เป็ดังคาด ครั้นเซวียอวี่โหรวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจออกมา “มารดาของเ้ายามนั้นได้รับความยากลำบากมิน้อยเลยจนสุดท้าย...ยามที่นางสิ้นลมหายใจ เ้ายังเป็ทารกในห่อผ้าอ้อม คืนนั้นฮูหยินสั่งให้คนเข้าไปแย่งเ้าออกมามารดาเ้า นางก็...”
ทันทีที่เซวียอวี่โหรวเพิ่งจะอ้าปากเล่ามาถึงตรงนี้ฉับพลันนั้นนางได้ยินเสียงดังเข้ามาจากข้างนอก เซวียอวี่โหรวเงียบเสียงลงทันทีเหนียนยวี่มองไปในทิศทางที่เสียงดังลอดเข้ามา เห็นแม่นมเฒ่าคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้
“โอ้ พบคุณหนูรองแล้วนึกไม่ถึงเลยว่าคุณหนูรองจะอยู่ในสวนเซียงฟาง บ่าวรบกวนเวลาแห่งความสุขของทั้งสองท่านแล้วเ้าค่ะ”ผู้ที่มาเยือนคือแม่นมของหอหยางซินสาวใช้คนสนิทที่คอยรับใช้ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนนางคอยดูแลจวนเหนียนมาเป็เวลาเนิ่นนานแล้ว แม้แต่เหล่าอนุยังต้องปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพนอบน้อม
เซวียอวี่โหรวลุกยืนขึ้นทันที"แม่นมไหนเลยจะรบกวน แม่นมมาเยือนสวนเซียงฟางทั้งทีอวี่โหรวยังไม่เคยทักทาย..."
“หึ นายหญิงทั้งสองคุยสัพเพเหระกันจะทักทายผู้เฒ่าเช่นข้าไปทำไม ทว่า...” แม่นมปราดสายตาจ้องมองคนทั้งสองท้ายสุดแววตานั้นตกไปที่เหนียนยวี่ “จำต้องรบกวนท่านทั้งสองแล้วฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินว่าคุณหนูรองกลับมาแล้วจึงสั่งบ่าวให้มาตามคุณหนูรองไปหอหยางซินเ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนสั่งให้นางไปหาที่หอหยางซิน?
เหนียนยวี่ขมวดคิ้วฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนไม่เคยอยากพบนางสักครั้ง แม้ตนจะอยู่ตรงหน้านางนางยังมองตนเป็อากาศ ประหนึ่งว่านางนั้นไร้ตัวตน เหตุใดตอนนี้ถึงได้อยากเจอนางเล่า
เซวียอวี่โหรวหันมองเหนียนยวี่เหนียนยวี่ลุกขึ้นยืน มุมปากยกยิ้ม พร้อมกับย่อเข่าโค้งคำนับให้อนุสามเล็กน้อย“ยวี่เอ๋อร์ขอบคุณอนุสามที่ตระเตรียมของว่างไว้ให้เ้าค่ะมิรู้ว่าอีกนานเท่าใดถึงจะได้มาเยี่ยมชมและเสพสุขที่สระบัวของที่นี่อีก”
ในคำพูดของเหนียนยวี่เอ่ยถึงดอกบัวทว่าสิ่งที่นางจะสื่อคือเื่ของมารดา
เซวียอวี่โหรวฟังความนัยที่เหนียนยวี่้าจะสื่อออกนางจึงมิได้เอ่ยตอบสิ่งใด สีหน้าดูไม่สบายใจเล็กน้อยเื่ที่นางเล่าในเหนียนยวี่ฟังเมื่อครู่ แม่นมจะได้ยินหรือไม่?
หากนางได้ยินเกรงก็แต่ว่าหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนเจอคุณหนูรองแล้วจากนั้นคงต้องมาเรียกตัวนางไปพบเป็แน่
ระหว่างที่เซวียอวี่โหรวครุ่นคิดเหนียนยวี่ได้เดินตามแม่นมที่เดินนำนางออกจากสวนเซียงฟางไปแล้วทิ้งให้นางอยู่ริมสระบัวตามลำพังนั่งจ้องมองบัวในสระด้วยสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ
ณ หอหยางซิน
ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนเอนกายอยู่บนตั่งั้แ่ที่เหนียนยวี่เดินเข้าประตูมา นางตรงเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าตั่งเพียงแต่ยามที่นางเข้ามานั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนปรายตามองเหนียนยวี่แล้วรีบปิดตาลงหากมิใช่เพราะนางหายใจเร็วรี่ในบางครั้ง คงทำให้ผู้คนคิดจริงๆ ว่านางหลับไปแล้ว
เหนียนยวี่นึกภาพที่นางปรายตามองมาเมื่อครู่ในหัวสายตานั้นแฝงไว้ด้วยอารมณ์มากมาย ทั้งความเ็า ทั้งความโกรธเกรี้ยวแม้กระทั่งความเคียดแค้น
เท่าที่นางจำได้ ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนผู้นี้พบเจอนางก็มักจะทำเป็มองไม่เห็นหลายต่อหลายครั้ง ความรู้สึกเคียดแค้นนั้นจะมีเผยออกมาบ้างเป็ครั้งคราวทว่ามิได้รุนแรงเท่าเมื่อสักครู่นี้
ความเคียดแค้นของนางในยามนี้เป็เพราะเื่ของเหนียนอีหลานหรือ?
บรรยากาศภายในห้องยังคงสงบเงียบอย่างแปลกประหลาดผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนจึงค่อยๆ ลุกขึ้นเหนียนยวี่คิดว่านางน่าจะ้า “สั่งสอน” ตนเองสักบทเป็แน่ ทว่านึกไม่ถึงเลยว่านางกลับยังคงไม่แม้แต่เหลียวมองทั้งยังเอ่ยเรียกสาวใช้ให้เข้ามาพยุงนางออกจากห้องโดยมิเอ่ยอะไรกับเหนียนยวี่แม้แต่นิดเดียว
เหนียนยวี่รู้สึกขบขันยิ่งนัก ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนสั่งให้นางมาหาทั้งยังเมินใส่นางและทิ้งให้ยืนอยู่ในนี้ แท้จริงแล้วนาง้าอะไรกันแน่
เหนียนยวี่ยืนอยู่ในหอหยางซินตลอดทั้งบ่ายจนกระทั่งฟ้าลับแสงเข้าสู่่ค่ำคืน จึงได้มีคนมาบอกนางว่าฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนให้นางกลับไปได้แล้ว
ทันใดนั้นเหนียนยวี่พลันเข้าใจเจตนาของฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนได้ทันที นางตั้งใจจะบอกกับตนว่าในสายตาของนาง เหนียนยวี่มิได้นับเป็อะไรในจวนเหนียนทั้งนั้น!
ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนดูถูกเหยียดหยามนางมากถึงเพียงนี้เหตุใดสุดท้ายนางถึงได้ปล่อยตนไปตอนใกล้มืดค่ำเล่า?
คนฉลาดเฉลียวเช่นเหนียนยวี่ ต้องเข้าใจต้นเหตุของเื่นี้ได้อย่างแน่นอนเพราะแม้ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนจะดูถูกเหยียดหยามนาง ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนนั้นยังคงเกรงกลัวฐานะของตนในยามนี้
มีป้ายประกาศว่าเป็บุตรีบุญธรรมขององค์หญิงใหญ่แปะอยู่ตรงหน้าแม้นางจะมิได้เป็อะไรก็ตามแต่ ทว่าคนรอบข้างก็ยังจำต้องเกรงกลัว
เหนียนยวี่รู้สึกเย้ยหยันในใจ บนโลกใบนี้ ศักดิ์ฐานะยังคงเป็อะไรที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง
เหนียนยวี่มุ่งหน้ากลับตำหนักองค์หญิงใหญ่เป็เวลาสิบวันติดต่อกันแล้วที่เหนียนยวี่เอาแต่พักอยู่ในตำหนักองค์หญิงั้แ่วันนั้นที่กลับมาที่พำนักชั่วคราวของขุนนางเหนียนยวี่ก็ยังมิได้เจอจ้าวอี้เลย ได้ยินว่าไม่กี่วันมานี้ เขาเอาแต่เก็บตัวอยู่ในจวนมิย่างก้าวออกมาพบเจอผู้ใดเลย ไม่มีใครรู้เลยว่าตอนนี้เขากำลังทำสิ่งใดอยู่
กลับกัน ทางด้านอวี่เหวินหรูเยียนได้เดินทางมาหานางที่ตำหนักองค์หญิงใหญ่ถึงสองครั้งสองคราแล้วทุกครั้งที่มาทั้งสองจะนั่งพูดคุยดื่มชากันอย่างผ่อนคลาย
่เวลาสั้นๆ ที่ผ่านมานางเองก็มิได้พบหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนอีกเลย ทว่าในเวลายามเช้าของทุกๆ วันนางจะได้ยินเสียงบรรเลงฉินจากนอกกำแพงด้านหลังลานตำหนักองค์หญิงใหญ่ดังเข้ามาเสมอและยังคงเป็บทเพลง “หงส์คู่โบยบิน” ท่วงทำนองที่คุ้นเคยของกู่ฉินที่แสนไพเราะทว่าเหนียนยวี่ที่ได้ฟังบทเพลงนั้น กลับรู้สึกเย้ยหยันอยู่ในใจ
หลีอ๋องผู้นี้ดีดฉินเยี่ยงนี้ทุกวัน้าเล่นให้ผู้ใดฟังกัน?
เดือนเจ็ดเพิ่งผ่านพ้นไป ข่าวคราวจากวังหลวงแพร่สะพัดเข้ามาเล่าลือกันว่าฉางไทเฮาทรงกลับไปเขาฉีชานที่เงียบสงบและงดงามแล้วฮองเฮาอวี่เหวินจึงจัดงานเลี้ยงส่งนางองค์หญิงใหญ่ชิงเหอและเหนียนยวี่เองก็ได้รับเชิญทั้งคู่
ยามที่เหนียนยวี่ได้ยินข่าวนี้แม้แต่นางยังรู้สึกประหลาดใจ
มีข่าวเล่าลือกันข้างนอกว่าฮองเฮาอวี่เหวินทนฉางไทเฮามิได้ ฉางไทเฮากลับไปครานี้ ฮองเฮาอวี่เหวินก็มิไปส่งนี่ไม่ยิ่งทำให้คนเอาไปเล่าเป็เื่นินทาหรอกหรือ?
ฮองเฮาอวี่เหวินไม่สนใจคำพูดของผู้คนภายนอกทว่าดูแล้ว เกรงว่าฉางไทเฮาต้องรับมือไม่ทันแน่!
ทว่าความคิดภายในลึกๆ ของฉางไทเฮานั้น นางจะเต็มใจกลับไปได้อย่างไร?
นางไม่ได้เต็มใจอยากกลับไปเป็แน่ถึงแม้ว่าฮองเฮาอวี่เหวินจะไม่้าให้อยู่ที่นี่ต่อไป ทว่านางคงต้องหาหนทางอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้อยู่ต่อเป็แน่
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในชาติก่อนหลังจากที่ฉางไทเฮากลับมาวังหลวง นางก็มิได้กลับไปที่นั่นอีกเลย
เหนียนยวี่รู้ดีว่า งานฉลองเลี้ยงส่งครานี้ฉางไทเฮามิได้นั่งงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ แน่!
วันที่จัดงานเลี้ยงคือวันที่หก เดือนแปด
วันนี้คือวันที่สอง เดือนแปด
เหนียนยวี่ได้รับจดหมายั้แ่ยามเช้าหลังนางอ่านข้อความข้างต้น ใจของเหนียนยวี่พลันหดรัดแน่น แทบมิต้องคิดสิ่งใดนางรีบเก็บจดหมายนั้นไว้อย่างดีทันทีและเร่งรีบออกจากประตูไปประหนึ่งสายลมกรรโชก
เหนียนยวี่ขี่ม้าจากตำหนักองค์หญิงใหญ่ออกนอกเมืองชุ่นเทียนมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ในจดหมาย
ณ ห้องทรงพระอักษรในวังหลวง
ฮ่องเต้หยวนเต๋อมีพระพักตร์เคร่งขรึมหนักหน่วงหนังสือกราบบังคมทูลที่ทรงถือไว้ในมือสั่นไหวเล็กน้อย
“ฝ่าา พระองค์มิเป็อะไรใช่หรือไม่?” ชิงหร่านที่อยู่ข้างกายสังเกตเห็นท่าทีของฮ่องเต้หยวนเต๋อจึงเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวัง ครั้นเอ่ยจบ ฮองเฮาอวี่เหวินพลันเดินเข้ามาโดยมีเจินกูกูคอยประคองนางย่ำก้าวมาทางฮ่องเต้อย่างรีบเร่งร้อนใจ
“ฝ่าา...พระองค์ทรงรู้เื่แล้ว”ฮองเฮาอวี่เหวินหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เพียงแค่เห็นสีหน้าของฮ่องเต้หยวนเต๋อนางก็แน่ใจแล้ว
“ควรจัดการอย่างไรดีเพคะ? นี่มิใช่เื่หยอกล้อเล่นกันเลยนะเพคะ อีกอย่างหม่อมฉันได้ยินว่าท่านแม่ทัพหลวงเองก็อยู่ที่นั่นเป็ไปได้ว่า...”
“ไม่มีทาง ฉู่ชิงร่างกายแข็งแรงไม่มีทางเป็อะไรแน่” ฮ่องเต้หยวนเต๋อตัดบทฮองเฮาอวี่เหวิน น้ำเสียงแข็งกร้าวทว่าในใจกลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ร่างกายแข็งแรง? กองพลสำรองทุกคนในค่ายเสินเช่อพวกเขาทุกคนใช้เรี่ยวแรงและกำลังกายกันทุกวัน จะมีผู้ใดที่ไม่แข็งแรงกัน?
ทว่าจากสถานการณ์ที่ฉู่ชิงรายงานมาในหนังสือกราบบังคมทูลนี้เพียงแค่คืนเดียวก็มีคนติดโรคระบาดไปหลายสิบคนแล้ว
ค่ายเสินเช่อได้รับการปกป้องและทุกสิ่งทุกอย่างในนั้นล้วนถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโรคระบาดจะแพร่กระจายจากค่ายเสินเช่อได้อย่างไร?
เื่นี้มันช่างแปลกประหลาด ทว่ายามนี้มิใช่เวลาสืบหาเพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมมัน!
ฮองเฮาอวี่เหวินหยิบหนังสือกราบบังคมทูลม้วนนั้นขึ้นมาครั้นเห็นเนื้อหาในนั้น ดวงตานางพลันดำมืดขึ้นมาเล็กน้อย