“อะไรนะ รองผู้บังคับบัญชากองทหาร?!” หลินลั่วหรานพยายามกดอารมณ์ที่เกินกว่าจะอธิบายออกมาได้ ในน้ำเสียงของตัวเองอยู่หน้าตึกเดี่ยวสองชั้น
คนที่เข้าใจเธอเป็อย่างดีแบบเป่าเจียก็ได้แต่ส่งรอยยิ้ม “เหอเหอที่จริงก็ไม่ได้อยากจะปิดบังเธอ แต่เธอก็ไม่เคยถามนี่นา ฉันก็เลยไม่ได้พูด...” เป่าเจียไม่คิดว่าอารมณ์ที่อธิบายออกมาไม่ถูกของหลินลั่วหรานจะมาจากความดีใจที่ได้รู้ความจริง แต่มันน่าจะเป็เพราะโมโหมากกว่า
เดิมทีความโมโหของหลินลั่วหรานเกือบจะทะลุปรอทอยู่แล้วแต่เมื่อเห็นสายตาสั่นๆ ดูน่าสงสารของเป่าเจียที่ส่งตรงมาที่เธอราวกับกำลังร้องขอความเมตตา ช่างน่าเอ็นดู ก็เหมือนกับการปล่อยหมัดใส่กองนุ่นช่วยไม่ได้จริงๆ
ตัวเราเองก็ไม่เคยถามเป่าเจียจริงๆอีกทั้งนิสัยอ่อนไหวคิดมากของตัวเองอีก หากเป่าเจียพูดออกมาตัวเราก็อาจจะตีตัวออกหากจากเพื่อนรักคนนี้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าเกินไปเมื่อคิดได้แบบนี้ หลินลั่วหรานก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาแต่ว่าใบหน้าก็ยังคงแสดงท่าทีดุร้ายอยู่ “ติดเอาไว้ก่อนนะ เดี๋ยวจะมาคิดบัญชีทีหลัง!”
ได้ยินแบบนั้น เป่าเจียก็เบาใจขึ้นมากก่อนจะรีบแปลงร่างจากสาวน้อยชาวบ้านขอความกรุณาไปเป็สาวมั่นสวมรองเท้าส้นสูงอีกครั้งเธอวิ่งไปจนถึงหน้าประตูใหญ่ พร้อมทั้งลงมือทุบประตูเสียจนสั่นะเืโดยไม่สนใจที่จะกดกริ่งที่มี “ผู้บังคับบัญชา หลานสาวที่รักของท่านกลับมาแล้ว รีบเปิดประตูสิ เปิดประตู!”
อาคารเดี่ยวไร้ซึ่งการตอบกลับแต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลกลับพากันรีบปิดหน้าต่างเสียงดัง “ปึงปัง” ไม่รู้ว่าเป็เพราะกลัว“เสียงมารร้าย” ของเป่าเจีย หรือเพราะคำว่า“หลานสาวที่รักของผู้บังคับบัญชา” กันแน่แต่ตัวเธอเองนั้นคิดว่าคำนี้ช่างดูแฝงความน่ากลัวเอาไว้เสียจริง...
หลินลั่วหรานเกือบจะล้มหัวทิ่มเธอรู้ดีว่าเป่าเจียเป็พวกรุนแรง แต่ก็ไม่เคยเห็นท่าทาง “Man” ขนาดนี้ของเธอมาก่อน! หลินลั่วหรานหันหน้าไปอีกทาง ก่อนจะหัวเราะออกมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณตา น่าจะดีทีเดียว!
เป่าเจียยังคงทุบประตูต่อไป หลินลั่วหรานก็พยายามกลั้นขำอยู่ข้างๆก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกโดยไม่ทันคาดคิด หลินลั่วหรานจึงกลับมายืนนิ่งตรงอีกครั้งอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็ควรจะสำรวมหน่อย อย่างไรตัวเธอก็ไม่ใช่เป่าเจีย
แต่เมื่อประตูเปิดออกกว้างใบหน้าหล่อเหลาสวมใส่แว่นตาสีทอง ของหัวหน้าใหญ่ของหลินลั่วหรานกลับปรากฏออกมา ทำไมหลิ่วเจิงถึงอยู่ที่นี่ล่ะ??
เป่าเจียตบลงที่บ่าของเขา “คุณชายหลิ่วก็อยู่เหรอถ้ารู้ก่อนฉันคงจะมาวันอื่นแทน ว้า!”
พูดออกมาได้ตรงเสียจริงปลายหางตาของหลินลั่วหรานเอง ก็เหลือบไปเห็นว่าใบหน้าของหลิ่วเจิงปรากฏความอายออกมาเล็กน้อยแต่ว่า ทำไมคำพูดของเป่าเจียดูไม่ได้ใกับการที่หลิ่วเจิงมาอยู่ที่บ้านของคุณตาเลยล่ะ? นี่พวกเขาสนิทกันขนาดนี้เลยเหรอ?
เหมือนว่าหลินลั่วหรานจะได้พบกับเื่ใหญ่ที่เพื่อนของตัวเองแอบซ่อนเอาไว้ก่อนจะยิ้มร้ายออกมา เมื่อเปิดปากเรียก “หัวหน้า” ออกมาได้แค่คำเดียวก็โดนลากเข้ามาในบ้านเสียก่อน
“เป่าเจีย ตากำลังผัดข้าวอยู่อีกเดี๋ยวก็จะได้กินแล้ว!” เสียงของคนแก่ถูกส่งออกมาจากห้องครัวฟังดูแข็งแรงดี
แต่หลินลั่วหรานก็ยังคงรู้สึกแปลกใจทำไมคุณตาของเป่าเจียจะต้องทำอาหารเองด้วยล่ะ? เธอมองไปยังหลิ่วเจิงที่นั่งอยู่ในห้องโถงก่อนจะได้รับรอยยิ้มที่แสดงถึงความช่วยไม่ได้กลับมา ความหมายของมันก็คือคุณตาของเป่าเจียไม่ยอมฟังที่เขาพูด
เป่าเจียจัดการโยนกระเป๋าไปไว้บนโซฟาก่อนจะเท้าเอวะโ “ผู้บังคับบัญชารีบออกมาได้แล้ววันนี้หนูพาเสี่ยวหรานกลับมาด้วยนะ!”
“หา สาวน้อยบ้านหลินเหรอ? แบบนั้นต้องไปดูสักหน่อย” คนแก่รีบร้อนออกมาจากห้องครัวทั้งที่ในมือยังคงถือตะหลิวผัดข้าวเอาไว้
หลินลั่วหรานถูกตาหลานคู่นี้ทำเอาประหลาดจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วในที่สุดเธอก็ได้รู้เสียทีว่านิสัยที่ทั้งดูสง่าและช่างก่อกวนของเป่าเจียนั้นได้มาจากใคร ความจริงแล้วผู้บังคับบัญชาการกองทหารจะต้องเป็แบบไหนกันนะ?
ใบหน้าขึงขัง สวมชุดเครื่องแบบเต็มตัว หลังตรงพวกนี้เป็สิ่งที่น่าจะจำเป็ใช่ไหม?
แต่ว่าคุณตาของเป่าเจียน่ะเหรอ? ใบหน้าชมพูผ่องใสร่างกายนุ่มนวลแข็งแรง พันผ้ากันเปื้อน แถมยังถือตะหลิวช่างดูเหมือนคุณปู่ที่คอยนั่งเลี้ยงหลานมากกว่าเสียอีก! และที่สำคัญ ผ้ากันเปื้อนผืนนั้น ยังเป็ลายลิง Hip Hop ใน QQ อีกต่างหากทั้งดูน่ารักแล้วก็น่าสงสารดีนะ...
“สวัสดีค่ะ ผู้บังคับบัญชา!” หลินลั่วหรานพยายามเรียกสติให้กลับคืนมาก่อนจะทักทายอย่างเรียบร้อย
หลิ่วเจิงรู้ดีว่าท่าทางของผู้บังคับบัญชาฉินมักทำให้คนภายในนอกใจึงได้แต่ทอดสายตาขึ้นไปยังโคมไฟคริสตัลที่ห้อยระโยงระยางอยู่
ใบหน้าของเป่าเจียแดงขึ้นมาเล็กน้อยแต่ผู้บังคับบัญชาฉินกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรแม้แต่น้อย “เรียกอะไรแบบนั้นกัน เรียกคุณตาแบบเป่าเจียสิ!” หลินลั่วหรานมองไปยังมือที่ควงตะหลิวพร้อมทั้งความกลัวว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้ จึงรีบเรียก “คุณตา” ออกไปผู้บังคับบัญชาฉินเห็นดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “สาวน้อยคนนี้ไม่แย่เลยนี่อืม ผักที่เอามาให้อร่อยดีนะ แน่นอนว่า เป็เพราะฝีมือการทำอาหารของฉันด้วย! ฮ่าๆๆ...แย่ล่ะ ผัดมะเขือม่วงของฉัน!”
ผู้บังคับบัญชาฉินที่มีท่าทางราวกับเด็กตัวเล็กพูดถึงความสามารถในการทำอาหารของตัวเองพร้อมใบหน้าเบิกบาน ก่อนจะร้องออกมาเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ปิดเตาที่ผัดมะเขือม่วงค้างเอาไว้ก่อนจะรีบพุ่งตัวเข้าห้องครัวไปจนเกือบล้ม
หลิ่วเจิงพยายามกลั้นขำด้วยความยากลำบากเป่าเจียรู้สึกราวกับใบหน้าของเธอร้อนไปหมดหลินลั่วหรานจึงได้แต่ตบลงที่บ่าของเธอเพื่อแสดงความเข้าใจ
“มีคนแก่อยู่ในบ้านก็เหมือนมีพระในบ้าน นิสัยของผู้บังคับบัญชาฉินดีมากเลยนะ”
เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าใจของเป่าเจียเธอก็เริ่มจะเข้าใจขึ้นมา จะว่าเป่าเจียที่ไม่เคยพาเธอมาก็คงไม่ได้เพราะถ้าตาของเธอเป็แบบนี้ หลินลั่วหรานก็รู้สึกได้ถึงความกดดันเหมือนกัน
......
บนโต๊ะอาหารผู้บังคับบัญชาฉินถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้ว อีกทั้งยังลงมือทานข้าวไม่พูดจาก็นับได้ว่าเริ่มจะมีท่าทางเหมือนกับผู้บังคับบัญชาขึ้นมาแล้ว
ดูเหมือนว่าหลิ่วเจิงจะถูกเลี้ยงดูสั่งสอนมาอย่างดีในระหว่างทานข้าวไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อยแม้ว่าเขาจะกำลังกินผัดมะเขือม่วงมันเยิ้มของผู้บังคับบัญชาฉินอยู่แต่ก็ยังให้ความรู้สึกราวกับกำลังนั่งทานอาหารยุโรปอยู่ในภัตตาคารที่เปิดเพลงคลอเบาๆ
เป่าเจียยกทัพพีขึ้นมาซดน้ำซุปกับผู้บังคับบัญชาฉินที่กำลังอ้าปากทานเนื้อคำโต ดูเหมือนกันราวกับถอดแบบกันมาแม้แต่คนที่ไม่รู้จัก ก็ยังสามารถมองได้ออกว่าทั้งสองเป็ตาหลานกัน!
เมื่อทานข้าวกันเรียบร้อยแล้วทั้งหมดก็พากันมานั่งคุยเล่นที่โซฟาแม่บ้านนำผลไม้ที่หั่นเรียบร้อยแล้วมาเสิร์ฟให้ ก่อนที่จะเริ่มพูดคุยไปถึงประเด็นหลักของวันนี้
หลินลั่วหรานหยิบถุงผ้าฝ้ายสีแดงที่บรรจุหยกแกะสลักเ้าแม่กวนอิมออกมาพร้อมทั้งพูดกับผู้บังคับบัญชาฉินด้วยความซื่อสัตย์ “คุณปู่ฉินเสี่ยวหรานกับเป่าเจียก็เหมือนคนคนเดียวกัน หากท่านเห็นว่าฉันเป็หลานสาวคนหนึ่งหลานสาวก็ต้องแสดงความกตัญญู ของชิ้นนี้เป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากฉันราคาอาจจะไม่ได้สูงมาก ก็ช่วยอย่าถือสา รับเอาไว้สักหน่อยนะคะ”
เป่าเจียพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย “เธอแอบไปเตรียมของขวัญมาั้แ่เมื่อไรทำไมฉันถึงไม่รู้?” ตลอดทางหลินลั่วหรานก็อยู่กับเธอตลอดนี่นา! ไม่สิ ยังมีตอนที่ไปหาพี่หวังด้วยที่แท้ก็เป็แบบนี้นี่เอง!”
หลินลั่วหรานได้แต่ยิ้มพร้อมทั้งยื่นของขวัญออกไปเมื่อได้ยินว่าไม่ได้ราคาแพงนัก ผู้บังคับบัญชาฉินก็ปฏิเสธออกมาได้ยาก
เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าเป็เครื่องห้อยแขวนประดับหยกชิ้นไม่ใหญ่นักผู้บังคับบัญชาฉินมีตำแหน่งการงานสูง ของดีๆ ก็พบเห็นมาไม่น้อยจึงพอจะมีความรู้เกี่ยวกับของแบบนี้อยู่เล็กน้อย เมื่อได้เห็นก็รีบถามกลับ “นี่ราคาไม่แพงเหรอ? นี่คิดว่าอายุมากแล้ว สมองจะเลอะเลือนหรือยังไง?”
นี่ก็เป็ครั้งแรกที่หลินลั่วหรานได้มองพิจารณาเครื่องแขวนประดับหลังจากผ่านการเติมแต่งครั้งสองของเธอไปแล้วชัดๆ จะพูดอย่างไรดีมันก็ยังเป็แบบเดิม เพียงแต่หลังจากได้รับพลังก็เหมือนว่าจะดูโปร่งใสขึ้นในสายตาของนักฝึกศาสตร์อย่างเธอ ของชิ้นนี้ถือว่าเต็มไปด้วยพลังแต่ในสายตาของคนทั่วไปแล้ว พวกเขามองไม่ใช่พวกพลังพิเศษเหล่านี้แต่ก็รู้สึกว่าเครื่องตกแต่งชิ้นนี้ค่าความโปร่งแสง สีสัน งานแกะสลักไม่มีอะไรที่ไม่สวยงาม แม้ว่าองค์ประกอบทั้งสามจะไม่ได้ดีที่สุดแต่เมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว ก็เข้ากันลงตัวได้ดี
“เป็ของดีจริงๆ นะ” ผู้บังคับบัญชาฉินลูบไล้ลงไปที่เครื่องตกแต่งชิ้นนั้นก้อนหยกให้ความรู้สึกชุ่มชื้นแปลกๆ จนไม่อยากจะปล่อยมือ “แพงเกินไปแล้ว ฉันรับเอาไว้ไม่ได้หรอก”
หลินลั่วหรานเริ่มร้อนใจขึ้นมาเธอไม่ทันคิดว่ามันจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ ในตอนแรกเธอเพียงแค่อยากจะให้ของตกแต่งชิ้นนี้เต็มไปด้วยพลังที่สงบและบริสุทธิ์ก็เท่านั้นเมื่อนำไปประดับอยู่ใกล้ๆ กับตัวคนบ่อยๆ ก็จะมีข้อดีขึ้นมาแต่ใครจะไปรู้ว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงแค่ภายใน แต่ยังส่งผลมาจนถึงภายนอกด้วย!
ดูเหมือนว่า เธอจะดูถูกความสามารถของพลังมากเกินไปหลินลั่วหรานถอนหายใจออกมาก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอยังไม่ได้ทิ้งใบเสร็จตอนที่ซื้อมาไปก็รีบคว้ามันขึ้นมาเพื่อใช้อธิบาย
“คุณปู่ฉิน หนูไม่ได้โกหกนะคะมันไม่ได้แพงจริงๆ เป็เพียงน้ำใจเล็กๆ” ์รู้ดีเมื่อคนบนโลกนำของขวัญไปให้กัน ก็ต่างตั้งตารอให้เ้าของคิดว่าของขวัญของตัวเองนั้นมีราคาแพงมีเพียงเธอเท่านั้น ที่พยายามคิดหาวิธีที่ดูน่าสงสารแบบนี้เพื่อเป็การยืนยันว่าของขวัญของเธอไม่ได้มีราคาแพงจริงๆ
เป่าเจียและหลิ่วเจิงที่อยู่ด้วยต่างก็ทำงานด้านนี้กันทั้งนั้น ผู้บังคับบัญชาฉินไม่ได้เรียกหาหลานสาวของตัวเองแต่กลับควักมือเรียกหลิ่วเจิงแทน “เสียวหลิ่วจือ มาดูหน่อยสิ”
หึหึหัวหน้าใหญ่ผู้สุภาพสูงศักดิ์อย่างหลิ่วเจิง แต่กลับถูกผู้บังคับบัญชาฉินเรียกว่า “เสียวหลิ่วจือ” หลินลั่วหรานก็สังเกตได้ว่าสีหน้าของหัวหน้าเปลี่ยนไป ไม่สงบเหมือนอย่างเดิม...
“ผู้บังคับบัญชาฉินนี่เป็ของราคาหมื่นต้นจริงๆ เป็ของจากร้านคนรู้จักของผมเองสไตล์จากร้านของเธอมองแค่ครั้งเดียวผมก็รู้ เพียงแต่น่าจะเป็ของดีในราคา่นี้เมื่อมองดูดีๆ เห็นได้ว่ามีบางส่วนที่ต่างออกไปจากของในล็อตเดียวกัน หลินลั่วหรานตาถึงเลยเลือกมาได้ดีขนาดนี้” เมื่อมองดูแล้วหลิ่วเจิงก็แสดงความเห็นของตัวเองออกมา สมกับที่เป็ระดับสูงถึงจะไม่ได้ถูกเสียหมด แต่ก็เข้าใกล้ความจริงมากทีเดียว
หลินลั่วหรานกังวลว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาจะห่างไกลจากสิ่งที่ตัวเองพูดไปมากจึงเอาแต่มองเขาตาไม่กะพริบก่อนจะค้นพบท่าทางเล็กๆ ที่ดูน่ารักของหัวหน้าของตัวเองเมื่อเขาเริ่มรู้สึกเขินขึ้นมา หรือว่าเริ่มกระวนกระวายใจก็จะยกมือขึ้นดันแว่นที่ปลายจมูกของตนเอง
ผู้บังคับบัญชาฉินค่อนข้างเชื่อคำพูดของหลิ่วเจิงเขาจึงตัดสินใจรับของขวัญชิ้นดีเอาไว้
เมื่อหลิ่วเจิงเห็นว่าหลินลั่วหรานเอาแต่มองตัวเองตาไม่กะพริบก็เริ่มดันแว่นของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียงไออ้อมแอ้มเตือนเธอหลินลั่วหรานรู้สึกได้ถึงท่าทางที่ไม่เหมาะไม่ควรของตัวเองก็รีบหันหน้าหนีไปทางอื่น ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะขึ้นสีแดง
เป่าเจียไม่พูดอะไรเพียงแต่มองทุกอย่างเอาไว้ในสายตาก่อนที่ภายในดวงตาเรียวของเธอจะปรากฏความซุกซนขึ้นมา แล้วผ่านหายไปโดยที่ไม่มีใครได้ทันสังเกต
ทุกคนพากันคุยเรื่อยเปื่อยมาจนถึงเื่ที่หลินลั่วหรานอยากจะรับเลี้ยงเด็ก ที่เธอกับเป่าเจียได้ช่วยเอาไว้แต่อายุดันไม่ถึง ผู้บังคับบัญชาฉินถลึงตาขึ้น “ที่แท้ก็มาหาฉันเพราะเื่เส้นสายนี่เองไม่อย่างนั้นเด็กอย่างเธอคงจะไม่กลับมาหาฉันสินะ แย่เกินไปแล้ว!”
เมื่อประเด็นไปตกอยู่ที่เป่าเจียเหงื่อก็เริ่มไหลผุดขึ้นมาจากตัวของหลินลั่วหรานแต่เป่าเจียกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรกับท่าทางของตาของตัวเอง เธอถลึงตาโต ก่อนจะถามกลับ “ผู้บังคับบัญชาคะท่านต้องเข้าใจนะคะ นี่เป็การทำเื่ดี ท่านพูดไว้ว่ายังไงนะ? ทางที่ยากลำบากยัง้าอยู่ไหม? ที่ตั้งใจจะทำเพื่อประชาชนนั่นลืมไปหมดแล้วเหรอคะ?”
การถามกลับที่เต็มไปด้วย “ััของยุคสมัย”ของเป่าเจีย ไม่เพียงแต่ทำให้คุณตาของเธอนิ่งไปแม้แต่หลิ่วเจิงเองก็ไม่อาจจะทำใจให้สงบได้อีก ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าไปหลินลั่วหรานรู้สึกว่าการพยายามกลั้นขำเป็เื่ที่ช่างยากลำบากสุดท้ายเธอจึงเลือกที่จะเข้าร่วมกลุ่ม “มองฟ้า” ด้วยเช่นกัน
ผู้บังคับบัญชาฉินถูกเป่าเจียตอกกลับเสียจนได้แต่ชี้หน้าของเป่าเจียอยู่โดยไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
ในที่สุดหลิ่วเจิงก็จบกิจกรรมมองฟ้าของตัวเองลงก่อนจะไออ้อมแอ้มออกมา “ที่จริงแล้ว...”
เมื่อเขาเริ่มพูดสายตาทั้งสามคู่กับหันมามองที่เขาเป็ตาเดียวโดยเฉพาะดวงตาของหลินลั่วหรานที่เปล่งประกายออกมาจนทำให้เขาเริ่มจะสงบอารมณ์ไม่อยู่อีกครั้ง “ที่จริงแล้ว...ใช้ชื่อพ่อแม่ของคุณหลินก็ได้นี่”
ใช้ชื่อของพ่อกับแม่? จริงสิแบบนี้ก็ไม่ต้องใช้เส้นสายอะไรด้วย ไม่ต้องกังวลเื่อายุการรับเลี้ยงทั้งพ่อและแม่ก็ต่างเป็คนจิตใจดี อยากจะ “ได้หลาน” กันอยู่แล้วเพราะแบบนั้นน่าจะเห็นด้วยกับเื่นี้ ถูกไหม? อย่างไรถึงเวลานั้นแล้วก็จะมาอยู่ด้วยกัน แล้วมันจะต่างอะไรกับการที่เธอจะรับเลี้ยงเองกันล่ะ?
วิธีง่ายๆ แบบนี้ยังคิดไม่ออกตัวเองและเป่าเจียนี่ ดูท่าว่าจะกังวลเสียจนวุ่นวายจริงเชียว