เมื่อคิดว่าเธอจะต้องนอนห้องเดียวกันกับจ้านอี้หยางซูหรงหรงถึงกับกุมขมับ
‘นอนห้องเดียวกันก็หมายความว่าจะต้องทำ...อะไรแบบนั้นด้วยสินะ’
สิ่งที่คนรักกันเขาทำ...ด้วยกันเธอไม่ค่อยเข้าใจเื่พวกนี้หรอก
ถ้าตอนนี้เธอกับเขาต้องทำอะไรแบบนั้น‘บรึ๋ย ยาก...ที่จะทำอะไรแบบนั้น’
อีกอย่างเธอกับเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้เพียงแค่...ไม่ถึงสองวัน
เธอกับกู้แหยนเจ๋อคบกันนานถึง4 ปี สิ่งที่ทำมากสุดคือจับมือกัน
แท้จริงแล้วสำหรับเธอคำว่ารักนวลสงวนตัวแทบจะฝังอยู่ในกระดูกดำ เพราะฉะนั้นนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กู้แหยนเจ๋อสลัดรักเธอทิ้งไปหาเฉินหย่าถิง
แม้ว่าตอนนี้เธอกับจ้านอี้หยางจะนับว่าเป็สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
แต่ทว่าเธอก็อยากรอให้ผ่านพิธีแต่งงานก่อนที่จะทำเื่อย่างว่าพวกนั้นได้
เธอค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเื่แต่งงานมากเธอคิดเสมอว่าคนสองคนเข้าพิธีแต่งงานกันแล้วจึงจะนับว่าเป็การแต่งงานกันอย่างแท้จริง
เมื่อกลับถึงบ้านเธอลากตัวเหอฮุ้ยหลานแม่ของเธอเข้าไปในห้อง ก่อนจะบอกเธอว่าเธอยังจะอยู่ที่นี่ต่อสุดท้ายเธอก็ถูกแม่เขกหัวเข้าไปหนึ่งทีก่อนจะเอ่ย
“แต่งงานวันแรกเธอก็คิดที่กลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอ? ที่นี่ไม่ต้อนรับกลับไปซะ”
เ้ากระต่ายน้อยลากกระเป๋าสัมภาระออกมาเธอยืนทำหน้าเศร้าอยู่หน้าบ้าน น้ำตาไหลนองหน้า
เธอเอามือลูบหน้าลูบตาก่อนจะเอามือปาดน้ำตาทิ้ง
แม่ของเธอช่างจะเป็เหมือนแม่เลี้ยงใจร้ายที่ไล่ลูกเลี้ยงออกจากบ้าน
พอเธอหันกลับมามองจ้านอี้หยางที่ยืนอยู่ข้างๆเธอส่งสายตาขุ่นเคืองให้เขาราวกับ้าจะด่าว่าเขาคือต้นเหตุของเื่ทั้งหมดนี้
อันที่จริงจ้านอี้หยางรู้ดีทุกอย่างว่ายัยกระต่ายน้อย้าจะส่งสายตาสื่ออะไร
ทว่าเขากลับถือกระเป๋าเดินทางอย่างสบายใจ
“ไปเถอะ กลับบ้านของเรากัน”
ซูหรงหรงอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ไปที่ประตูบ้านของตนจนสุดท้ายเธอก็ถูกจ้านอี้หยางลากออกไป
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านเล็กๆซูหรงหรงสังเกตเห็นคนที่ใส่เครื่องแบบทหารยืนรออยู่ใต้ตึกจ้านอี้หยางลงจากรถแล้วเดินไปหาเขา นายทหารคนนั้นทำความเคารพจ้านอี้หยางตามระเบียบก่อนจะส่งกระเป๋าสัมภาระใบหนึ่งให้เขา จากนั้นเขาพูดกับนายทหารคนนั้นอยู่ 2-3 ประโยค ก่อนที่นายทหารคนนั้นจะทำความเคารพเขาอีกรอบแล้วออกวิ่งไป
หึย พลังทำลายล้างสูงมาก
ซูหรงหรงนั่งคิดในรถเมื่อเห็นทหารของจ้านอี้หยางแล้วเธอรู้สึกว่าพวกเขาเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก
เธอถอนหายใจก่อนจะลงจากรถแล้วขึ้นไปบนตึกพร้อมๆกับจ้านอี้หยาง
เมื่อเข้ามาในลิฟต์มือทั้งสองของซูหรงหรงกำลังจับไปที่สายกระเป๋าที่สะพายอยู่ด้านหลัง
เธอหันหน้าไปหาจ้านอี้หยางก่อนจะเอ่ยถามเื่หนึ่งอย่างสนอกสนใจ
“เมื่อกี้นี้แม่ฉันคุยอะไรกับนายอย่างนั้นเหรอ?”
“สั่งให้ฉันดูแลเธอให้ดี เขายกเธอให้ฉันแล้ว”
จ้านอี้หยางพูดออกมาอย่างเป็ธรรมชาติราวกับว่านี่เป็เื่ปกติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน
ซูหรงหรงนึกถึงตอนที่แม่ไล่เธอออกมาจากบ้านแล้วยังได้เห็นกระเป๋าสัมภาระที่อยู่ในมือของจ้านอี้หยาง
น้ำตาจะไหล!
“แม่น่าจะโยนฉันให้นายมากกว่า”
ช่างเหมือนแม่เลี้ยงใจร้ายจริงๆ
จ้านอี้หยางเผยยิ้มบนใบหน้าเขาใช้มือข้างที่ว่างยีผมของซูหรงหรงอย่างเอ็นดู พอดีกับลิฟต์เดินทางถึงที่หมายทั้งคู่พากันเดินออกจากลิฟต์
ซูหรงหรงนำกุญแจออกจากกระเป๋าสะพายแล้วเปิดประตูให้จ้านอี้หยางเข้าไปก่อน
เธอไม่มีโอกาสได้เห็นว่าเมื่อจ้านอี้หยางเข้าประตูมาแล้วรอยยิ้มของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
จ้านอี้หยางลากกระเป๋าทั้งสองใบเข้ามาในห้องซูหรงหรงเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้เอ่ยคำอุทานออกมาก
“อุ้ย”
เธอรีบเข้าไปคว้ากระเป๋าของเธอเองออกมาก่อนจะหันไปมองหน้าจ้านอี้หยาง
“นายนอนห้องนี้เหรอ?”
“อืม”
จ้านอี้หยางไม่ยิ้มไม่หัวเราะตอบกลับยัยกระต่ายน้อยก่อนจะลงลึกถึงรายละเอียดคำพูดของตน
“พวกเราอยู่ห้องนี้”
ซูหรงหรงกะพริบตาถี่ๆขนตาหนายาวของเธอกระพือไปมาแววตาของเธอบ่งบอกถึงความอึดอัด แก้มทั้งสองข้างบนใบหน้าเรียวเล็กเริ่มแดงระเรื่อ
“ฉันว่า...ฉันอยู่อีกห้องถัดไปดีกว่าห้องนั้น...นายใช้คนเดียวเถอะ ไม่จำเป็ต้องมาเกรงใจอะไรฉันหรอกน่า ฮ่าๆๆๆ...”
เมื่อพูดจบเธอก็รีบลากกระเป๋าสัมภาระของตนเองชิงเข้าไปในห้องนั้นทันที
จ้านอี้หยางยืนพิงขอบประตูหน้าห้องอย่างสบายใจเขาเข้ามาแย่งกระเป๋าของซูหรงหรงโดยไม่ต้องออกแรงใบหน้าของซูหรงหรงที่แดงระเรื่อเป็ทุนเดิมยิ่งแดงมากขึ้นไปอีก
“เธอก็ไม่จำเป็จะต้องเกรงใจฉันเหมือนกันฉันเองไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรที่จะใช้ห้องนอนร่วมกับเธออยู่แล้ว”
“แต่...แต่ว่า...”
ซูหรงหรงส่งใบหน้าประหนึ่งคนจะร้องไห้ให้เขาทันใดนั้นเธอก็ร้องไห้จริงๆเธอไม่แม้แต่จะเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา จริงๆ แล้วเธอลำบากใจ...
จ้านอี้หยางเหมือนมีความสามารถพิเศษในการอ่านใจคนเขาเอ่ย
“เธอลำบากใจเหรอ? หืม?”
ทั้งแววตาและมุมปากที่อยู่บนหน้าของจ้านอี้หยางปรากฏรอยยิ้มทว่าหางตาและท่าทีที่ส่งมากลับดูมุ่งร้าย แม้จะไม่ได้แสดงออกแต่เสียงที่ส่งมาก็ราวกับเสียงขู่ข่มขวัญ
ซูหรงหรงเข้าใจแล้วว่าเธอกำลังเจอกับอะไร...รอยยิ้มของปีศาจ!
แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือตอนนี้เธออยู่ในกำมือของปีศาจตนนั้นแล้ว
‘ฮือ ใครที่ผ่านมาทางนี้ ได้โปรดช่วยฉันด้วย’
ท่าทีของจ้านอี้หยางที่สงบเยือกเย็นนี้ทำให้ซูหรงหรงตัดสินใจที่จะยอมเสียเอกราชของตัวเองเธอจำยอมก้มหน้าก่อนจะส่ายหัวไปมา
“ไม่ ไม่ได้ลำบากใจ”
ฮือเธอกำลังถูกบีบบังคับชัดๆ
จ้านอี้หยางพอใจกับคำตอบที่ได้รับก่อนจะยิ้มที่มุมปากเขาเอามือลูบผมดำยาวสลวยของซูหรงหรง ก่อนจะยื่นกระเป๋าสัมภาระคืนให้เธอ
“ถ้าอย่างนั้นก็เก็บของเถอะ เก็บเสร็จแล้วเราไปกินข้าวกัน”
“…”
ซูหรงหรงน้ำตานองหน้าเธอจำใจลากกระเป๋ามาที่หน้าตู้เสื้อผ้าแต่เมื่อเธอเปิดประตูตู้ออกก่อนจะใช้มือลูบภายในตู้
เอ๋? เธอกลับพบว่าภายในตู้ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่น
จ้านอี้หยางมองคนตัวเล็กที่เริ่มจัดเก็บเสื้อผ้าแค่มองเขาก็รู้แล้วว่าเธอกำลังคิดอะไร เขาเอ่ยตอบก่อนที่เธอจะถามคำถาม
“เมื่อวานให้แม่บ้านมาทำความสะอาดไว้แล้ว”
อีกครั้งที่ซูหรงหรงน้ำตาตกในเมื่อวาน...เมื่อวานเธอยังไม่รู้เื่อะไรเลยด้วยซ้ำแต่จ้านอี้หยางกลับวางแผนทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว
คนคนนี้ช่างน่ากลัวเสียจริง
สัมภาระของทั้งคู่ไม่ได้มากมายอะไรจัดเก็บครู่เดียวก็เสร็จเรียบร้อย
เธอปิดประตูเสื้อผ้าลงก่อนจะหันไปมองจ้านอี้หยางที่ตอนนี้ถือเสื้อผ้าชุดหนึ่งอยู่ในมือและมองมาที่เธอเช่นกัน
เอ๊ะเธอมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?
ยัยกระต่ายน้อยลูบหน้าลูบตาตัวเองก่อนจะจ้องไปที่จ้านอี้หยาง
จ้านอี้หยางค่อยๆเลิกเสื้อที่สวมใส่ขึ้น ซูหรงหรงยังคงไม่เข้าใจอากัปกิริยานั้นเธอจึงยิ่งเบิกตากว้างมองไปหาเขา
“ฉันจะเปลี่ยนเสื้อ”
จ้านอี้หยางยักไหล่พูดขึ้น
“อ่อ”
ท่าทีของซูหรงหรงที่ส่งไปช่างดูแปลกประหลาดเธอเป็คนหัวช้า ปฏิกิริยาตอบสนองจึงไม่ไวนัก
จ้านอี้หยางหรี่ตาเล็กลงในเมื่อยัยกระต่ายน้อยไม่ออกไป ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะ...ถอดต่อหน้าเธอนี่แหละ!
ทันใดนั้นจ้านอี้หยางก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อ้าของตัวเองออกทีละเม็ดๆ