“เทียนเฉิง เทียนเฉิง” เธอเอ่ยคำนี้ซ้ำๆ ในหัวเกิดเสียงดังอื้ออึง เหมือนเครื่องฉายหนังโบราณ ฉายภาพสีขาวดำให้เธอทีละภาพๆ นับไม่ถ้วน และตัวเอกก็คือเธอ ภาพเหล่านี้เหมือนกับพระจันทร์ที่สะท้อนในผืนน้ำ เหมือนดอกไม้ในกระจก ความรู้สึกคุ้นเคยนั้น ราวกับว่าเธอเคยัักับมันมาอย่างนั้น
เธอจำได้ทุกอย่างแล้ว นี่คือชาติที่แล้วของเธอ และความฝันที่เธอฝันมาตลอดนั้นล้วนมาจากชาติที่แล้ว
เธอจำได้ว่าในชีวิตนี้ เธอชื่อลิ่วซี เจินลิ่วซี เธอเป็บุตรสาวของแม่ทัพเจิน และที่ตั้งชื่อว่าลิ่วซีนั้นล้วนมาจากคำสอนทางพระพุทธศาสนาว่า “ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจเปรียบดั่งความสุข รวมกันเป็ลิ่วเยว่” แต่เพราะชื่อมารดาของเธอคือเยว่จึงเปลี่ยนเป็ซีซึ่งมีหมายความว่าเธอสามารถมีความสุขได้ตลอดชีวิต
นางคืออัญมณีของตระกูลเจิน เป็ที่โปรดปรานของบิดามารดาั้แ่นางยังเป็เด็ก นางคือคุณหนูใหญ่ที่หยิ่งยโสและเอาแต่ใจ ต่อมาได้พบกับอ๋องสาม อวิ๋นซู่ และในคืนก่อนที่นางจะติดตามท่านอ๋องเข้าวัง นางและมารดาของนางได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
“ซีเอ๋อร์ ในวังหลวงไม่ดีเท่าภายนอก เ้าควรพยายามควบคุมอารมณ์ ตอนนี้อ๋องสามปฏิบัติต่อเ้าอย่างดี เขาตามใจเ้า แต่ในอนาคตหากเขาปฏิบัติต่อเ้าไม่ดี อารมณ์เช่นนี้ของเ้าอาจทำให้เสียเปรียบได้”
ตอนนั้นนางจะเข้าใจเื่นี้ได้อย่างไรกัน สาบานได้เลย
“ท่านแม่ ไม่ต้องห่วงข้า อวิ๋นซู่จะไม่เปลี่ยนไป เขาสัญญาว่าจะรักข้าตลอดไป”
ตอนนั้นมารดาของนางถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก วันรุ่งขึ้น นางติดตามอวิ๋นซู่เข้าวังอย่างมีความสุข พอคิดถึงเื่นี้ ตอนที่มารดาของนางถอนหายใจนั้นเพราะได้คิดถึงชะตากรรมอันน่าเศร้าในชีวิตที่เหลือของนาง
นางะโลงจากหน้าผา กระดูกแหลกร้าวไปทั้งตัว แต่ทำไมจู่ๆ จึงย้อนกลับมา?
หรือที่ไต้ซืออู๋เสวียนบอกว่าวาสนาชาติที่แล้วของเธอยังไม่จบสิ้น? จำเป็ต้องกลับมาแก้ไขอีกครั้ง?
แล้วตอนนี้มันปีที่เท่าไรแล้ว? ใครเป็คนปกครองแคว้น? ยังเหมือนกับตอนที่นางจากมาหรือเปล่า?
นางรั้งคนคนหนึ่งที่เดินผ่านเอาไว้
“ตอนนี้ปีใดแล้ว?”
คนที่ถูกดึงไว้มองนางอย่างดูแคลน
“ราชวงศ์ทงที่หก”
“ราชวงศ์ทงที่หก? แล้วฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคือใคร?” ลิ่วซีเอ่ยถามอีกครั้ง
คนผู้นั้นมองนางั้แ่ศีรษะจรดเท้าอย่างระมัดระวัง เห็นนางสวมชุดประหลาด แต่งหน้าก็แปลก จึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“เ้าไม่ใช่คนของราชวงศ์ทงรึ? เ้ามาจากที่ใด? ดินแดนตะวันตก? แคว้นเสวียน?”
ลิ่วซีปฏิเสธทุกคำถาม
“ไม่ ข้าป่วยเป็โรคประหลาดเมื่อสองสามปีก่อน ทำให้ความทรงจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้มากนัก”
คนผู้นั้นมีท่าทีสงสัย ดูแล้วนางไม่เหมือนสายลับจากแคว้นศัตรู จึงหยิบยาสูบแห้งออกมาแล้วนั่งสูบยาสูบริมถนนขณะเล่าเื่ราวให้นางฟัง
“ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคือองค์ชายสามในปีนั้น น่าเสียดายที่เ้าจำเื่ราว่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่ได้ เมื่อหกปีก่อนองค์ชายสามทรงนำทัพไปรบกับศัตรูั้แ่เหนือจรดใต้ ทรงปรีชาด้านการนำทัพไปสู้รบ ต่อมาทรงใช้ความสามารถด้านการรบและด้านการเมืองของตัวเองวางแผนแย่งชิงบัลลังก์ ช่างวิเศษจริงๆ !"
แม้ว่าเขาจะพูดเสียงต่ำ แต่ใบหน้าของเขากลับดูชอบใจ ตื่นเต้นที่ได้พูด
ลิ่วซีถาม
“ั้แ่เกิดาขึ้น ประชาชนล้วนอดอยาก ประชาชนต่างต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมานมากที่สุด มีสภาพราวกับตกนรกทั้งเป็ เหตุใดเ้าถึงดูตื่นเต้นนักล่ะ?”
คนผ่านทางเคาะยาสูบขนาดใหญ่ลงใต้ฝ่าเท้า เหลือบมองลิ่วซีก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“ถึงจะบอกแบบนั้น แต่เ้าลองคิดดู ใช้เวลาครึ่งปีในการก่อาและความวุ่นวาย เพื่อแลกกับใต้หล้าที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองเช่นในตอนนี้ ผู้คนต่างใช้ชีวิตอย่างพึงพอใจและทำงานกันอย่างสงบสุข เื่ราวในปีนั้นไม่ควรค่าให้พูดถึงเท่าไรนัก ฮ่องเต้เองก็ทรงเป็ห่วงต่อประชาชนได้ ส่วนเื่ทำาก็มีการสนับสนุนจากแคว้นเป่ยเจวี๋ย ทั้งยังช่วยเหลือประชาชนอยู่บ่อยๆ จึงไม่ได้ลำบากถึงเพียงนั้น”
ใช่แล้ว ลิ่วซีนึกขึ้นมาได้ อวิ๋นซู่ซึ่งครั้งเคยเป็องค์ชายสามคิดจะครองใต้หล้านี้ และทำให้ประชาชนมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง เขามีความทะเยอทะยานและมีจิตใจเมตตา แต่นางก็นึกถึงองค์ชายใหญ่ จริงๆ แล้ว องค์ชายใหญ่เป็คนจิตใจดี แม้ว่าพร์ของเขาจะสู้อวิ๋นซู่ไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เลว ตอนนั้นเขาได้รับความชอบจากคนไม่น้อย “แล้วองค์รัชทายาทล่ะ?”
“ก่อนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงมอบบัลลังก์ให้องค์ชายใหญ่ หรือก็คือองค์รัชทายาท ไม่ๆ ยังไม่ทันขึ้นครองราชย์ องค์ชายสามก็ชิงบัลลังก์ไปเสียก่อน ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนที่ให้การสนับสนุนองค์รัชทายาทล้วนถูกฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไล่ออกจากราชสำนัก ไล่ออกจากงาน แม้กระทั่ง…”
คนผู้นั้นรู้ตัวว่าตนพูดมากเกินไปจึงหยุดกะทันหัน และไม่พูดต่อ เขาลุกขึ้นและเหลือบมองลิ่วซี ส่ายศีรษะก่อนจะทิ้งถุงยาสูบไว้ข้างหลัง
ลิ่วซีนั่งอยู่ในที่ที่คนผู้นั้นนั่งเมื่อครู่นี้ มองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา มองแล้วดูเจริญรุ่งเรือง แต่นางไม่รู้ว่าตนควรไปที่ใดต่อ คำพูดของคนแปลกหน้าเมื่อครู่นี้ยังคงอยู่ในใจของนาง
ที่แท้ นางก็จากที่นี่ไปหกปีแล้ว อวิ๋นซู่อยู่กับนางในตอนที่นางจากไป ได้ครองใต้หล้าตามที่เขาปรารถนา ความทะเยอทะยานและพร์ของเขา กาลเวลาได้พิสูจน์แล้ว และประวัติศาสตร์ก็ตอบแทนเขาได้ดีที่สุด
นางยิ้มอย่างขมขื่น ชายหนุ่มที่นางเคยเอาชีวิตไปเดิมพันเพื่อรัก ตอนนี้กลับมีอำนาจและตำแหน่งสูงศักดิ์ คงลืมไปแล้วว่าเจินลิ่วซีเป็ใคร คงลืมไปนานแล้วว่าเจินลิ่วซีที่ถูกเขาขังลืมไว้ในตำหนักลิ่วฉือเป็ใคร
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน นางจะได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับความรักหรือความเกลียดชังอีกต่อไป และจะใช้ชีวิตต่อไปเพื่อตัวเองเท่านั้น
ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง นางปัดฝุ่นบนร่างกายและมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของเมืองซึ่งเป็ที่ตั้งของตระกูลเจินครอบครัวนาง
ไม่รู้ว่าบิดามารของนางเป็อย่างไรบ้างใน่หลายปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าพี่ชายของนางแต่งงานหรือยัง?
พอนึกถึงพวกเขา ดวงตาของนางพลันแดงก่ำ
อันที่จริงแล้ว หลิวเยว่ในปัจจุบัน เพราะ่เวลาที่เติบโตนั้นนางไม่มีเวลาปฏิสัมพันธ์กับใคร และั้แ่ทำงานซ่อมของโบราณก็พูดคุยกับคนน้อยมาก ดังนั้นจึงกลายเป็คนเ็าและเก็บตัว แม้กระทั่งสำหรับโจวเฉิงิเธอก็ยังได้รับฉายาว่าเป็สัตว์เืเย็นไร้ความรู้สึก แม้แต่การแสดงความรักที่ได้รับจากเธอยังมีเพียงน้อยนิด
แต่ในเมื่อเธอมาเหยียบลงบนแผ่นดินของเทียนเฉิง คิดถึงเื่ราวที่เคยเกิดขึ้นมาทั้งหมด หัวใจของเธอก็เต้นแรง แทบอดใจรอไม่ไหว ความรู้สึกนั้นเข้มข้นและรุนแรง บุคลิกของคนทั้งสองยุคนี้ช่างแตกต่างกันเกินไป เมื่อผสมผสานกัน จึงได้กลายเป็นางที่เป็อยู่ตอนนี้ ภายนอกเยือกเย็นแต่ภายในกลับร้อนแรง
ทันทีที่ตระกูลเจินปรากฏสู่สายตาของนาง น้ำตากลับไหลออกมาไม่หยุด
ปัง...ปัง...ปัง...
นางเคาะประตูบานใหญ่ หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของพ่อบ้านสวีผู้จงรักภักดีก็ดังลอยมา
“ใคร?”
“ลุงสวี ข้าเอง ลิ่วซี”
พ่อบ้านสวีซึ่งอยู่หลังประตูตกตะลึงอยู่นานก่อนจะเปิดประตู
“คุณหนู...คุณหนู...เป็ท่านจริงๆ ”
ลิ่วซียังไม่ทันจะตอบอะไร พ่อบ้านสวีก็เดินตรงไปที่โถงใหญ่อย่างรวดเร็วและะโว่า
“นายท่าน ฮูหยิน คุณชาย คุณหนูกลับมาแล้ว คุณหนูกลับมาแล้ว” น้ำเสียงที่เอ่ยผ่านโถงใหญ่นั้นแข็งแกร่งและทรงพลัง
ลิ่วซีนึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ ชาติที่แล้วของนาง นางตายจากการะโลงจากหน้าผา ดังนั้น สำหรับครอบครัวของนาง นางจึงกลายเป็คนที่ตายไปแล้ว ดังนั้นปฏิกิริยาของพ่อบ้านสวีในยามนี้คือความใกลัว หรือตื่นเต้น คงไม่คิดว่านางเป็ผีสาวหรอกกระมัง?
แต่กลางวันแสกๆ จะมีผีโผล่มาได้อย่างไร ขณะที่กำลังครุ่นคิดนั้น นางก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นและคุ้นเคยตระโกนเอ่ยเรียกนาง
“ซีเอ๋อร์ ซีเอ๋อร์ของข้า เ้ากลับมาแล้ว”
มองตามเสียงที่ดังมานั้น ลิ่วซีเห็นคนสามคนเดินโซเซออกมาจากห้องโถงใหญ่ พวกเขาเป็บิดามารดาและพี่ชายที่นางสนิทสนมด้วยมากในชาตินี้ ผ่านไปนานเพียงนี้ แต่ความรักที่พวกเขามีต่อนางกลับไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
นางอยากจะรีบเข้าไปกอดพวกเขา แต่น่าเศร้าที่นางพบว่านางได้ควบคุมตัวเองให้ห่างเหินจากพวกเขา ไม่สามารถแสดงความรู้สึกของนางได้ ดังนั้นนางจึงได้แต่หลั่งน้ำตามองดูพวกเขาอย่างตะลึงค้าง
มารดาของนาง เข้ามากอดลิ่วซีอย่างแแ่ นางร้องไห้เสียงดัง “ซีเอ๋อร์ของแม่ เ้ากลับมาแล้ว ทำให้เ้าลำบากแล้ว”
“ซีเอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้า”
คนทั้งครอบครัวร้องห่มร้องไห้ แม้แต่บิดาของนางก็มองนางด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ข้านึกว่าข้าจะทำให้พวกท่านหวาดกลัว”
“เด็กโง่ จะกลัวเ้าได้อย่างไร? ในเมื่อเ้ากลับมา พ่อแม่ย่อมมีความสุขไม่น้อย ตลอดหลายปีมานี้ เ้าอยู่ในวังมีแต่ไม่ได้รับความเป็ธรรม”
“ในวัง?” ลิ่วซีถามกลับ หรือเื่ที่นางะโลงจากหน้าผาพวกเขาจะไม่รู้?
ในเวลานั้นอวิ๋นซู่เห็นนางตายกับตาตัวเอง หรือเขาไม่ได้บอกครอบครัวของนาง? ทำให้พวกเขาคิดว่านางเพียงไม่ได้รับความเป็ธรรมในวัง?
ท่านแม่ตบหลังนางเบาๆ ยกมือขึ้นลูบแก้มของนาง น้ำตายิ่งไหลลงมาไม่หยุด
“สถานที่เยี่ยงตำหนักลิ่วฉือ ไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่เลย ั้แ่เด็กเ้าทนทุกข์ทรมานกับมันได้อย่างไร? ดูซิว่าเ้าผ่ายผอมแค่ไหน แม่... หัวใจของแม่เหมือนกับถูกมีดกรีด”
ลิ่วซีก็ร้องไห้เช่นกัน แต่ไม่สามารถปลอบโยนนางได้ แต่พี่ชายของนางกลับเอ่ยขึ้นมา
“ในที่สุดน้องพี่ก็กลับมา อย่ายืนอยู่ตรงนี้เลย กลับไปพักผ่อนในเรือนเถอะ แล้วค่อยพูดคุยกันทีหลัง”
“ใช่ ข้าจะสั่งให้ห้องครัวทำอาหารที่เ้าชอบ”
.......
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้