การแจกไพ่กระดาษในยุคโบราณก็เหมือนกับการแจกไพ่กระดาษในยุคปัจจุบัน
ลูกน้องอีกคนหนึ่งของซูมู่เจ๋อแจกไพ่ให้คนทั้งสอง
ทั้งหมดมีสามสิบใบ แบ่งให้คนละสิบห้าใบ
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าซูมู่เจ๋อไม่แตะไพ่บนโต๊ะแม้แต่น้อย นางก็ทำตามเขา ไม่แตะต้องไพ่กระดาษบนโต๊ะเช่นกัน
เมื่อลูกน้องของซูมู่เจ๋อแจกไพ่จนหมดแล้ว ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านทั้งสองออกไพ่ได้แล้วขอรับ”
ซูมู่เจ๋อถือไพ่สามใบไว้ในมือ เขาขยับไพ่ในมือเบาๆ ไม่แสดงสีหน้าใด
เยว่เฟิงเกอเองก็หยิบไพ่ขึ้นมาสามใบเช่นกัน แต่นางไม่ได้มองไพ่ในมือ สายตาจดจ้องซูมู่เจ๋อตลอดเวลา
ถึงแม้เขาจะไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย แต่สายตาเขามีแววผิดหวังวาบผ่าน
เยว่เฟิงเกอเข้าใจในทันที ดูท่าแต้มบนไพ่ทั้งสามใบในมือซูมู่เจ๋อคงจะต่ำมาก
ซูมู่เจ๋อไม่พูดอะไร วางไพ่ทั้งสามกลับลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบไพ่ขึ้นมาอีกสามใบ กรีดไพ่ออกเบาๆ
ตอนนี้เองเยว่เฟิงเกอถึงได้มองไพ่สามใบในมือตน ซึ่งทั้งสามใบนี้มีสามหมื่น สี่หมื่น และห้าหมื่น
ดูเหมือนว่าแต้มของไพ่สามใบนี้จะไม่เลวนัก
ตอนที่ซูมู่เจ๋อกรีดไพ่สามใบนั้นออกดูบ้าง ในที่สุดใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม
ลูกน้องที่ยืนอยู่หลังเขาเองก็เห็นว่าทั้งสามใบเป็ไพ่เซียน
เยว่เฟิงเกอจับสังเกตทัน แน่นอนว่าย่อมต้องเห็นรอยยิ้มที่มาไวไปไวของซูมู่เจ๋อ
นางเองก็หยิบไพ่ขึ้นมาอีกสามใบ พบว่าในมือตนมีไพ่เซียนแค่ใบเดียว ส่วนอีกสองใบเป็สองร้อยกับสามร้อย
ดูเหมือนว่าไพ่ในมือนางคงจะไม่ได้ดีไปกว่าไพ่ในมือของซูมู่เจ๋อเท่าใดนัก
เยว่เฟิงเกอคิดคำนวณในใจว่าต่อจากนี้ควรจะลงไพ่อย่างไร ถึงจะทำให้ไพ่เลวในมือกลายเป็ไพ่ดีได้
อย่างไรก็ตาม ไพ่อีกเก้าใบที่เหลือนั้นไม่มีใครแตะต้องอีก
ซูมู่เจ๋อหยิบไพ่ชุดแรกขึ้นมา ลูกน้องข้างกายเขาถึงได้เห็นว่า ที่แท้ไพ่สามใบแรกที่คนหยิบมาได้เป็แต้มน้อยทั้งหมด ได้แก่ สองร้อย สามร้อยและห้าร้อย
ซูมู่เจ๋อมองไพ่สามใบในมือ ยามนี้เขามั่นอกมั่นใจเป็อย่างมากว่าตานี้เขาจะต้องชนะ
เยว่เฟิงเกอมองไพ่ในมือตน นอกจากไพ่เซียนใบนั้นแล้ว ไพ่ที่มีจำนวนแต้มมากที่สุดก็คือไพ่ห้าหมื่น
ทว่า นางไม่แม้แต่จะเผยสีหน้าผิดหวังให้ใครได้เห็น มุมปากนางยังคงมีรอยยิ้มเ้าเล่ห์ประดับอยู่
ซูมู่เจ๋อเห็นว่าเยว่เฟิงเกอยังยิ้มได้อยู่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในกองนี้มีไพ่เซียนทั้งหมดสี่ใบ ซึ่งในมือเขามีอยู่สาม แน่นอนว่าอีกใบที่เหลืออยู่ ถ้าไม่อยู่ในมือเยว่เฟิงเกอก็ต้องยังกองรวมอยู่ในอีกเก้าใบที่เหลือ
ต่อให้แต้มของไพ่ในมือเยว่เฟิงเกอจะสูงแค่ไหน นางก็แพ้แน่แล้ว เพราะไพ่เซียนหนึ่งใบมีค่าเท่ากับไพ่สามใบที่มีจำนวนแต้มสูงที่สุดในมืออีกฝ่าย
และเขาก็มีไพ่เซียนถึงสามใบ ต่อให้ไพ่ในมือเยว่เฟิงเกอจะมีจำนวนสูงแค่ไหนก็ไม่มีทางสู้ไพ่ในมือของเขาได้
เยว่เฟิงเกอเลิกคิ้ว ถามว่า “เถ้าแก่ซูมองข้าเช่นนี้มีอันใดหรือ รีบออกไพ่สิ”
ซูมู่เจ๋อหัวเราะพรืด ก่อนจะหยิบไพ่สามใบที่แต้มน้อยที่สุดออกมา
เยว่เฟิงเกอเองก็หยิบไพ่สามใบที่แต้มน้อยที่สุดในมือออกมาเช่นกัน
เพียงแต่ไพ่สามใบที่นางเลือกมา ชั่วขณะที่โยนลงไปบนโต๊ะนั้นก็ได้กลายเป็ไพ่ที่มีแต้มสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
แต้มไพ่ที่เดิมทีเป็สองร้อย สามร้อยและสี่ร้อย กลายเป็ไพ่ห้าร้อย หกร้อยและเจ็ดร้อยในชั่วพริบตา
ทุกคนรวมถึงลูกน้องของซูมู่เจ๋อ ไม่มีใครได้เห็นว่าเดิมทีไพ่ในมือเยว่เฟิงเกอมีกี่แต้ม
ยามที่ซูมู่เจ๋อเห็นว่าไพ่ของตนมีแต้มน้อยกว่าเยว่เฟิงเกอนั้น เขาก็ไม่อาจไม่หยิบไพ่เซียนออกมาใช้
ครั้นซูมู่เจ๋อโยนไพ่เซียนลงไปบนโต๊ะ มันกลับกลายเป็ไพ่แต้มสามพันไปในพริบตา ส่วนไพ่เซียนที่เดิมควรจะอยู่ในมือซูมู่เจ๋อได้ย้ายตำแหน่งมาอยู่ในมือเยว่เฟิงเกอแทน
ยามที่ซูมู่เจ๋อกำลังอึ้งค้างอยู่นั้น เยว่เฟิงเกอก็โยนไพ่แต้มสี่หมื่นออกมากระทบไพ่ก่อนหน้าของซูมู่เจ๋อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อซูมู่เจ๋อเห็นว่าแต้มบนไพ่ทุกใบที่เยว่เฟิงเกอโยนออกมาเปลี่ยนไปหมด เขาก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที
ซูมู่เจ๋อชี้หน้าเยว่เฟิงเกอ กล่าวด้วยเสียงอันดัง “เ้าโกง”
ครั้งนี้ซูมู่เจ๋อได้เห็นกลโกงของเยว่เฟิงเกออย่างชัดเจนแล้ว ที่แท้ฝีมือระดับนางก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นเทพเซียน
ลูกน้องข้างกายซูมู่เจ๋อเองก็ชี้นิ้วด่าเยว่เฟิงเกอเช่นกัน “นังเด็กบ้านี่ ถึงกับกล้าโกงเถ้าแก่ของเรา เ้าไม่อยากอยู่แล้วใช่หรือไม่? ”
ชั่วขณะนั้นคนทั้งโรงพนันก็ส่งเสียงเซ็งแซ่ ทุกคนพากันตำหนิเื่ที่เยว่เฟิงเกอโกง
เยว่เฟิงเกอไม่โกรธ นางตบโต๊ะอย่างแรงเพื่อหยุดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนโดยรอบ
“เมื่อครู่ทุกท่านก็เห็นกันอยู่ ข้าไม่ได้แตะต้องไพ่ในมือซูมู่เจ๋อด้วยซ้ำ เมื่อครู่คนที่จ่ายไพ่ก็ไม่ใช่ข้า ไหนพวกเ้าลองบอกมาสิ ข้าโกงเขาอย่างไร? ” เยว่เฟิงเกอยิ้มมองไปรอบๆ
คนพวกนี้เลือกที่จะปิดปากกับคำถามของเยว่เฟิงเกอ เนื่องจากไม่เห็นจริงๆ ว่านางเล่นตุกติกอย่างไร นางจับแค่ไพ่ฝั่งตัวเอง ยังไม่มีโอกาสให้ได้แตะต้องไพ่ฝั่งซูมู่เจ๋อเลย
เมื่อครู่เพียงซูมู่เจ๋อเปิดไพ่ออกมาแล้วเห็นจำนวนแต้มของตนมีน้อยกว่าเยว่เฟิงเกอ ก็ลุกขึ้นยืนชี้หน้าเยว่เฟิงเกอ กล่าวหาว่านางโกงทันที
ยิ่งกว่านั้น ทุกครั้งที่เขาแพ้ให้นาง ก็มักจะพูดว่านางโกง
สิ่งนี้ทำให้ใจของนักพนันทั้งหลายเริ่มเกิดความสงสัยต่อคำพูดของซูมู่เจ๋อแล้ว
บางคนถึงกับคิดว่าเป็เพราะซูมู่เจ๋อแพ้ไม่เป็ถึงได้กล่าวหาว่าอีกฝ่ายโกง
ครั้งนี้ซูมู่เจ๋อไม่เก็บความคับข้องใจไว้ในใจอีกต่อไป ในเมื่อในที่สุดเขาก็มีหลักฐานว่าเยว่เฟิงเกอโกง แน่นอนว่าย่อมต้องระบายความโกรธออกมาให้สาสมจึงชี้หน้าเยว่เฟิงเกอ กล่าวว่า “ไพ่ที่ข้าจะเปิดออกมาเมื่อครู่เป็ไพ่เซียน แต่พอโยนออกไปกลับกลายเป็ไพ่สามหมื่นไปได้ ดังนั้น ไพ่เซียนที่เดิมทีเป็ของข้าจักต้องอยู่ในมือเ้าตอนนี้อย่างแน่นอน หากจะยังโป้ปดว่าตัวเ้าไม่ได้โกง แม้แต่ผีสางก็คงไม่ยอมเชื่อเ้าแล้ว”
ลูกน้องข้างกายซูมู่เจ๋อก็ช่วยพูดด้วยเช่นกัน “ถูกต้อง เมื่อครู่ข้าเห็นอย่างชัดเจนว่าไพ่ในมือเถ้าแก่คือไพ่เซียน เพียงแต่ตอนที่โยนลงบนโต๊ะกลับกลายเป็ไพ่สามหมื่นไปได้ เ้าบอกว่าไม่ใช่เ้าที่เล่นตุกติก เช่นนั้นจะยังเป็ใครไปได้อีก? ”
เมื่อซูมู่เจ๋อและลูกน้องของเขากล่าวเช่นนี้ สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่เยว่เฟิงเกออีกครั้ง
พวกเขาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบากันอีกครั้ง เพราะเริ่มเชื่อแล้วว่าเป็เยว่เฟิงเกอที่เล่นตุกติก
เยว่เฟิงเกอหัวเราะเบาๆ ไปเสียงหนึ่ง “เถ้าแก่ซูอย่าปรักปรำผู้อื่น ข้าอยากถามท่านสักประโยค การหยิบของโดยไม่ัั ทั้งยังเป็การสับเปลี่ยนของสิ่งนั้นมาเป็ของตนเองโดยที่ไม่มีช่องโหว่ให้ใครได้เห็นเช่นที่ท่านว่านั้น ใครจะไปทำได้? ข้าเป็คนนะไม่ใช่เทพเซียน ข้าทำไม่ได้หรอก”
เยว่เฟิงเกอพูดแล้วก็ยักไหล่
คนอื่นๆ ได้ยินคำอธิบายของเยว่เฟิงเกอก็คิดว่ามีเหตุผล
ในโลกใบนี้มีใครบ้างที่จะมีความสามารถเช่นนั้น อยู่ห่างกันตั้งไกล แต่สามารถหยิบฉวยของของคนอื่นมาเป็ของตนเองได้โดยไม่ต้องััจับต้องและไม่มีใครเห็น นี่มันจะพิลึกพิลั่นเกินไปแล้วกระมัง
ที่จริงแล้วเยว่เฟิงเกอไม่ได้มีความสามารถในการสับเปลี่ยนสิ่งของด้วยพลังจิตอะไรแบบนั้น แต่ที่นางสามารถสลับไพ่ของนางกับซูมู่เจ๋อได้นั้นล้วนเป็เพราะเวทมนตร์
ชั่วขณะที่นางโยนไพ่ของตนออกไป ก็ได้อาศัยความว่องไวสลับของตนกับซูมู่เจ๋อ
ซูมู่เจ๋อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะคำพูดของเยว่เฟิงเกอ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบกลับไปอย่างไร
เยว่เฟิงเกอพูดขึ้นอีกครั้ง “เถ้าแก่ซู คงไม่ใช่ว่าท่านแพ้ไม่เป็หรอกนะ เหตุใดทุกครั้งที่แพ้ เถ้าแก่ซูต้องบอกว่าข้าโกงด้วย หรือว่าเถ้าแก่ซูไม่เคยโกงเลยอย่างนั้นหรือ”
“ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนตอนที่ข้าช่วยจินว่านหลี่ไถ่หนี้ เถ้าแก่ซูเองก็เคยโกงไปครั้งหนึ่ง”
“น่าเสียดาย กลโกงของเถ้าแก่ซูดูออกง่ายเกินไป ข้ามองปราดเดียวก็รู้แล้ว”
คำพูดของเยว่เฟิงเกอราวกับเป็การเชิญชวนให้ทุกคนพากันเบนสายตาไปมองซูมู่เจ๋อ
ตอนที่พวกเขาคิดตำหนิเถ้าแก่ซูอยู่ในใจก็ยังอดไม่ได้ให้รู้สึกสับสนไปด้วย เถ้าแก่ซูเคยไปเล่นพนันกับแม่นางน้อยคนนี้เมื่อใด?
ครั้งก่อนคนที่พนันกับเขาไม่ใช่คุณชายสูงศักดิ์ท่านหนึ่งหรอกหรือ?
ซูมู่เจ๋อถูกหลายสายตาจับจ้องจนหน้าแดงก่ำ เขาอยากจะเถียงกลับไป แต่คิดไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรดี
เขาจับไพ่ในมือแน่นราวกับอยากจะบีบให้แหลกคามือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้