ชิวอวี่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อชิงอีพูดว่า “ผู้คนมากมายขนาดนี้ มีชีวิตชีวาจริงๆ” ฟังดูเหมือนประโยคธรรมดาๆ ทว่า ทิศทางที่นางมองไปนั้นว่างเปล่า อย่าว่าแต่เงาคนเลย แม้แต่เงาผีก็ไม่มีสักนิด
เมื่อครู่นางพูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจหรือว่า...?
ในฐานะผู้นำการเดินทางนี้ ชิวอวี่้าทำให้สถานการณ์เข้าที่เข้าทางจึงสั่งให้ลูกน้องค้นหาร่องรอยของชาวบ้านทันที
ในขณะเดียวกัน ฟ้าก็ร้องดังขึ้น
เถาเซียงตัวสั่นเทา ใบหน้าเล็กซีดเซียวเล็กน้อย “อะ...องค์หญิงเพคะ เช่นนั้นพวกเราเข้าบ้านกันก่อนไหมเพคะ ฝนกำลังจะตกแล้ว”
“เข้าไปกันเถอะ” ชิงอีพยักหน้าและเดินตรงไปที่บ้านทางขวามือ
ชิวอวี่ติดตามอย่างใกล้ชิดแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด จู่ๆ นางถึงรู้สึกว่ารอบๆ ตัวเย็นซู่ขึ้นมา
เถาเซียงขยับเข้าใกล้ต้านเสวี่ยด้วยความกลัวพลางกระซิบว่า “ต้านเสวี่ย เ้าคิดว่ามันหนาวขึ้นกว่าเมื่อครู่หรือไม่?”
ต้านเสวี่ยเหลือบมอง “ฝนกำลังจะตก แน่นอนว่าต้องหนาวสิ เ้าอย่าขี้ระแวงนักเลย”
สีหน้าเถาเซียงดูเศร้าสร้อย จนหลิงเฟิงที่อยู่ข้างหลังพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเถาเอ๋อร์ เ้าเย็นเหรอ มาอยู่ข้างๆ ข้านี่! ข้าเต็มไปด้วยพลังหยางอบอุ่นมากๆ เลยล่ะ!”
“แหวะ” เถาเซียงหน้าแดงเพราะคำนั้น หน้าไม่อาย!
หลิงเฟิงเกาหัวและรู้สึกน้อยใจนิดๆ เขาพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ? เมื่อก่อนเวลาที่แนวหน้าเจอกับหิมะตก เขาก็เป็เหมือนเตาผิงไปให้กับเหล่าทหารที่กำลังหนาวสั่น แม้กระทั่งท่านอ๋องยังบอกว่าเขาเต็มไปด้วยพลังหยาง แล้วเหตุใดเขาถึงถูกเถาเซียงแหวะใส่แบบนี้ด้วยล่ะ?
ชิงอีเหลือบมองคนมุทะลุผู้นั้น แล้วดวงตาคู่งามก็ไหวระริกเล็กน้อย
เ้าแมวอ้วนยืดคออย่างเกียจคร้านในอ้อมแขนของนาง ั์ตาสีเขียวมีแววขี้เล่น แน่ล่ะสิเด็กคนนี้เต็มไปด้วยพลังหยางไม่ต่างจากตะวันดวงน้อยๆ ผีขี้เหงาทั้งหมดในหมู่บ้านแห่งนี้เลยไม่กล้าเข้าใกล้เขาสินะ?
หลังจากเข้ามาในบ้าน ต้านเสวี่ยและเถาเซียงรีบปัดฝุ่นและนำพรมขนสุนัขจิ้งจอกอย่างดีจากในรถม้ามาปูลงบนเก้าอี้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ชิงอีก็นั่งลงอย่างเกียจคร้านด้วยสีหน้าเหนื่อยสุดๆ
หากไม่รู้ก็คงคิดว่าคนที่ยุ่งวุ่นวายเมื่อครู่คือนาง!
เมื่อชิวอวี่ฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาเสร็จ เขาก็เข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีจึงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ในระหว่างที่เขาสาวเท้าเข้ามาและเตรียมพูด
ชิงอีก็ลืมตาขึ้นมากะทันหันและมองไปข้างกาย ส่วนแมวดำในอ้อมแขนของนางก็ส่งเสียงขู่ดุดัน
“หุบปาก” ชิงอีตบหน้าผากของเ้าแมวอ้วนแล้วจ้องเด็กน้อยข้างกายที่สูงเพียงแค่เอวของนางเท่านั้น
“พี่สาว ขนสุนัขจิ้งจอกของท่านดูดีมากๆ เลย ข้าขอััมันได้ไหม” เสียงคมชัดของเด็กน้อยดังขึ้นพร้อมกับดวงตากลมโตฉายชัดถึงความไร้เดียงสา
“ได้สิ” ซิงอีพยักหน้า
เด็กน้อยดีใจแล้วใช้มือเล็กๆ ลูบลงบนขนจิ้งจอกซ้ำไปซ้ำมา โดยไม่ลืมหันหน้ากลับไปกวักมือเรียกเพื่อนๆ ของตน “พวกเ้ามานี่สิ ขนสุนัขจิ้งจอกตัวนี้นุ่มนิ่มมาก พี่สาวคนสวยก็ไม่ดุด้วย”
ชิงอียิ้มตาหยีให้เด็กน้อยปากหวาน
ทุกคนในห้องมองหน้ากัน หลิงเฟิงจ้องมือของชิงอีผู้ที่กำลังพูดกับตัวเองและเตรียมจะเดินไปพูดกับนาง ทว่า นางกลับเงยหน้าขึ้นและพูดเสียก่อนว่า “เ้าออกไปไกลๆ หน่อย เด็กน้อยใหมดแล้ว”
เด็กน้อย? เด็กที่ไหน?
เสียงฟ้าร้องดังก้องอยู่เหนือหัว ทุกคนในห้องสั่นสะท้าน ชิวอวี่จ้องหน้านางด้วยความประหลาดใจและพูดไม่ออกอยู่นาน
ชิวอวี่รวบรวมความกล้าที่จะพูดอีกครั้ง แต่ก็เป็อีกครั้งที่ต้องกลืนคำพูดต่างลงคอ
เอาล่ะ ชิงอีหยุดพูดกับตัวเองแล้ว ทว่า ดวงตาของเ้าแมวอ้วนในอ้อมแขนจ้องเก้าอี้และยังคงร้องไม่หยุด กลีบปากบนและล่างของมันขยับอย่างรวดเร็วดูไปแล้วเหมือนว่ากำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่
ขนหัวของสุภาพบุรุษอย่างชิวอวี่ถึงกับลุกกันเลยทีเดียว
“นี่ๆ เ้าแมวตัวนี้ฉลาดมากๆ เลย พูดภาษาคนได้ด้วยล่ะ!” หลิงเฟิง เ้าคนสะเพร่านี่ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังมาพูดจาเช่นนี้อีก
“หุบปาก!” เถาเซียงและต้านเสวี่ยตะคอกใส่
นอกจากหลิงเฟิงแล้ว อีกสามคนที่เหลือต่างรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องนี้ช่างวังเวง เถาเซียงอยากจะรีบหนีไปทางประตู
และแล้วเสียงร้องเหมียวๆ ก็หยุดลง
เ้าแมวอ้วนเหลือบมองพวกเขา เฮอะ เ้ามนุษย์โง่
“องค์หญิงเพคะ เ้าแมวตัวนี้...แมวตัวนี้มัน...” เถาเซียงใกลัวจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
“อย่ากลัวไปเลย” ชิงอีมองนางและพูดให้สบายใจ “ต่อให้ท้องฟ้าถล่มลงมา องค์หญิงอย่างข้าก็จะค้ำมันไว้”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เถาเซียงกล้าหาญโดยไม่มีเหตุผล น้ำตาของนางที่เกือบจะรินไหลก็ถูกบังคับให้กลับเข้าไป
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ...” ในที่สุดชิวอวี่ก็ได้สบโอกาสพูด
ทว่า ชิงอีกลับสะบัดมือขัดจังหวะอีกครั้ง “พาคนของเ้าไปขุดดินใต้ต้นฮว๋าย[1]ตรงทางเข้าหมู่บ้าน ไม่เช่นนั้น ในบ้านคงต้องใช้พื้นที่ครึ่งหนึ่งถึงจะพอ”
ชิวอวี่ผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
ขุดดิน? ตอนนี้?
นี่จงใจที่จะทรมานพวกเขาใช่หรือไม่?
แม้ว่าในใจของชิวอวี่จะไม่พอใจแต่ก็ยังน้อมรับคำสั่ง องรักษ์ที่เฝ้าประตูต่างได้ยินและพากันพึมพำกันอย่างไม่พอใจ “องค์หญิงใหญ่ประชวรด้วยโรคอะไรกันแน่? พวกเราไปยั่วยุพระองค์ตอนไหนกัน?”
“หยุดพูดจาไร้สาระกันได้แล้ว” ชิวอวี่พูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “รีบไปทำให้เสร็จก่อนที่ฝนจะตกหนัก”
เขามองย้อนกลับไปที่ห้องแล้วขนลุกขึ้นมาอีกครั้งจนอดที่จะแอบก่นด่าออกมาไม่ได้
ภายในห้อง เถาเซียงและต้านเสวี่ยมองหน้ากันและกัน พวกนางไม่สบายใจั้แ่เข้ามาในหมู่บ้านแล้ว องค์หญิงเองก็ดูแปลกไปเช่นกัน บางครั้งบางคราวก็พูดกับตัวเอง
มีเพียงหลิงเฟิงจอมดึงดันผู้นี้ยังคงทำตัวสบายๆ แถมยังพึมพำว่าอากาศที่นี่ไม่เลวเลยนะเนี่ย ลมพัดอากาศเย็นสบายจริงๆ ~
เย็นสบาย? เย็นสบายกับผีสิ! ต้านเสวี่ยสาปแช่งอยู่ในใจ นางกับเถาเซียงหนาวจะตายอยู่แล้ว อากาศในห้องนี้เย็นะเืราวกับเดินอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
ชิงอีหลับตาลงอย่างสงบ ต้านเสวี่ยเม้มปากยิ่งมองอาหารเย็นบนโต๊ะก็ยิ่งรู้สึกคลื่นไส้ตลอดเวลาจึงคิดที่จะยกของพวกนี้ออกไปก่อน
นางกำลังยื่นมือออกไปหยิบ แต่เสียงของชิงอีก็ดังขึ้นทันที “อย่าขยับ”
“องค์หญิงเพคะ?”
ชิงอีค่อยๆ ลืมตาขึ้น “อย่าขยับอาหารพวกนี้ พวกเขายังกินไม่เสร็จ”
พวกเขา? พวกเขาคือใคร?
มือของต้านเสวี่ยสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เธอกัดฟันข่มความกลัว ทว่า สีหน้าของนางก็แสดงออกมาอย่างชัดเจน
ชิงอีเหลือบมองนางอย่างชื่นชม ไม่เลวเลยนี่
ทั้งต้านเสวี่ยและเถาเซียงต่างดีทั้งคู่ ต้านเสวี่ยนั้นนิสัยเข้มแข็งและมั่นคง ส่วนเถาเซียงถึงจะงุ่มง่ามอยู่เล็กน้อยและอาการประหม่าก็ไม่ได้มีผลมากนัก อย่างน้อยก็หลังจากเอ่ยไปว่าอย่ากลัว แล้วเถาเซียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะมีความกล้ามากขึ้น
ส่วนอีกคน...
หลิงเฟิงที่หรี่ตาอย่างสบายใจ “เย็น เย็นจริงๆ ~”
ชิงอีหัวเราะลั่นอยู่ในใจพลางมองดูกลุ่มผีเด็กๆ ที่อยู่รอบตัวเขาแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ นางได้แต่คิดในใจว่ามีผีตัวน้อยมากมายพัดลมมาหาเ้าไม่หยุดขนาดนี้ เ้าจะไม่เย็นได้ยังไงกัน?
แต่พลังหยางในตัวเด็กคนนี้แข็งแกร่งมากจนเกือบจะเป็สีทอง เป็ไปได้ไหมว่าเขาอาจจะเป็คนดีที่กลับมาเกิดใหม่?
ทันใดนั้น ลมกระโชกแรงโหมกระหน่ำมาจากด้านนอก พลันร่างอันชุ่มโชกจากสายฝนเย็นฉ่ำก็พุ่งพรวดเข้ามาข้างใน เขาคือองครักษ์ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของชิวอวี่นั่นเอง
ริมฝีปากของเขาสั่นและพูดอย่างเหนื่อยหอบว่า “แย่ แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ...องค์ องค์หญิง... ต้นไม้นั่น ใต้ต้นไม้มีศพ ไม่ ไม่ใช่! มันคือต้นไม้เติบโตออกมาจากศพพ่ะย่ะค่ะ...”
************************
[1] ต้นฮว๋าย คือต้นไม้ประจำเมืองปักกิ่ง