หลังจากที่บอกท่านอาจารย์กับจ้าวห้าวแล้วจึงรีบกลับมาจัดของ
สามวันนี้ข้ายังต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาาอยู่แล้วของที่ต้องเตรียมไปจึงไม่เยอะเท่าไร แต่ปลาหลีฮื้อหลงหลิงจะขาดไม่ได้ต้องกินวันละห้ากิโลสามวันก็สิบห้ากิโล ข้าห่อไว้อย่างดีพร้อมกับหม้อซุปและเสื้อผ้าอีกประมาณสองชุดส่วนโรงกระบี่ข้าฝากกุญแจไว้ที่จ้าวห้าวให้คอยดูและให้อาหารไก่่ที่ข้าไม่อยู่เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงไปบอกพี่เสวียนยินซึ่งนางแค่ถามว่าใครเป็คนพาไปหลังจากนั้นจึงอนุญาต
กลุ่มของซูเหยียนที่ไปด้วยกันต่างเป็ศิษย์ใหม่ที่มีฝีมืออยู่ในระดับสิบคนแรกฉะนั้น การเข้าไปถึงชั้นที่เจ็ดของหุบเขาหลิงหยุนไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
…
เวลาหกโมงเช้าของวันถัดมา...
ทั้งที่ตะวันเพิ่งจะส่องแสงสว่างลงมาขณะที่ข้าเดินมายังประตูฝั่งเหนือของสำนักพร้อมกับสัมภาระจึงได้เห็นเงาของสามสี่คนท่ามกลางหมอกในยามเช้าโดยมีซูเหยียน ตั้นไถเหยาและหญิงสาวที่มีผมสีแดงเข้มอย่างถังเชวียหรานที่ร่างสูงยาวถือกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากอยู่ในมือส่วนอีกคนที่ดูเด็กกว่าน่าจะเป็หลิวถงเอ๋อร์ที่ซูเหยียนเคยบอกนางไว้ผมสั้นสีเทาแซมขาว ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มมือหนึ่งถือกระเป๋าและสะพายดาบเหล็กอยู่บนหลัง ซึ่งมีความยาวกว่าครึ่งลำตัวของนางนั่นไม่ใช่อาวุธิญญาแต่เป็เพียงกระบี่เหล็กธรรมดาข้าขมวดคิ้วสงสัยเพราะกลุ่มของซูเหยียนับวันยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ
ซูเหยียนเห็นข้าจึงยิ้มขึ้น“มาแล้วก็ดี ข้าจะแนะนำให้รู้จัก นี่ถังเชวียหรานซึ่งเ้ารู้จักกันแล้วส่วนนั่นหลิวถงเอ๋อร์สาวน้อยผู้มีพลังการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา”
“การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด?” ข้าชะงักไปเพราะความงุนงง
ซูเหยียนหัวเราะขึ้นเบาๆก่อนจะพูดต่อ “ถงเอ๋อร์ แสดงให้สมาชิกใหม่ได้เห็นอาวุธิญญาของเ้าสักหน่อยสิ”
“อืม”
นางวางกระเป๋าลงก่อนจะวาดมือไปบนอากาศปรากฏเป็วัตถุขนาดใหญ่จากการรวมตัวของพลังิญญาจนกลายเป็โล่ที่สามารถจับต้องได้มันทั้งใหญ่และหนัก แม้แต่ข้ายังรับรู้ถึงแรงสั่นะเืจากเท้าเมื่อนางวางลงบนพื้นลำบากแม่นางคนนี้จริงๆ ต้องคอยแบกโล่น้ำหนักเกือบห้าสิบกิโลไว้ตลอด...
นางที่เหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ข้าคิดจึงยกโล่ขึ้นมาอย่างสบายๆก่อนจะว่าพลางยิ้ม “ปู้อี้เชวียนนี่คืออาวุธิญญาของข้าชื่อว่าโล่ัดำหรืออีกชื่อคือโล่ปราการหินซึ่งกระบี่ธรรมดาไม่มีทางสร้างรอยขีดข่วนได้”
ข้าได้ยินแล้วจึงออกปากชม“สุดยอด สุดยอดจริงๆ...”
แต่ความจริงเป็เพราะนางแอ่นอกจนก้อนเนื้อคัพDแทบจะดันเสื้อเชิ้ตให้ฉีกออกต่างหาก หรือนี่จะเป็การรวมกลุ่มของ CCCDซึ่งเป็อาหารตาให้ข้าได้ดีเดียว!
“นี่ มัวคิดอะไรอยู่ ขึ้นรถได้แล้ว!”
ตั้นไถเหยาร้องเรียกหลังจากนั้นพวกเราจึงขนของขึ้นรถ รถมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟทุกคนต่างเข้ามานั่งในตู้โดยสารเดียวกัน รถไฟค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาจากเมืองหลินเสี่ยเฉิงไปบนเส้นทางที่ข้าคุ้นเคย...
…
อาจารย์ที่ปรึกษาของกลุ่มเราเป็ชายวัยกลางคนหนวดยาวเฟิ้มเขาเป็หนึ่งในอาจารย์ระดับสูงของสำนักนามว่าหลงอี้เขายืนกอดอกท่ามกลางศิษย์ทุกคนและพูดขึ้น “จำไว้ให้ดีว่าเมื่อเข้าไปในหุบเขาพวกเ้าจะต้องเรียนรู้การป้องกันตัวเอง เพราะคู่ต่อสู้อาจจะเป็สัตว์ิญญานักล่าสัตว์ และผู้ฝึกฝนิญญาคนอื่นๆซึ่งพวกเขาจะไม่ยอมรามือเพียงเพราะเป็ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาข้าจะไปรออยู่ที่จุดสุดท้ายของแต่ละชั้น และสิ่งเดียวที่ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจคือ...ห้ามตาย!”
ซูเหยียนแลบลิ้นปลิ้นตาแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ตั้นไถเหยาพยายามกลั้นยิ้ม
ถังเชวียหรานทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยิน
มีเพียงหลิวถงเอ๋อร์ที่ตอบรับ“ค่ะ อาจารย์หลงอี้!”
หลงอี้หันมามองข้าก่อนจะพูดต่อ“ปู้อี้เชวียน เ้าเป็ศิษย์สำรองและเป็สมาชิกสำรองในกลุ่มนี้จำไว้ว่าอย่าเป็ตัวถ่วงของพวกนางล่ะหากตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเ้าควรจะพลีชีพเพื่อทุกคน”
ข้าเงยหน้าขึ้นมองแล้วตอบด้วยความเคารพ“ท่านวางใจได้เพราะข้าจะไม่เป็ตัวถ่วงและไม่พลีชีพอย่างแน่นอน!”
เขาถึงกับพูดไม่ออกส่วนซูเหยียนก็กลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น
“จำที่ข้าบอกไว้ให้ดีแล้วกัน!!”
หลงอี้มองมาทางพวกข้าสายตาเรียบเฉย“ข้าจะให้คำแนะนำดีๆ ไว้ก่อนว่าศิษย์จากสำนักจำนวนต้องจบชีวิตระหว่างการฝึกฝนที่หุบเขาหลิงหยุนทุกปีปีก่อนตายไปเจ็ดราย ส่วนปีนี้ตายไปแล้วกว่าสี่ราย โดยศิษย์ที่มีการฝึกฝนแข็งแกร่งและรอดเงื้อมมือมัจจุราชมาได้ถือเป็ผู้ที่เก่งกาจของสำนักอย่างแท้จริงดังนั้น...ข้าหวังว่าพวกเ้าจะไม่สร้างสถิติการตายใหม่ให้กับสำนัก”
“ได้ขอรับ/ค่ะ อาจารย์!”
ทุกคนขานรับพร้อมเพรียงกัน
…
ขณะที่รถไฟเคลื่อนตัวไปข้างหน้ากลิ่นหอมของฤดูใบไม้ร่วงจากป่าใหญ่ด้านนอกก็ลอยอบอวลเข้ามาซูเหยียนหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แพขนตางอนขยับไปตามแรงลม
ข้าเอียงคอเล็กน้อยเพื่อมองความงามของนางแต่จู่ๆ จิตใจเหมือนถูกมนตร์สะกดให้หวั่นไหว
ผ่านไปไม่นานก็มาถึงที่หมาย
รถของสำนักจอดรอรับศิษย์จำนวนสิบห้าคนและอาจารย์ที่ปรึกษาอีกสามคนไปยังประตูทางเข้า
แต่พอมาถึงประตูทางเข้าซูเหยียนชะงักไปเพราะนึกถึงบางอย่าง“ข้าลืมไปเลยว่าต้องซื้อใบผ่านทางให้ปู้อี้เชวียน...”
“ถ้าอย่างนั้นไปซื้อที่หน้าประตู” อาจารย์หลงอี้พูดขึ้น
ข้าเห็นแบบนั้นจึงปฏิเสธไป“ไม่ต้อง”
ทุกคนต่างก็เงียบไปและไม่ได้พูดอะไร...
ณประตูทางเข้าทหารองครักษ์เข้ามาขวางเพื่อตรวจใบผ่านทาง
เมื่อข้าล้วงเอาป้ายเทพศาสตราวุธออกมาทหารพวกนั้นต่างก็รีบแสดงความเคารพก่อนจะพูดขึ้น“เชิญขอรับ!”
หลงอี้ถึงกับอ้าปากค้าง...
ซูเหยียนกับตั้นไถเหยาต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะพวกนางเองก็รู้ว่าปู้เสวียนยินเป็พี่ของข้าและการที่จะเอาป้ายเทพศาสตรามานั้นก็ไม่ใช่เื่ยากเย็นอะไร
ข้าเดินตามหลังแม่นางทั้งสี่คนเรียวขาขาวดุจหิมะแต่กลับมีปลอกขาที่ติดอาวุธไว้ทุกคนของซูเหยียนเป็สีแดงสวยงามชื่อว่า ‘ปลอกขาเพลิงกัลป์’อาวุธิญญาระดับทองเหมือนปลอกแขนทองแดงของข้า แต่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
“หัวหน้าปู้ เ้าเร่งฝีเท้าหน่อยบอกแล้วว่าอย่าเอาหม้อต้มมาด้วยเ้าก็ยังดึงดันเอามาใหญ่ขนาดนั้น”ตั้นไถเหยาพูดเร่ง
ข้าเองยิ้มตอบแล้วใช้พลังของเพลงขาเมฆาหมอกพุ่งแซงขึ้นไปด้วยความเร็วหลงอี้หันมามองข้าพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ปู้อี้เชวียนเ้ายังไม่มีเครื่องบอกตำแหน่งสินะ?”
“เครื่องบอกตำแหน่งที่ว่าคืออะไรขอรับ?” ข้าถามอย่างสงสัย
“ของแค่นี้ยังไม่รู้จัก?” หลงอี้ปรายตามองแบบดูถูกก่อนจะล้วงเอานาฬิกาข้อมือสีดำออกจากกระเป๋า “ใส่เอาไว้ข้าจะได้รู้ว่าเ้าอยู่ที่ไหน”
“ฮึ?” ข้ารับมันมาอย่างงงๆก่อนจะใส่มันไว้ที่ข้อมือขวาที่ยังว่างอยู่
ตั้นไถเหยาที่อยู่ข้างๆอธิบาย “นี่คือนาฬิกาส่งสัญญาณที่ทางสหพันธ์คิดค้นขึ้นมาใหม่ศิษย์แต่ละคนจะสวมตัวส่งสัญญาณไว้ ส่วนตัวรับสัญญาณจะอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษามันสามารถหาตำแหน่งและตรวจสภาพร่างกายของผู้ที่ใส่หรือบอกได้ว่าใครกำลังตกอยู่ในอันตราย เครื่องรับจะแสดงผลและเข้าช่วยได้ทันท่วงทีเข้าใจหรือยัง?”
หลงอี้กระตุกยิ้มก่อนจะพูดขึ้น“ปกติแล้วมีแต่ศิษย์ขั้นสูงเท่านั้นที่ใส่เครื่องนั้นได้คงไม่พูดถึงสถานะอื่นหรอกนะ...”
ข้าตอบกลับเสียงเข้ม“อาจารย์วางใจได้ ข้าจะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแน่นอน”
“ถ้าเป็อย่างนั้นได้ก็ดี” เขาว่าแล้วหันมามองพวกเราทุกคนก่อนจะพูดต่อ“พวกเ้าข้ามหุบเขานี้ไป ส่วนข้าจะไปรออยู่ทางทิศใต้ของหุบเขาชั้นที่เก้าพวกเ้าจะต้องไปให้ถึงภายในบ่ายสองโมงหรือช้ากว่านั้นได้นิดหน่อยเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาเพราะจุดหมายของพวกเราคือหุบเขาชั้นที่เจ็ด”
“ขอรับ/ค่ะอาจารย์!”
หลงอี้พยักหน้ารับก่อนจะใช้พลังพุ่งหายไปในป่าทึบอย่างรวดเร็วสำนักหมื่นิญญาช่างไม่ธรรมดาจริงๆเป็แค่อาจารย์ขั้นสูงยังมีพลังที่น่าทึ่งได้ถึงขนาดนี้
…
การมาครั้งนี้เป็การเดินทางที่มีสัมภาระหนักกว่าครั้งก่อนทั้งปลาสิบห้ากิโล หม้อเหล็กอีกหนึ่งใบ และดาบเหล็กที่หนักเกือบๆห้าสิบกิโลของถงเอ๋อร์อีกแต่ถึงอย่างไรการเดินทางโดยมีสัมภาระถือเป็สิ่งที่ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาเลี่ยงไม่ได้เพียงแค่ควบคุมการหายใจและการไหลเวียนของพลังิญญาให้ปกติจึงไม่ใช่เื่ยากครั้นเมื่อไปถึงหุบเขาชั้นที่สิบข้ายังคงหายใจได้ปกติโดยไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลยสักนิด
“...”ถังเชวียหรานมองข้าแบบประหลาดใจนางคงนึกไม่ถึงว่าข้าจะมีพลังที่แข็งแกร่งเพียงนี้ เพราะถ้าเป็ศิษย์สำรองคนอื่นๆคงหายใจเหนื่อยหอบเป็เ้าตูบไปแล้ว
เวลาล่วงเลยมาถึงตอนกลางวันก็เริ่มเห็นป่าที่เปลี่ยนสีทอดยาวไปกว่ายี่สิบลี้
ซูเหยียนอ้าแขนรับอย่างสบายใจก่อนจะว่าพลางยิ้ม“ว้าว...ช่างเป็ที่ที่สวยสุดๆ ไปเลย!”
ถังเชวียหรานพูดเสริม“ไม่ได้สวยอย่างเดียวนะ แต่ยังอันตรายถึงชีวิตด้วย รีบไปกันเถอะพวกเราต้องข้ามแนวป่านี้ให้ได้ก่อนพลบค่ำ
“อืม!” ซูเหยียนพูดขึ้นในฐานะหัวหน้า “ถงเอ๋อร์ใช้ดาบเบิกทางข้าจะอยู่หลังเ้าเอง เชวียหรานอยู่ตรงกลาง ส่วนอาเหยากับเ้ากินจุอยู่ท้ายสุด”นึกไม่ถึงว่าจะให้ข้าอยู่หลังสุด เท่ากับไม่เห็นความแข็งแกร่งของข้าเลยสักนิด!
แต่ก็ช่างเถอะเพราะหน้าที่องเพียงอย่างเดียวคือการปกป้องคนที่มีพลังซัพพอร์ตอย่างตั้นไถเหยาอยู่แล้ว
ถงเอ๋อร์หันมารับดาบจากข้าและเดินนำคู่ไปกับซูเหยียนพลางขจัดพุ่มไม้ที่ขวางหน้าส่วนถังเชวียหรานที่อยู่ตรงกลางทำหน้าที่สังเกตการณ์รอบด้าน
…
พวกเราเดินทางมาอย่างราบรื่นกระทั่งมาถึงใจกลางหุบเขา
“ดูสิ ตรงนั้นมีเฉ่อเถิงฮัวอยู่ต้นหนึ่ง!”
หลิวถงเอ๋อร์พูดทางดีใจพลางชี้มือออกไปมีต้นเฉ่อเถิงฮัวตรงนั้นจริงๆ ส่วนดอกมีสรรพคุณขับเืคั่งในร่างกายตามร้านยาราคาประมาณหนึ่งพันหกร้อยเหรียญหลงหลิงต่อหนึ่งขีด ถึงราคาไม่แพงมากแต่ก็ไม่เหมือนการมาเก็บด้วยตัวเอง
ทว่าพลังตาทิพย์ของข้าบ่งบอกว่ารอบๆต้นเฉ่อเถิงฮัวมีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่
“ระวังหน่อย”
ถังเชวียหรานร้องเตือนนางว่าพลางมองไปยังป่าลึกก่อนจะพูดต่อ “ดอกนี้มีเ้าของแล้ว...”
สวบสาบ...
เสียงเหยียบย่ำใบไม้ดังขึ้นเรื่อยๆตามด้วยเสียงขู่คำรามของหมาป่าร่างกำยำถูกปกคลุมด้วยขนสีเทาแซมขาวเดินมาหยุดตรงหน้า