หมาป่าเทาสัตว์ิญญาระดับสอง เมื่อมองจากขนที่เรียงยาวเป็ชั้นและใบหน้าที่ดุร้ายทำให้รู้ว่าหมาป่าตัวนี้อยู่ในระยะที่โตเต็มวัยแล้วและมีพละกำลังของสัตว์ิญญาระดับสองอยู่เต็มตัว!
ฟู่
ซูเหยียนพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะเรียกกระบี่เพลิงกัลป์แล้วพูดขึ้น“ห้ามใครมาแย่งสัตว์ิญญาตัวแรกจากข้าเด็ดขาด!”
ถังเชวียหรานเร่งเร้า“รีบลงมือเถอะ พวกเรามีเวลาไม่มาก ถงเอ๋อร์เ้าเตรียมตัวไปเด็ดดอกเฉ่อเถิงฮัวนั่นมาแล้วกัน”
“อื้ม!”
ดวงตาของหมาป่าเทากลายเป็สีเืลำตัวพองขนพร้อมรบ ทั่วทุกอณูปกคลุมด้วยพลังอันลึกลับ ก่อนกระโจนใส่อย่างรวดเร็ว
ซูเหยียนพุ่งออกไปข้างหน้าและใช้เพลงกระบี่กระบวนท่าที่หนึ่งของตระกูลซูอย่างโยนหินถามทางฟาดฟันใส่หมาป่าเทาเต็มแรงซูเหยียนพุ่งออกไปข้างหน้าก่อนจะใช้เพลงกระบี่กระบวนท่าที่หนึ่งของตระกูลซูอย่างโยนหินถามทางฟันตรงยังหมาป่าเทาที่กระโจนเข้ามา
แฮกๆ...
หมาป่าเทากลิ้งตลบลงไปนอนหอบได้สองสามครั้งก็แน่นิ่งไปนึกไม่ถึงว่านางจะฆ่ามันได้เพียงกระบี่เดียว!
อย่างน้อยก็เป็สัตว์ิญญาระดับสองเลยนะ!
สัตว์ิญญาตัวนี้มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนิญญาขั้นหลอมปราณในระดับเซียนแต่กลับโดนนางซัดทีเดียวจอด...
ผิดกับอีกสามคนที่ไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจเพราะต่างก็รู้ถึงศักยภาพของซูเหยียนดี
หลิวถงเอ๋อร์เข้าไปเก็บดอกเฉ่อเถิงฮัวส่วนข้าเรียกกระบี่คมจันทราเพื่อกรีดพาจินตานแต่ก็ไม่พบจึงหยิบกริชที่ติดอยู่ข้างตัวมาหั่นเนื้อส่วนขาที่ยังร้อนๆ กว่ากิโลครึ่งใส่ห่อแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าสะพาย
“เ้าทำอะไร?” ถังเชวียหรานถามเสียงเรียบ
ข้าได้ยินก็หันไปตอบ“เก็บอาหารไงล่ะ พวกเราไม่ได้เอาอาหารมาเลยสักนิดข้าจึงเก็บเนื้อของสัตว์ิญญาพวกนี้อย่างละนิดละหน่อยเพราะข้าไม่รู้ว่าพวกเ้าชอบหรือไม่ชอบกินอะไร”
ถังเชวียหรานไม่ได้พูดอะไรแต่ซูเหยียนกลับหัวเราะออกมา“เ้านี่เหมาะที่จะเป็แนวหลังจริงๆ เลยนะ”
อยู่กับคนเก่งถ้าไม่ให้เป็แนวหลังแล้วจะทำอะไรได้อีกล่ะ ต่อให้อาจารย์หลงอี้แบ่งหน้าที่ให้สุดท้ายข้าก็ได้เป็แค่แนวหลังวันยังค่ำ
“อย่าเสียเวลาอยู่เลย ไปกันเถอะ” ถังเชวียหรานพูดขึ้น
พวกเราออกเดินทางท่ามกลางแสงแดดจ้าในตอนกลางวันแม้ว่าท้องข้าจะเรียกร้องแต่เพราะอาจารย์หลงอี้กำชับไว้ว่าห้ามกินอาหารกลางวันกินจนกว่าจะถึงหุบเขาชั้นที่เก้าข้าจึงต้องอดทนต่อไป
ภายในป่าทึบเขียวชอุ่มมีไอหมอกบางๆ ลอยตัวสูงจากพื้นถึงกลางลำต้น ต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดแน่นขนัดจนมองไม่เห็นปลายทางใบไม้ใบหนาขึ้นปรกบดบังแสงอาทิตย์ทำให้พวกเราต้องเดินผ่านร่มไม้ที่มีเสียงนกดังแว่วตลอดทาง
ผ่านมากว่าชั่วโมงที่ไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้น นอกจากต้นหญ้าที่งอกงามออกมาใหม่หลายต้น
ซูเหยียนไม่ได้ใช้กระบี่เพลิงกัลป์เบิกทางแต่กระชับไว้ในมือและเดินเคียงข้างไปกับหลิวถังเอ๋อร์ด้านหน้า
ตึกตึก ตึก...
ทันใดนั้นผืนดินก็สั่นไหวพร้อมเสียงแทรกขึ้นมาแ่เบา
“เกิดอะไรขึ้น แผ่นดินไหวเหรอ?” ตั้นไถเหยาถามหน้าตาตื่น
“ไม่น่าจะใช่” ข้าเองตอบกลับอย่างมั่นใจ
ถังเชวียหรานพุ่งตัวขึ้นบนต้นไม้ที่สูงกว่าสิบเมตรกับนกนางแอ่นชายกระโปรงพลิ้วตามแรง ก่อนจะยืนนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ทอดสายตาออกไป“นั่นมันหมูป่า...ไม่ใช่นั่นมันเม่น! เม่นหนามสัตว์ิญญาระดับสองระวังตัวกันด้วยล่ะ เพราะกำลังใจากอะไรสักอย่างและวิ่งมาทางนี้ด้วย!”
เม่นหนามถือว่าเป็สัตว์ป่าที่ร้ายกาจเหมือนกันแม้จะเป็สัตว์ิญญาระดับสองแต่หนามที่พุ่งออกมากลับรุนแรงจนฆ่าคนได้อย่างน่าใเดิมทีเม่นเป็สัตว์ที่มีพละกำลังมากพอที่จะจัดการกับสัตว์ิญญาระดับสามได้จนเป็เื่ปกติ
เสียงของมันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆต้นไม้ถูกแหวกออกเป็สองฝั่งเผยให้เห็นเม่นหนามที่มีความสูงถึงสองเมตรคล้ายกับเนินดินวิ่งได้ดวงตาแดงก่ำ หายใจฟืดฟาดจนเกิดควันออกจากปากเมื่อมันเจอพวกข้าจึงหยุดวิ่งและมุดหัวลง ก่อนจะสลัดหนามอันแหลมคมออกมา
“ระวัง มันจะปล่อยหนามออกมาแล้ว!” ข้าร้องะโเสียงดัง
หลิวถงเอ๋อร์พุ่งตัวขึ้นมาข้างหน้าเรียกอาวุธิญญาอย่างโล่ัดำออกมาเมื่อแสงสว่างวาบโล่นั้นก็ขยายใหญ่เหมือนกำแพงสูงอยู่เบื้องหน้า
“เข้ามาหลบข้างหลังข้า!”น้ำเสียงที่เดิมทีแหลมเล็กก็เปลี่ยนเป็แข็งแกร่งขึ้นมา
ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปยืนเรียงกันอยู่ด้านหลังไม่นานเสียงของหนามแหลมก็พุ่งใส่ชุดใหญ่ ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! หมายจะเอาชีวิตแต่ผิดคาดเมื่อถูกสกัดไว้ด้วยโล่เสียงดัง เต้ง! เต้ง! เต้ง!เหมือนลูกธนูพุ่งชนโล่เหล็ก
“ซูเหยียน ตอบโต้กลับไปเลย!”
ตั้นไถเหยาว่าพลางเรียกไม้เท้าเวทน้ำแข็งออกมาเส้นผมสบายปลิวไปตามการเคลื่อนไหว แล้วรวบรวมพลังการซัพพอร์ตส่งให้ซูเหยียนขณะซูเหยียนจับกระบี่เพลิงกัลป์และพุ่งออกไปนั้นเสียงดังของพลังจากฟากฟ้าก็ดังสนั่นหวั่นไหว
ตูม!
กระแสพลังฟาดลงบนหัวของเม่นหนามจนเกิดเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆและะเิออก เืสีแดงข้นไหลอาบ เศษชิ้นส่วนของสมองปลิวกระจัดกระจาย นึกไม่ถึงว่าการโจมตีเพียงครั้งเดียวหัวจะแตกละเอียดขนาดนี้ทั้งคนที่ลงมือยังเป็ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาซึ่งถือขวานด้วยท่าทางเคร่งขรึมก่อนจะยิ้มอย่างพอใจก่อนโรยตัวลงมาจากศพของเม่นตัวนั้น
“หลี่สวิน?” ซูเหยียนว่าแล้วขมวดคิ้ว
ข้าเคยเห็นคนคนนี้เพราะเขาเป็หัวหน้ากลุ่มย่อยอีกกลุ่มที่มาด้วยกันเป็ศิษย์ใหม่ของสำนักมีการบำเพ็ญในขั้น์ และสอบได้ลำดับที่สี่ของปีนี้
หลี่สวินฉีกยิ้ม“ซูเหยียน นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอพวกเ้าที่นี่ แฮ่ๆ ช่างบังเอิญจริงๆ เลยนะพอดีพวกเราตามล่าเ้าสัตว์ิญญาตัวนี้มาสิบนาทีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะวิ่งมาเจอกับพวกเ้าฉะนั้นคะแนนการสังหารสัตว์ิญญาระดับสองตัวนี้ต้องเป็ของพวกข้าแล้วล่ะเพราะข้าเป็คนลงมือจัดการเอง แฮ่ๆ...”
หลิวถงเอ๋อร์ยกโล่ขึ้นด้วยท่าทีเหมือนไม่พอใจคงเพราะนางโมโหจึงพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เพราะพวกเราสกัดเอาไว้ต่างหาก และซูเหยียนก็กำลังจะลงมือสังหารอยู่แล้วพวกเ้าทำแบบนี้เท่ากับแย่งคะแนนของพวกข้าไปชัดๆ!”
จังหวะนี้เองศิษย์ผู้หญิงของสำนักนางหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับกระบี่สีเือันคมกริบแล้วอธิบาย“ตามกฎของสำนัก ใครเป็คนสังหารสัตว์ิญญาจะได้คะแนนส่วนนั้นไปและกฎข้อนี้เ้าเองก็คงจะรู้ใช่ไหมหลิวถงเอ๋อร์?”
“ข้ารู้ แต่ว่า...”
หลิวถงเอ๋อร์กำลังจะพูดต่อแต่ถูกซูเหยียนพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ช่างมันเถอะถงเอ๋อร์แค่สัตว์ิญญาระดับสองธรรมดาๆ ข้าไม่สนใจหรอกนะ พวกเรายังต้องเดินทางอีกไกลไปกันเถอะ!”
เ้าของกระบี่ยาวที่เืพูดทิ้งท้าย“ซูเหยียนก็ยังเป็คนมีน้ำใจเหมือนเดิม ฮึๆ ...”
ซูเหยียนขมวดคิ้วมองก่อนจะพาทุกคนเดินอ้อมไป
ขวานน้ำแข็งหลี่สวินและกระบี่โลหิตหวังอี้ทั้งสองต่างเป็ศิษย์ผู้แข็งแกร่งในสิบอันดับแรกและเป็คู่ต่อสู้ตัวฉกาจของซูเหยียนที่เป็ศิษย์อันดับหนึ่งเหมือนกันซึ่งทั้งสองคนนั้นอยากประลองกับซูเหยียนมานานเหตุการณ์เมื่อครู่จึงบอกได้ว่าการเป็ศิษย์อันดับหนึ่งมีความกดดันมากแค่ไหน
ข้าหันหลังกลับไปก็เห็นหวังอี้กำลังใช้กระบี่ตัดเอาเขี้ยวยาวของเม่นหนามเก็บไว้จึงอดที่สงสัยในใจไม่ได้
ซูเหยียนปรายตามองก่อนจะพูดขึ้น“ศิษย์ที่มาฝึกฝนที่นี่ต่างก็มีคะแนนกันทั้งนั้นและเขี้ยวของเม่นหนามจะเป็หลักฐานชั้นดีที่พิสูจน์ว่าพวกเขาเพิ่งจะสังหารมันไป”
ข้าชะงักไปชั่วขณะก่อนจะพูดน้ำเสียงร้อนรน “ให้ตายเถอะ ข้าเกือบลืมเื่สำคัญไปเลย!”
“เื่อะไร?”
“เนื้อเม่นหนามนั่นไง มันอร่อยมากๆ เลยล่ะ!”
“เ้านี่มัน!...”
ข้ารีบกลับไปยังซากของเม่นหนามและเรียกกระบี่คมจันทราออกมา แม้แต่หลี่สวินและหวังอี้ยังร้องถามด้วยความสงสัย“ทำอะไรน่ะ เ้าศิษย์สำรอง?”
“เอาเนื้อของมันสักหน่อยไง” ข้าว่าแล้วหั่นเอาเนื้อขาหลังมันออกมา
“ฮะ?”
หวังอี้ชะงักไป“เ้ามัน...”
หลี่สวินขมวดคิ้วเข้ม“เ้าศิษย์สำรอง ทั้งหมดนี่เป็ของพวกเราเ้ารู้ไหม?”
ข้าพยักหน้ารับ“รู้สิ แต่ข้าไม่ได้แย่งเขี้ยวจากพวกเ้าสักหน่อยขอแค่เก็บเนื้อไปเป็อาหารเย็นเท่านั้น อย่าบอกนะว่าพวกเ้าจะลากมันกลับไปทั้งตัวถ้าอย่างนั้นข้าจะคืนเนื้อให้ก็ได้”
หวังอี้ยิ้มบาง“ช่างเถอะ ตามใจเขาแล้วกัน”
หลี่สวินมองมาด้วยสายตาที่หยามเหยียด
ข้าส่งยิ้มตอบเพราะลูกคนมีเงินพวกนี้คงไม่เคยรับรู้ว่าความหิวโหยเป็อย่างไรและหากพวกเขาเคยผ่านชีวิตบนถนนแห่งความตายเช่นเดียวกับข้า คงเลือกจะจดจำเข้าไปในกระดูกและไม่แสดงแววตาแบบนี้ออกมา
…
พอเก็บเนื้อเสร็จข้าก็รีบวิ่งขึ้นไปหากลุ่มของตัวเองเพื่อออกเดินทางต่อ
ตลอดเส้นทางไม่มีอะไรโผล่ออกมาอีกและในที่สุดพวกเราก็มาถึงรอบนอกของหุบเขาชั้นที่เก้าก่อนบ่ายสองโมงส่วนอาจารย์หลงอี้นอนอยู่บนก้อนหินตรงชายเขารอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว “มาครบหมดหรือยัง?”
“ครบแล้วขอรับ/ค่ะ อาจารย์”
“ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางต่อ เดินเลาะหุบเขาชั้นที่เก้าไปเรื่อยๆเดี๋ยวข้าจะขึ้นไปรออยู่รอบนอกของหุบเขาชั้นที่แปด”ว่าแล้วเขาก็หายวับเข้าไปในป่าอีกครั้ง
พวกเราพักดื่มน้ำดับกระหายแล้วจำใจย่างก้าวต่อไปยังที่หมาย
ระยะทางยี่สิบลี้บนหุบเขาชั้นที่เก้าแวดล้อมไปด้วยสัตว์ิญญาระดับหนึ่งถึงระดับสามปรากฏกายให้เห็นอยู่เรื่อยๆแต่เพราะมีคนเก่งอย่างซูเหยียนและตั้นไถเหยาช่วยกำจัดไปได้เสมอจนข้าไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือเลยสักครั้ง ตอนนี้พวกเราได้จมูกของพังพอนหลังไฟสองอันและอุ้งเท้าหมีเทาป่าสี่อันเพื่อเป็หลักฐานของคะแนนได้เป็อย่างดี
พวกเรามาถึงรอบนอกของหุบเขาชั้นที่แปดในเวลาไม่ถึงบ่ายสี่โมงส่วนอาจารย์หลงอี้ก็พูดเหมือนเดิมว่าให้ไปถึงชั้นที่เจ็ดก่อนหกโมงเย็น
…
“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ร้อนมากด้วย ข้าเดินจะไม่ไหวแล้วเนี่ย...”ตั้นไถเหยาพูดโอดครวญ เป็เพราะนางไม่ได้ฝึกเพลงกระบี่พละกำลังในร่างกายจึงน้อยกว่าคนมาก
“ให้ข้าแบกเ้าไปไหม?” ข้าเดินเข้าไปถาม
นางยิ้มออกมาก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์“ข้าไม่อยากนอนอยู่บนหม้อดำๆ นั่นหรอกนะ”
ข้ามองสมาชิกกลุ่มที่ผ่านการเดินทางมาไกลกว่าสี่สิบลี้เสื้อผ้าของแต่ละคนต่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ การเดินทางครั้งนี้ถือว่าสาหัสเอาการ
จู่ๆถังเชวียหรานก็ปรายตามองข้า “ดูเหมือนเ้าจะไม่เหนื่อยเลยนะปู้อี้เชวียน”นางพูดขึ้น
“เหนื่อยสิ” ข้าว่าแล้วดึงสายกระเป๋าให้กระชับขึ้นแล้วพูดต่อ“แต่เหนื่อยแล้วทำอะไรได้ เพราะข้าก็แค่แนวหลัง”
นางหัวเราะออกมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร