องครักษ์ผู้นั้นพูดจามั่วซั่วไปหมด ทว่าเถาเซียงและคนอื่นๆ ยังฟังเข้าใจ
มีศพอยู่ใต้ต้นฮว๋ายงั้นหรือ?!
ก่อนที่เถาเซียงและคนอื่นๆ จะทันได้เอ่ยอะไรชิงอีกลับเดินออกไปเสียแล้ว เถาเซียงเห็นดังนั้นก็รีบถือร่มตามไป
ชิวอวี่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นฮว๋ายด้วยใบหน้าขุ่นมัว เขาเป็ถึงองครักษ์เงาของราชวงศ์เคยชินกับการเห็นภาพนองเืจากชนชั้นรากหญ้ามานานนับหลายปี ทว่า ฉากเบื้องหน้านี้กลับทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปครู่หนึ่ง
“องค์หญิง ทรงระวังด้วยเพคะ...”
ชิวอวี่หันขวับไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างสวยสดงดงามราวกับธาราสีแดงฉานกำลังยุรยาตรมา โดยด้านหลังมีนางกำนัลวิ่งเหยาะๆ เพื่อก้าวให้ทันนาง ชิวอวี่หรี่ตาอย่างไม่รู้ว่าเพราะอาการเวียนหัวนี่เป็สาเหตุให้เกิดภาพลวงตาหรือไม่
แม้ร่มส่วนใหญ่ของเถาเซียงจะอยู่เหนือหัว แต่ชิงอีที่ก้าวไวไปร่างกายส่วนใหญ่จึงยังคงโดนฝนอยู่นั่นเอง กระนั้น ยามเม็ดฝนคล้ายจะแตะต้องผิวกายกลับถูกพัดออกไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น
ชิวอวี่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถึงจะเป็เช่นนั้นจิตใจของเขาเตลิดไปกับภาพตรงหน้าจนไม่อาจไตร่ตรองได้เท่าที่ควร พอชิงอีเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติและรีบสาวเท้าเข้าไปห้ามนาง
“องค์หญิงใหญ่ โปรดอย่าทอดพระเนตรเสียดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษเช่นเขายังรับไม่ได้คงไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงผงดงามผู้นี้เลย
ชิงอีผลักชิวอวี่ออกแบบไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งสติของเขายังกลับคืนมาไม่ครบถ้วนเลยถูกผลักออกไปอย่างง่ายดาย
ชิงอียืนอยู่ใต้ต้นฮว๋ายจ้องซากศพในหลุมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ศพเหล่านี้มีทั้งชายและหญิงดูๆ แล้วอายุอานามเพียงแค่เจ็ดหรือแปดปีเท่านั้น พวกเขาถูกฝังกลบราวกับรูปปั้นหินที่กำลังหมอบกราบเป็วงกลมโดยหันหน้าเข้าหาต้นฮว๋าย แค่มองเผินๆ เหมือนจะมีมากกว่าสิบศพ
เถาเซียงและต้านเสวี่ยถึงกับหน้าซีดวิ่งไปไกลเพื่ออาเจียนออกมา
หลิงเฟิงเองก็ไม่มีอารมณ์มาหัวเราะคิกคักและไม่อาจทนดูหลุมลึกนั้นได้ ส่วนหน้าผากเหงื่อแตกพลั่กด้วยความหวาดกลัว
ชิวอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกปวดใจและเหล่าองครักษ์ที่เหลือก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน พวกเขาเป็เพียงเด็กตัวเล็กๆ ต้องมีจิตสำนึกแบบไหนกันถึงกล้ามืออย่างโหดร้ายกับเด็กพวกนี้ได้?!
“ยกศพทั้งหมดออกมา ขนย้ายพวกเขาอย่างเบามือด้วยล่ะ” ชิงอีกล่าว
คราวนี้ชิวอวี่และคนอื่นๆ ไม่แสดงอาการขุ่นเคืองแม้แต่น้อย พวกเขาค่อยๆ ะโลงหลุมทีละคน ไม่นานพวกเขาก็รับรู้สึกถึงความผิดปกติ
กะโหลกของเด็กเหล่านี้ล้วนถูกเปิดออกและเชื่อมต่อกับรากของต้นฮว๋าย ซากศพพวกนี้เปรียบเสมือนปุ๋ยที่บำรุงต้นฮว๋าย ดวงตาของเหล่าองครักษ์ต่างแดงก่ำกันถ้วนหน้า พวกเขาชักดาบออกมาและตัดรากไม้ทิ้ง
ยางไม้ที่รินไหลออกมานั้นเป็สีแดงฉานราวกับเืก็กระจายไปทั่วบริเวณพร้อมกลิ่นคาวรุนแรงที่คละคลุ้ง
ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ระวังหน่อย อย่าให้น้ำยางพวกนี้กระเด็น”
ชิวอวี่กำลังจะตรวจสอบน้ำยางพอได้ยินเช่นนั้นจึงหยุดมือและส่งสัญญาณทางสายตาไปให้เหล่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาระวังตัวมากขึ้น
ยามนี้พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันตัดรากไม้และส่งทยอยร่างพวกเด็กๆ อย่างระมัดระวัง หลิงเฟิงเองก็เข้าไปช่วยเช่นกัน
เถาเซียงและต้านเสวี่ยที่อาเจียนเสร็จเรียบร้อยกลับมาพร้อมกับขอบตาแดงก่ำ เมื่อสถานการณ์ตรงหน้าพวกนางก็สะกดกลั้นความกลัวและควานหาผ้าเช็ดหน้าไปช่วยเช็ดสิ่งสกปรกออกจากศพเด็กชาย
ทั้งกลุ่มยังคงสาละวนกับงานจนยามจื่อและไม่ทนสังเกตเลยว่าฝนหยุดตกแล้ว รวมทั้งบริเวณโดยรอบก็มืดลงแล้วเช่นกัน ชิวอวี่และคนอื่นๆ นั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยหอบ ความรู้สึกแปลกๆ ยามเมื่อเข้ามาในหมู่บ้านครั้งแรกจางหาย หรืออาจเป็เพราะพวกเขาในยามนี้เหนื่อยเกินกว่าจะใส่ใจ
กองไฟสว่างวาบ ความชื้นระเหยหาย แสงจันทร์ขาวนวลสดส่องผ่านลงมา
ชิวอวี่จิบน้ำที่ลูกน้องให้มาก่อนจะเงยหน้าไปเห็นชิงอีที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งนางกำลังยืนอยู่ข้างกองซากศพอย่างไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
แววตาของชิวอวี่สั่นไหว เขาในตอนนี้สงบจิตสงบใจได้แล้ว ยิ่งคิดถึงเื่นี้มากเพียงใดกลับยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ คราแรกเขาคิดว่าชิงอีจงใจแกล้งตัวเองและคนอื่นๆ จึงสั่งให้พวกเขามาขุดดิน ทว่า จากปฏิกิริยาขององค์หญิงยามเสด็จมาที่นี่ราวกับรู้แจ้งอยู่ก่อนแล้วว่ามีศพอยู่ใต้ต้นฮว๋ายถึงรับสั่งให้พวกเขามาขุดดินเช่นนี้
ตอนอยู่ที่เรือนก่อนหน้านี้ นางกับเ้าแมวอ้วนพูดพล่ามกับความว่างเปล่า หรือว่า...หมู่บ้านแห่งนี้จะมีสิ่งลี้ลับอะไรอยู่?
ชิวอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ บังคับให้หยุดความคิดนี้และเดินไปหาชิงอี เขาไม่เชื่อว่าโลกนี้มีภูตผีปีศาจ ถ้าจะมีคงมีแค่ผีร้ายในใจคนเท่านั้น
“ช่างน่าสงสารเสียจริง อายุยังน้อยก็จากไปเสียแล้ว” เถาเซียงขยี้ตาจนแดงก่ำ
“เ้าสัตว์เดียรัจฉานตัวใดถึงมีจิตใจอำมหิตจนทำร้ายเด็กน้อยเช่นนี้ลงได้?” ต้านเสวี่ยกัดริมฝีปาก “ดูท่าพวกเขาคงเ็ปมาก ไม่รู้ว่าก่อนตายต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงใด”
“พวกเขาถูกเปิดกะโหลกแล้วเทสารปรอทจนเต็ม ทำให้หลังจากเสียชีวิตไปแล้วร่างกายจึงแข็งทื่อไม่เน่าเสีย ความเ็ปเช่นนั้น...เ้าคงไม่อาจจินตนาการได้” หลิงเฟิงกัดฟันพูดว่า “ยังมีต้นไม้นั่นด้วย...”
ภาพรากไม้ชอนไชกะโหลกช่างน่ากลัวยิ่งนัก แค่คิดก็ขนหัวลุก ยิ่งไปกว่านั้นซากศพพวกนี้ล้อมรอบต้นฮว๋ายในท่าหมอบกราบพฤติการณ์เช่นนี้ไม่ว่ามองเยี่ยงไรก็เป็เสนียดจัญไร!
“คำโบราณว่าไว้ต้นฮว๋ายเรียกิญญา คำที่ว่าคงไม่ได้หมายถึง...”
“เป็ไปไม่ได้” ชิวอวี่ก้าวไปข้างหน้าและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พลังลี้ลับเชื่อถือไม่ได้ คำพูดคำจาเช่นนี้เป็สิ่งต้องห้ามของฝ่าาและองค์รัชทายาท ศพเหล่านี้เป็สิ่งที่มนุษย์กระทำขึ้นมาทั้งหมด เห็นได้ชัดเจนว่าพวกคนชั่วช้าต้องรับผิดชอบเื่นี้ พวกมันกล้าทำเื่เช่นนี้ใกล้กับเมืองหลวง ข้าจะจัดการพวกมันให้แหลกเป็ชิ้นๆ!”
“ข้าด้วย” หลิงเฟิงพยักหน้าด้วยความโกรธเคือง
“องค์หญิงใหญ่ กระหม่อมจะส่งคนไปกราบทูลเื่นี้กับองค์รัชทายาท และขอพระราชทานอนุญาตให้ส่งกำลังพลมาเพิ่มเพื่อตามจับเ้าชาติชั่วนั่น”
“จะรีบร้อนไปไย” ชิงอีส่ายหน้า
ชิวอวี่มองไปด้านหลังของนาง ความรู้สึกวิตกกังวลใจยิ่งเพิ่มพูน แรกเริ่มเดิมที องค์หญิงใหญ่ก็ก้มหน้าลงตลอดจนไม่อาจคาดเดาความคิดความอ่าน หรือ...นางกำลังมองอะไรอยู่?
ชิงอีออกจะรำคาญเล็กน้อยแต่ค่อนไปทางอารมณ์เสียมากกว่า
นางถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าผีเด็กจอมซนที่เจี๊ยวจ๊าวไม่หยุดหย่อนจนรู้สึกเดือดดาลอยู่ข้างใน แต่หากระบายออกมาบรรดาผีตัวน้อยคงวิ่งหนีแตกกระเจิงเป็แน่
โลกแห่งนี้ชีวิตมนุษย์เป็สิ่งที่มีค่าน้อยที่สุด แต่สำหรับยมโลกแล้วมันกลับมีค่ายิ่ง
ใต้ผืนดินมีิญญาผีเร่ร่อนอยู่มากมาย พวกมันถูกบีบให้วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารและมีเพียงสามส่วนเท่านั้นที่สามารถกลับชาติมาเกิดเป็มนุษย์
ชิงอีเป็พญามัจจุราชมากว่าพันปีได้เห็นชีวิตและความตายมานับไม่ถ้วนจึงไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจสักนิด จะมีก็แต่ความโกรธที่ไม่เคยจางหาย เพราะไม่เห็นจะมีใครเห็นความสำคัญของชีวิตสักนิด!
เ้าคิดว่าการกลับชาติมาเกิดไม่จำเป็ต้องเข้าแถวหรือไร? เ้าคิดว่าราชินีแห่งภูตผีใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลยหรือไร? การมีผีตัวน้อยที่ดวงชะตายังไม่ถึงฆาตจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในปรโลกเช่นนี้ เ้ารู้หรือไม่ว่ามันลำบากแค่ไหน?
ปรโลกมีกฎระเบียบหากใครกล้าฝ่าฝืนถือเป็การลูบคมของนาง!
ลมหนาวพัดผ่าน เหล่าผีเด็กซุกซนถอยกรูออกห่างมาสามฉื่อ
ชิวอวี่ตัวสั่นเทิ้มเพราะรู้สึกว่าวันนี้อากาศเย็นขึ้นทันควันอีกครา
ภายใต้กองเพลิงชิงอีลืมตาขึ้นอย่างเ็าพร้อมปากสีชาดที่เปิดขึ้น “นำต้นฮว๋ายนั่นมาให้ข้าเผา!”
ฆ่าเด็กมากมายถึงเพียงนี้เพียงเพื่อบำรุงหยินฮว๋าย หากข้าไม่ ‘ตอบแทน’ ฝีมือในครั้งนี้ให้สาสม วันนี้เห็นทีข้าคงไม่มีทางสาแก่ใจ!