เมื่อเข้ามาในหุบเขาชั้นที่แปดพบว่าที่นี่มีต้นไม้ขึ้นหนากลายเป็ป่าทึบและลึกเข้าไปจนมองไม่เห็นระยะทางกว่าสิบลี้ข้างหน้าูเาสูงใหญ่ ป่าไม้สลับซับซ้อนบดบังเส้นทางและหุบเขาชั้นอื่นๆ จนหมด
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมงท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มนกกาเริ่มบินกลับรัง ดูเหมือนฝนใกล้จะตกในอีกไม่นาน
พรึ่บ...
ซูเหยียนดูแผนที่ของหุบเขาแบบละเอียดก่อนจะขมวดคิ้วสีหน้าแปลกใจ “เหมือนว่าเมื่อครู่พวกเราเพิ่งเดินผ่านป่าปาล์มนั้นมาและถ้าเดินต่อไปอีกสามลี้ก็จะเจอทางแยกที่จะมีกระท่อมเก่าๆ ตั้งอยู่แต่ว่า...ทำไมยังไม่เจอกระท่อมที่ว่าสักที มันเกิดอะไรขึ้น?”
ตั้นไถเหยาเอามือเท้าสะเอวพลางพูดน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน“ก็แปลว่าพวกเราหลงทางน่ะสิ”
ถังเชวียหรานขมวดคิ้ว“ถ้าเป็แบบนั้นจริงๆ คงจะหาเส้นทางที่อาจารย์บอกไม่เจอแล้วล่ะตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้วด้วย ยิ่งกลางค่ำกลางคืนอันตรายรอบด้านแล้วแบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”
หลิวถงเอ๋อร์พูดเสนอความคิด“พวกเรา...พวกเราลองหาทิศกันก่อนดีไหม? เพราะอาจารย์อยู่ทางทิศเหนือถ้าเราหาทิศเจอก็คงไม่มีปัญหาแล้วล่ะ”
ซูเหยียนพยักหน้าเห็นด้วย“ใช่ๆ ถงเอ๋อร์พูดถูก เราต้องหาทิศให้ได้ก่อน”
“แล้วจะหาทิศได้ยังไง?” ตั้นไถเหยาถามขึ้น
“โดยปกติการหาทิศจะอาศัยการมองพระอาทิตย์ แต่ตอนนี้ฟ้ามืดครึ้มแล้วดังนั้นล้มเลิกความคิดนี้ไปได้เลย” ถังเชวียหรานครุ่นคิดอย่างไม่รีบร้อน“วิธีเดียวตอนนี้คือดูว่าต้นไม้ฝั่งไหนยังอุ่นๆ จากแสงแดด แต่จากที่ดูแล้วที่นี่มีต้นไม้ขึ้นหนาทึบเกินไป หากจะแยกทิศด้วยวิธีนี้คงไม่ได้ผล”
“เ้ามีวิธีเหรอ?” ทั้งสี่คนหันขวับมาถามพร้อมกัน
ข้าพยักหน้าก่อนจะถอดรองเท้าของตัวเองออกข้างหนึ่งและเริ่มอธิบาย“ตอนข้าอยู่ที่เมืองหยินเย่เฉิงแล้วหลงทางมักจะใช้วิธีโยนรองเท้าตลอด...”
“แหวะ!” สาวงามทั้งสี่ร้อง ทั้งทำท่าทางดูถูก
แต่หลังจากนั้นประมาณสองนาทีทุกคนต่างยอมใช้วิธีการโยนรองเท้านี่อยู่ดี
ฟิ้ว!
รองเท้าหนังของข้าถูกโยนขึ้นไปบนฟ้าแต่ไม่ทันตกลงมาก็ค้างเติ่งอยู่บนกิ่งไม้เสียก่อน “ไอหยา ให้ตายเถอะ!...”
ซูเหยียนคิดหนักก่อนจะรับดาบเล่มยาวจากถงเอ๋อร์ แล้วพูดเสนอ “ข้าว่าโยนดาบเล่มนี้แล้วกัน!”
พอข้าขึ้นไปสวมรองเท้าแล้วะโกลับลงมาดาบเล่มนั้นก็ตกสู่พื้น ปลายดาบหันไปทางขวาเหมือนกัน
“ไปกันเถอะ!”
เมื่อเดินลัดเลาะผ่านพุ่มไม้เตี้ยได้ไม่กี่ก้าวสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับกระท่อมไม้ที่อยู่ในแผนที่จริงๆ
ซูเหยียนร้องออกมาอย่างดีใจ“ว้าว เจอทางแล้วจริงๆ ด้วย!”
พอเห็นสถานการณ์แบบนั้นจึงพูดขึ้นอย่างโอ้อวด“มันก็แน่อยู่แล้ว เพราะวิธีของข้าไม่เคยพลาด ในบรรดาหนุ่มสาวอย่างพวกเ้าคนที่มีประสบการณ์เต็มเปี่ยมอย่างข้า สมควรถูกเรียกว่าท่านอาจารย์เสียด้วยซ้ำ!”
ตั้นไถเหยาปรายตามองเล็กน้อย“หืม...ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องเรียกเ้าว่าอาจารย์ปู้อย่างนั้นสิ?”
“ไม่ต้องเกรงใจ ฮ่าๆๆ ไม่ต้องๆ”
ถังเชวียหรานเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วพูดแนะ“นี่เป็ฝนแรกในฤดูใบไม้ร่วง เสื้อผ้าต่างเปียกชื้นหมดแล้วข้าว่าพวกเราเข้าไปหลบในกระท่อมกันก่อนดีไหม? แล้วค่อยเดินทางต่อ”
ข้าเดินเข้าไปสำรวจเป็คนแรกก็เจอเข้ากับกองขี้เถ้าที่ยังกรุ่นอยู่จึงหันกลับไปบอกพวกนาง “มีคนเพิ่งมาพักที่นี่ พวกเรามาได้คนอื่นก็มาได้เหมือนกันข้าว่าเรารีบไปสมทบกับอาจารย์หลงอี้ดีกว่าเพราะในหุบเขาหลิงหยุนมีคนหลากหลายประเภท ฉะนั้นจะประมาทไม่ได้”
ถังเชวียหรานมองข้าอยู่นานเหมือนคาดไม่ถึงแต่ยังพยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเราเดินไปตามทางนี่แล้วกัน!”
...
ออกเดินได้เกือบชั่วโมงฝนก็ยิ่งเทกระหน่ำลงมาไม่หยุดจนเสื้อผ้าเปียกโชกไปตามๆกัน เสื้อที่ชุ่มน้ำแนบชิดไปกับลำตัวเผยให้เห็นสีชุดชั้นในของสี่หญิงงามอย่างชัดเจนแต่ว่าทุกคนต่างเร่งรีบเดินทางจึงไม่ได้สนใจเื่พวกนี้
พวกเราเดินข้ามเนินลูกเล็กๆไปไม่ไกล ซูเหยียนก็พูดขึ้น “รอก่อน...ข้าว่าพวกเราเจอของดีเข้าแล้วล่ะ!”
“หึม?”
ทุกคนขยับเข้าไปดูใกล้ๆก็พบโสมโลหิตที่เจริญเติบโตเต็มที่ขึ้นอยู่ใต้ชั้นดินที่ถูกฝนสาด ดูคร่าวๆน่าจะมีอายุประมาณห้าร้อยปี พวกเราดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ เพราะใครที่ได้เจอโสมโลหิตอายุกว่าห้าร้อยปีบนหุบเขาหลิงหยุนชั้นที่แปดนับว่าโชคดีไม่น้อยที่สำคัญคือพวกเรากลับมาเจอมันโดยบังเอิญ!
ซูเหยียนยิ้มบางก่อนจะพูดออกมา “ถงเอ๋อร์ ขุดโสมกัน!”
“ได้เลย”
หลิวถงเอ๋อร์ค่อยๆขุดโสมโลหิตอย่างเบามือ ก่อนจะใส่มันไว้ในกระเป๋าที่ข้าสะพายอยู่
เพียงแค่โสมโลหิตััถูกกระเป๋าพลังตาทิพย์ของข้าก็รับรู้ได้ถึงบางอย่างคล้ายกับมีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองพวกเราอยู่
“รีบไปกันเถอะ ที่นี่ไม่ปลอดภัย” ข้าพูดเสียงเบา
“อื้ม!”
เราทั้งห้าคนรีบเร่งฝีเท้าออกมาแต่ไม่ทันไรเสียงลูกธนูก็ดังแทรกท่ามกลางเสียงฝนที่ตกกระหน่ำ
มีคนลอบโจมตี!
ข้าพุ่งเข้ามาด้านหลังของซูเหยียนอย่างรวดเร็วก่อนจะเรียกกระบี่คมจันทราออกมาสกัดกั้นลูกธนูจนปลิวไปปักอยู่บนต้นไม้พลังของคนที่ยิ่งต้องไม่ธรรมดาเหมือนกัน
“ฮะ?” ซูเหยียนรีบหันกลับมามองข้าสีหน้าตระหนก
“เกราะรบ!” ข้าพูดขึ้นสั้นๆ แต่ได้ใจความ ขอเพียงทุกคนเรียกเกราะรบออกมาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกทำร้ายจากคมธนู
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องลงมาดูเหมือนสายปริศนาจะไม่ได้คิดทำร้ายด้วยธนูเพียงอย่างเดียว ร่างของคนทั้งหกค่อยๆเดินออกมา ทุกคนเป็ผู้ฝึกฝนิญญาที่มีอาวุธิญญาครบมือทั้งใบหน้ายังบูดบึ้งไม่เป็มิตรใครคนหนึ่งที่น่าจะเป็หัวหน้าก้าวออกมาพร้อมแสยะยิ้มเผยให้เห็นฟันสีทองก่อนจะพูดน้ำเสียงห้วน “ส่งโสมโลหิตห้าร้อยปีมาซะดีๆพี่น้องของข้า้าเพียงของเท่านั้น ไม่คิดจะทำร้ายใครและไม่อยากผิดใจกับสำนักหมื่นิญญาด้วย!”
ซูเหยียนขมวดคิ้วพลางพูดขึ้น“ในเมื่อรู้ว่าพวกเราเป็คนของสำนักหมื่นิญญา ยังคิดที่จะลงมืออีกอย่างนั้นเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ สำนักหมื่นิญญาแล้วอย่างไรล่ะ หากฆ่าพวกเ้าแล้วฝังศพไว้ที่นี่สำนักหมื่นิญญาจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็คนทำ?” เ้าฟันทองพูดต่อด้วยสายตาเป็ประกายเพราะอยากได้โสมโลหิตจนตัวสั่น “เ้าหนุ่ม ส่งโสมโลหิตมาให้ไวไม่อย่างนั้นข้าไม่รับปากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหญิงงามทั้งสี่ข้างหลังเ้า”
คนที่ถืออาวุธิญญาอย่างขวานรบหัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้น“พี่ใหญ่ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนฆ่าไป ดูรูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งนั่นสิจะฆ่าไปก็เสียดาย ให้พี่น้องของพวกเราได้มีความสุขก่อนแล้วจะทำอะไรต่อค่อยว่ากันทีหลัง” คนอื่นๆ ต่างหัวเราะร่าชอบใจ
ผู้ฝึกฝนิญญาพวกนี้ต่างเป็ศิษย์เดนตายที่ไม่เห็นคุณค่าชีวิตผู้อื่น
ถังเชวียหรานพูดเสียงเบาที่ได้ยินเพียงแค่พวกเราเท่านั้น“คนที่แกร่งที่สุดอยู่ในขั้น์ส่วนที่เหลือก็ขั้นประกายจิตไล่ลงมาถึงขั้นหลอมปราณ พวกเราน่าจะฆ่าได้แบบสบายๆจะฆ่าไหม?”
ซูเหยียนและตั้นไถเหยายังคงลังเล
หลิวถงเอ๋อร์ถามกลับเชิงกระซิบ“ปู้อี้เชวียน เ้าอย่างไร?”
ข้าล้วงโสมโลหิตออกมาและเสนอทางเลือกอื่น“พวกนั้นอยากได้ เราก็แค่ให้ไป การจะฆ่าคนเพราะโสมโลหิตอันเดียวไม่ใช่ทางของข้า”
ถังเชวียหรานได้ยินดังนั้นถึงกับยิ้ม“เ้ากลัวอย่างนั้นเหรอ?”
ข้าหันไปมองั์ตาของนางพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้น “ชีวิตคนตั้งหกชีวิตมันไม่มีค่าในสายตาคุณหนูใหญ่ของตระกูลถังเลยเหรอ?”
นางนิ่งเงียบไร้คำพูดใดๆ
ข้าเอาโสมโลหิตวางไว้บนพื้นโดยดี“โสมโลหิตอยู่นี่แล้ว พวกเ้ารีบมาเอาไปสิ พวกเรามาที่นี่เพื่อฝึกฝนไม่ได้อยากมีเื่มีราวกับใคร หวังว่าพวกเ้าจะกลับตัวกลับใจได้”
ความจริงในใจของข้ากำลังคิดหากพวกนั้นอยากได้แค่โสมโลหิตอย่างเดียว เมื่อสบโอกาสข้าจะอัดพวกมันให้น่วมแล้วค่อยชิงโสมโลหิตกลับมา ในทางกลับกันถ้าพวกนั้นหวังอย่างอื่นด้วยคงได้เห็นดีกันแน่
“ฮ่าๆๆ ถือว่าเ้ายังพอฉลาดอยู่บ้าง!”
เ้าฟันทองเดินมาหยิบโสมโลหิตใสไว้ที่หน้าอกและเค้นเสียงหัวเราะที่น่าสะพรึงออกมา “ส่วนเื่กลับตัวกลับใจ...ฮ่าๆๆเ้ากำลังเล่นตลกอยู่หรือไง ข้าฆ่าคนมานับร้อยเพื่อฉกชิงทำการค้าวันนี้มีหญิงงามมาอยู่ตรงหน้าถึงสี่คน จะให้ข้าปล่อยไปง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ? พวกเรา จัดการ! หญิงงามสี่คนนั้นเป็คนของเราแล้ว!”
ถังเชวียหรานพูดเสียงเรียบ“ปู้อี้เชวียน เ้ายังคิดแบบนั้นอยู่อีกหรือเปล่า?”
ข้าอ้ามือออกเพื่อเรียกกระบี่คมจันทรา“ข้าเคยให้โอกาสพวกมันไปแล้ว ฆ่าเท่านั้น อย่าได้ไว้ชีวิต! อาเหยา...เพิ่มพลัง!”
ตั้นไถเหยาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะใช้พลังพร์เพิ่มพลังแก่ข้าพลังภายในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้าทะยานตัวผ่าสายฝนและลมพายุออกไปชนิดที่ว่าเร็วจนมองแทบไม่ทันคมกระบี่ที่แฝงไปด้วยพลังัแกร่งเข้าโจมตีด้วยความเร็วดุจสายฟ้าก่อนจะพุ่งผ่านร่างของเ้าฟันทองไป
ฉึบ...
ร่างกายกำยำขาดแยกออกจากกัน
ส่วนถงเอ๋อร์และซูเหยียนแยกย้ายออกไปจัดการคนที่เหลือโดยถงเอ๋อร์ใช้โล่ัดำกระแทกระดับขั้นหลอมปราณจนปลิวส่วนซูเหยียนใช้เพลงกระบี่ระบำทิวากรจัดการอีกคนและคนที่เร็วที่สุดอย่างถังเชวียหรานได้เรียกอาวุธิญญาอย่าง ‘ธนูคลื่นมรกต’ที่รวบรวมพลังิญญาเป็ลูกศรแล้วยิงทะลุร่างของคนที่อยู่ในขั้นประกายจิตตายในทันทีก่อนกันคันศรแล้วยิงใส่คนที่คว้างจากแรงกระแทกของโล่ัดำให้ตายตามกันไป
สองคนที่เหลือรอดต่างตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้าก่อนจะวิ่งหายไปในสายฝนอย่างรวดเร็ว
ถังเชวียหรานง้างธนูและยิงไล่หลังทีละคนและแน่นอนว่าไม่มีใครเหลือรอดไม่น่าเชื่อว่านางจะยิงได้แม่นยำแม้จะมีสายฝนตกกระหน่ำถึงเพียงนี้ทั้งการยิงที่ทรงพลังต่อให้เกาะรบระดับขั้นประกายจิตก็ไม่อาจสกัดกั้นการโจมตีของนางได้!
ข้าสังหารได้เพียงแค่คนเดียวส่วนที่เหลือคือฝีมือของนาง
“อึก อุบ...”
หลิวถงเอ๋อร์สีหน้าพะอืดพะอมเมื่อเห็นร่างที่ขาดสะบั้นและลำไส้ของเ้าฟันทองกองที่พื้นคาดว่านางคงไม่เคยฆ่าคนมาก่อน หรือแม้แต่ซูเหยียนที่ไม่แสดงอาการสีหน้ากลับเปลี่ยนไปเช่นกัน
ข้าเดินไปหยิบโสมโลหิตจากหน้าอกของเ้าฟันทองกลับมา“ไปกันเถอะ พวกเราเสียเวลามามากแล้ว” ซูหยียนพูดขึ้น
“อืม”
ข้ามองถังเชวียหรานอยู่นานซึ่งนางก็มองมาที่ข้าเหมือนกัน
ถึงในใจข้าจะคิดว่านางฆ่าคนได้โดยไม่ลังเลแต่นางก็คงจะคิดเหมือนกันกับข้า
เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้วเหตุการณ์บนถนนแห่งความตายต่างหาก ถึงจะเป็ขุมนรกแห่งการฝึกฝนที่แท้จริง!
...
ผ่านไปร่วมสองชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงหุบเขาชั้นที่เจ็ดและเจอกับอาจารย์หลงอี้
“แหวะ...” สุดท้ายหลิวถงเอ๋อร์คงทนไม่ไหวจึงอาเจียนออกมา
“นี่มันเื่อะไรกัน?” หลงอี้ถามขึ้น
“เมื่อครู่พวกเราเจอเข้ากับพวกล่าสัตว์และฆ่าพวกนั้นตาย”
หลงอี้ยิ้มอย่างเยือกเย็น“ฆ่าคน?นี่เป็แค่เื่เล็กๆ น้อยๆซึ่งเป็เพียงบันไดขั้นแรกให้พวกเ้าก้าวขึ้นไปเพื่อเติบโตเท่านั้นตั้งเต็นท์กันได้แล้ว”
“อืม”