะให้ฉู่จื่ออวี้สบายใจได้เยี่ยงไร แถมเขาก็ยิ่งโกรธและไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีกที่เห็นว่าผู้ติดตามนางมีเพียงสามคนกับแมวอีกหนึ่งตัว
“เ้าพวกสุนัขรับเลี้ยงไม่เชื่องพวกนั้น ดูสิว่าข้าจะจัดการกับพวกเ้าเยี่ยงไร!”
ชิงอีมองเขาที่โกรธจนส้นเืปูดอย่างขบขันเล็กน้อย เด็กน้อยนี่ช่างเป็คนปากแข็งแต่ใจอ่อนเสียจริง
“ดูเ้าสิโง่อย่างกับควายจะพาพวกเขาไปให้เป็ภาระทำไมกัน” ชิงอียังคงมีฝีปากร้ายและมักไม่แสดง ‘ความรักและความเมตตา’ ให้ฉู่จื่ออวี้เห็นเลย แต่ครั้งนี้นางกลับล้วงเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้เขา พอซับเรียบร้อยนางก็โยนผ้าเช็ดหน้าใส่ในมือของฉู่จื่ออวี้ด้วยสีหน้าขยะแขยงทันที “ใน่ที่พี่หญิงของเ้าไม่อยู่ ข้าฝากเ้าดูแลตำหนักเชียนชิวทุกซอกทุกมุมให้ดีๆ ด้วยล่ะ หากหลุดรอดไปแม้แต่นิดเดียวเ้าจะต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
ฉู่จื่ออวี้กำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นและพยักหน้ารับอย่างลืมตัวเพราะหมกมุ่นอยู่กับจินตนาการที่พี่สาวผู้ ‘น่าสงสาร’ ในก่อนหน้านั้น ชั่วพริบตาที่สติของเขากลับคืนมาภายก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
หญิงสาวคนนี้ปีกกล้าขาแข็งจริงๆ ถึงได้กล้าบังคับเขาเช่นนี้?!
เขาเลิกคิ้วและจ้องด้วยแววตาดุร้าย ทันใดนั้นมือขาวแตะลงบนหน้าผากเขา แล้วตีเบาๆ อยู่สองทีราวกับปลอบประโลมสัตว์ตัวน้อยที่ถูกทอดทิ้ง
ฉู่จื่ออวี้คิ้วตกและสงบลงประหนึ่งท้องนภาอันมืดมัวแปรเปลี่ยนเป็สดใสทันที
“เชื่อฟังนะ”
ฉู่จื่ออวี้พะงาบๆ ปากและมองตรงชิงอีด้วยแววตาที่ซับซ้อน เมื่อชิงอีหันหลังเตรียมจะเดินทางต่อเขาจึงคว้าข้อมือนางไว้ก่อนจะปล่อยออกราวกับต้องของร้อนพร้อมหน้าแดงก่ำ
ท่าทางไม่ต่างจากครานั้นที่นางถูกส่งไปยังเมืองหย่งเย่ซึ่งก่อนที่จะออกจากวังไป นางก็แตะศีรษะเขาแล้วพูดว่าเชื่อฟังนะ
ที่แท้ นางยังจำได้...
ชิงอีหันกลับมามองเขาพร้อมรอยยิ้ม “มีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า?”
ฉู่จื่ออวี้กัดฟันพลางพึมพำด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ท่านเป็แบบนี้...ก็ดีแล้ว”
“...หืม?”
“ไม่ได้ยินก็ช่างมันเถอะ” ฉู่จื่ออวี้กระทืบเท้าและจ้องนางอย่างโกรธๆ ถึงค่อยสะบัดหน้าไปะโเสียงดังกึกก้อง “ชิวอวี่!”
คนกลุ่มหนึ่งปรากฏกายออกมาอย่างว่องไว โดยมีชายร่างสูงใหญ่เป็ผู้นำ ซึ่งชายคนนั้นเดินมายืนอยู่ตรงหน้าฉู่จื่ออวี้แล้วคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อทำการคารวะ “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“องค์หญิงใหญ่กำลังจะไปวัดตงหวา ข้ามอบหมายให้เ้าเป็ผู้บัญชาการนำกองพลไปยี่สิบคน เพื่อคุ้มกันองค์หญิงใหญ่ให้ดี อย่าปล่อยให้นางได้รับอันตรายเด็ดขาด!”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ชิงอีเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาและไม่โต้แย้งอะไร นางเพียงหันกลับไปขึ้นรถม้า
ฉู่จื่ออวี้มองประตูวังที่ค่อยๆ ปิดลง เขายกมือขึ้นมาแตะบนศีรษะตรงที่นางััเมื่อครู่เพื่อซึมซับความรู้สึกที่ยังตกค้างนั้น
คล้ายว่า...ได้สู่วัยเด็กอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากเสด็จแม่ต ยามใดที่เขาแอบหนีจากสายตาของผู้คนเพื่อร้องไห้ นางก็มักตามมาปลอบเขาเช่นนี้อยู่ร่ำไป
แม้ตอนนั้นนางยังคงเป็เด็กหยิ่งยโสและน่ายำเกรง กระนั้น นางก็ทำตัวราวกับแม่ไก่แก่ที่คอยปกป้องเขาไว้ข้างหลังเสมอ
ต่อมาเสด็จพ่อส่งนางไปยังเมืองหย่งเย่ก็ทำให้ไม่มีใครยืนปกป้องเขาเช่นนางอีกต่อไป
ฉู่จื่ออวี้หลับตาลงครู่หนึ่งและเมื่อลืมขึ้นมาอีกครั้งเขาก็กลับมาเคร่งขรึมเช่นเดิม แล้วกลับตัวก้าวเดินไปอย่างแน่วแน่ไม่ต่างจากแม่ทัพใหญ่ที่รบทัพจับศึกมานานหลายปีซึ่งเตรียมกลับสู่สมรภูมิอีกครา
ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้ใครพรากสิ่งสำคัญไปอีกเป็อันขาด
ไม่มีทางอย่างแน่นอน!
...
ชิงอีจับจ้องปลายนิ้วเรียวงามของตนพร้อมยิ้มบางๆ “ช่างเป็เด็กน้อยที่หลอกง่ายเสียจริง”
เ้าแมวอ้วนหรี่ตาพลางพึมพำ “ไม่ใช่ว่าท่านเปลี่ยนไปมากจนทำให้คนสงสัยหรือ”
“งั้นเ้าจะบอกว่าข้าควรเลียนแบบฉู่ชิงนังคนโง่ในอดีตนั่นและต้องพึ่งจมูกคนอื่นหายใจสินะถึงจะดี?” ชิงอีหมุนหนวดแมวสามเส้นของมันและส่งยิ้มเหี้ยม
เ้าแมวอ้วนกล้าดีอย่างไรมาบอกว่าเธอทำตัวให้คนอื่นสงสัยก็แล้วจะให้นางไปพึ่งจมูกคนอื่นหายใจน่ะหรือ? นางไม่เขวี้ยงรองเท้าเน่าๆ ใส่คนอื่นก็บุญแค่ไหนแล้ว!
“โชคดีที่ตอนเด็กฉู่ชิงอีมีนิสัยโอ้อวด นางกลายเป็คนโง่หลังจากที่ถูกส่งไปยังเมืองหย่งเย่ ไม่เช่นนั้นนิสัยคงไม่มีทางเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้” เ้าแมวอ้วนตบปากและหัวเราะแหะๆ แห้งๆ “นั่นก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไร หากเป็เนื้อแท้เป็คนโง่บริสุทธิ์จริงๆ ต่อให้มีโอกาสหลังจากที่ตายไปก็ไม่มีทางกลายเป็ิญญาพยาบาทได้ แถมคงไม่มีความกล้าพอจะฆ่าตู้ิเยวี่ยเช่นนั้นได้”
เ้าแมวอ้วนที่กำลังพูดอยู่ไม่ได้ยินเสียงอะไรตอบกลับมาจึงหันไปมองและพบว่ามีใครบางคนผล็อยหลับไปแล้ว
ชิ ถือว่าสีซอให้ควายฟังก็แล้วกัน!
วัดตงหวาอยู่ห่างจากเมืองหลวงประมาณยี่สิบสามสิบลี้จึงคาดว่าต้องใช้เวลาเกินครึ่งวันกว่าจะไปถึงที่นั่น ทว่า จากการที่ออกจากวังล่าช้าและเกรงว่าลู่ทางที่รถม้าวิ่งของกูหน่ายนาย[1]จะเป็หลุมเป็บ่อจึงใช้ความเร็วไม่มากในการเดินทาง
เวลาล่วงเลยมาถึงพลบค่ำ การเดินทางเพิ่งจะไปได้แค่สิบลี้
ขบวนรถม้าค่อยๆ หยุดลงข้างทาง ชิวอวี่ส่งลูกน้องไปสำรวจเส้นทางข้างหน้าและครู่ต่อมาก็ได้รับข่าว
“องค์หญิง อีกครู่พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วและเกรงว่าคืนนี้ฝนจะตกลงมา คนของเราที่ไปสำรวจทางรายงานว่าหินข้างหน้าอาจจะถล่มลงมาได้ บางทีคืนนี้เราอาจจะต้องค้างคืนในที่โล่งแจ้งพ่ะย่ะค่ะ”
“ค้างคืนในที่โล่งแจ้ง? กลางคืนยุงเยอะขนาดนี้เกิดกัดองค์หญิงขึ้นมา เ้ารับผิดชอบได้ไหม?” ก่อนที่ชิงอีจะพูดเป็ต้านเสวี่ยที่บ่นออกมาก่อน
ชิวอวี่คว่ำปากลง ถึงจะคิดอยู่แล้วว่าอย่างไรเสียคืนนี้คงไม่สามารถไปถึงวัดตงหวาได้ หากไม่ตั้งกระโจมข้างนอกแล้วจะให้เสกวังขึ้นหรืออย่างไรกัน?
ในรถม้ามีการตอบสนองกลับมา เถาเซียงและต้านเสวี่ยจึงรีบเปิดม่านเผยให้เห็นใบหน้าอันทรงเสน่ห์
ชิวอวี่มองดูสาวใช้ทั้งสองช่วยพาองค์หญิงผู้งดงามดั่งบุปผาเสด็จลงจากรถม้า ใบหน้าของเขาก้มหน้าลงเพื่อซ่อนสายตาดูถูกเหยียดหยาม
แม้ยามนี้องค์รัชทายาททรงเปลี่ยนทัศนคติต่อพระเชษฐภคินีแล้ว ทว่า ในสายตาของชิวอวี่และคนอื่นๆ นางยังคงเป็องค์หญิงใหญ่ที่พึ่งจมูกผู้อื่นหายใจและไม่รู้เื่รู้ราวอะไรเหมือนเดิม
ที่เปลี่ยนไปเห็นจะมีเพียงนิสัยโง่เง่าที่กลายเป็เย่อหยิ่งเท่านั้น
ชิงอีไม่มีสีหน้ารังเกียจและมองไปรอบๆ ก่อนจะพูดจาค่อนแคะ “ที่รกร้างว่างเปล่ากลางแจ้งเช่นนี้สามารถเป็ที่พักผ่อนได้ด้วยงั้นหรือ?”
ชิวอวี่เม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไร ส่วนเหล่าองครักษ์ด้านหลังต่างบึ้งตึงเช่นกัน กูหน่ายนายท่านนี้คิดว่าตนเองยังอยู่ในวังหลวงหรืออย่างไร
“ฝั่งนั้นมีคนสูบบุหรี่อยู่ใช่ไหม? งั้นก็พักที่นั่นก็แล้วกัน”
ชิวอวี่มองตามมือของชิงอีออกไปไกลๆ ก็เห็นว่ามีควันลอยขึ้นมา เขาผงะไปเล็กน้อย น่าแปลก เหตุใดเมื่อครู่เขาถึงไม่เห็นควันที่ลอยขึ้นมากันนะ?
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเสด็จขึ้นรถม้าเถิด เราจะได้รีบออกเดินทางกันพ่ะย่ะค่ะ” ชิวอวี่รีบตอบกลับ หลังจากรอให้กูหน่ายนายขึ้นม้าแล้ว เขาก็รีบออกเดินทางทันที ไม่ว่าข้างหน้าจะหมู่บ้านหรือวัดร้างก็ต้องหาที่พักให้กูหน่ายนายพักไปก่อน
ดวงอาทิตย์สีโลหิตลาลับขอบฟ้า ท้องนภาผันแปรเป็มืดมิด
ชิวอวี่ที่เงยหน้ามองท้องฟ้าก็หนาวสั่นอย่างไม่มีเหตุผล
ประหนึ่งว่าผืนฟ้ากำลังกดทับลงมา ท้องฟ้าวันนี้ช่างดูแปลกประหลาดจริงๆ ...
ไม่นานนัก หมู่บ้านหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าของพวกเขา
ชิวอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็ถึงสักที
“องค์หญิง พวกเราเดินถึงที่หมายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงอืมอันเกียจคร้านของชิงอีตอบกลับมาจากรถม้าเพื่อบอกว่านางรับรู้แล้ว คนกลุ่มหนึ่งรีบเดินเข้าไปในหมู่บ้านแต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไร สีหน้าประหลาดใจของชิงอวี่ก็ยิ่งชัดมากขึ้นเท่านั้น
ทำไมในหมู่บ้านแห่งนี้ถึงไม่มีใครอยู่เลยล่ะ?
เขารีบสั่งการให้คนไปตรวจสอบรอบๆ และผลลัพธ์ที่ได้คือทั้งหมู่บ้านไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว! ทว่า ที่แปลกคือประตูบ้านทุกหลังเปิดกว้าง แถมมีอาหารร้อนๆ ราวกับเพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ อยู่ในบ้าน
ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทา เถาเซียงหน้าซีดเผือด “ไม่มีใครอยู่สักคน? แล้วใครเป็คนทำอาหารพวกนี้กัน?”
ขณะเดียวกัน ชิงอีค่อยๆ ลงจากรถม้าแล้วเหลือบมองไปยังหมู่บ้านที่ว่างเปล่าและเลิกคิ้วขึ้น “โอ้ ผู้คนมากมายขนาดนี้ ช่างมีชีวิตชีวาจริงๆ ...”
*************************
[1] กูหน่ายนาย เป็คำเรียกสตรีในครอบครัวที่ออกเรือนไปแล้ว