ตระกูลเจินใน่ไม่กี่ปีมานี้ มั่งคั่งขึ้นกว่าเดิมมาก มีการขยายลานบ้าน ข้าวของเครื่องใช้และของตกแต่งต่างๆ ล้วนพิถีพิถัน แม้แต่จำนวนบ่าวรับใช้ก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงเครื่องลายครามและถ้วยน้ำชา ล้วนเป็ของชั้นดีที่สุดในยามนี้
เมื่อนึกถึงชีวิตในยุคปัจจุบัน ก็กังวลว่าโจวเฉิงิจะติดต่อนางไม่ได้ เขาจะกังวลไหม? หากพูดถึงในยุคปัจจุบัน ทั้งชีวิตนี้ ก็มีเพียงโจวเฉิงิคนเดียวที่ห่วงใยนาง หากนางรู้ว่าวาสนาของพวกเขาจะสั้นเช่นนี้ นางคงจะปฏิบัติต่อเขาดีกว่านี้ และคงเหลือความเสียใจน้อยลง
ขณะที่นางอยู่ในภวังค์ จู่ๆ ก็ได้ยินมารดาพูดขึ้นมา
“สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็ฮ่องเต้ให้คนส่งมาให้ แม้ว่าเ้าจะถูกคุมขังในตำหนักลิ่วฉือ แต่ฮ่องเต้ทรงมีเมตตาต่อตระกูลเจินของเรามาก ใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาบิดาและพี่ชายของเ้ายังได้รับหน้าที่สำคัญในราชสำนัก”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
ลิ่วซีได้ค้นพบบางอย่าง ที่แท้อวิ๋นซู่ก็ไม่ได้บอกใครว่านางะโลงจากหน้าผาและเสียชีวิต เขาแค่บอกว่านางทำผิดและถูกขังไว้ในตำหนักลิ่วฉือ ไม่อนุญาตให้ใครออกและเข้า และไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ ไม่เช่นนั้น หากใครฝ่าฝืนจะถูกปะาทันที
“ลิ่วเอ๋อร์ เ้าแอบออกมาจากตำหนักลิ่วฉือ หากถูกพบเข้า ผลจะเป็อย่างไร?”
แม่ทัพเจินเห็นลิ่วซี เขาย่อมดีใจ แต่กลับกังวลถึงปัญหาบางอย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลายปีมานี้ ฮ่องเต้เกลียดลิ่วซีเข้ากระดูกดำแม้แต่ชื่อก็ห้ามเอ่ยถึง เขาย่อมรู้ดีที่สุด ตอนนี้ได้เห็นลิ่วซี หน้าตาไม่เรียบร้อย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ร่างกายเกรอะไปด้วยฝุ่น ทั้งยังสวมชุดประหลาด จึงนึกว่านางต้องแอบหนีออกจากวังมาเป็แน่
เพราะคำพูดของบิดาทำให้บรรยากาศที่อบอุ่นชะงักค้าง บิดามารดาพี่น้องต่างมองนางอย่างกังวลใจ หลังจากความยินดีที่ได้พบหน้าผ่านพ้นไป สีหน้าของหลายๆ คนจึงเริ่มสงบลง
ลิ่วซีรีบเอ่ยปลอบใจ
“ไม่เป็ไร ตำหนักลิ่วฉือไม่มีใครเดินเข้าออกได้ ย่อมไม่มีคนรู้ว่าข้าไม่อยู่ ข้าแค่คิดถึงพวกท่าน เลยอยากกลับมาหาพวกท่าน ไว้ค่อยหาโอกาสกลับเข้าไปก็ได้”
แม้ว่าลิ่วซีจะเอ่ยปลอบใจเช่นนี้ แต่ในใจนางยังคงเป็กังวล การที่นางรีบกลับมาตระกูลเจินเช่นนี้ มันจะนำพาความตายมาสู่ครอบครัวของนางหรือไม่? นางคิดไม่รอบคอบเอง
“ซีเอ๋อร์ พ่อทำผิดต่อเ้า ตลอดเวลาที่ผ่านมาพ่อช่วยเ้าออกมาจากตำหนักลิ่วฉือไม่ได้เลย”
เมื่อมารดาของนางได้ยินเช่นนั้น น้ำตาก็ไหลพรากออกมาทันที
“บิดากับพี่ชายของเ้า แม้ว่าจะสู้รบในสนามรบมาหลายครั้ง มีอำนาจในราชสำนักและได้รับคำชื่นชมจากฮ่องเต้ แต่อย่างไรก็ตาม กลับไม่สามารถแม้แต่จะเอ่ยถึงเ้าต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ได้ เมื่อสองสามปีก่อน บิดาเ้าก็ขอร้องแทนเ้า แต่ทันทีที่มีการเอ่ยนามของเ้า ฮ่องเต้ทรงมีสีหน้าเคร่งขรึมและโกรธเคืองในทันที ทำให้เหล่าขุนนางและทหารในราชสำนักต่างต้องคุกเข่าลง แม้ว่าบิดาของเ้าจะควบม้าในสนามรบมาทั้งชีวิต มีการสู้รบแบบใดบ้างที่ยังไม่เคยเห็น? แต่หลังจากเห็นท่าทางของฮ่องเต้ กลับมาเขาก็ป่วยหนัก สองปีมานี้ อารมณ์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไปมาก ไม่มีใครในราชสำนักกล้าพูดกับพระองค์ ตราบใดที่มีคนขัดพระทัย โทษเบาก็จะถูกลดตำแหน่ง แต่หากโทษหนักก็จะถูกออกจากตำแหน่ง พระองค์เป็อัจฉริยะในการปกครองใต้หล้า แต่ทรงเผด็จการและเย่อหยิ่ง ประชาชนทั่วไปในรัชสมัยนี้ต่างยกนิ้วให้ เพราะใต้หล้านี้สงบสุข ชีวิตของราษฎรล้วนดีกว่ายามเป็รัชสมัยก่อนร้อยเท่า มีแค่กับพวกขุนนางอย่างเราๆ เท่านั้น อย่างที่ว่าไว้อยู่ใกล้ฮ่องเต้เหมือนอยู่ใกล้เสือ”
มารดานางยังคงอยากจะพูดต่อ แต่ถูกบิดาของนางห้ามเอาไว้เสียก่อน
“เป็สตรี ใยต้องพูดให้มากความ”
มารดาของนางมองไปยังบิดา ก่อนจะก้มหน้าแล้วมองไปที่ลิ่วซี แต่ยังอดไม่ได้ นางพูดต่ออีกว่า
“บิดาของเ้ากับพี่ชายเ้า ไม่กล้าเอ่ยถึงเ้าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้อีก คนในวังหลวงต่างเกรงกลัวตำหนักลิ่วฉือราวกับสัตว์ร้าย ใครก็ตามที่ได้ยินเป็อันต้องหลีกเลี่ยง เราทำได้เพียงร้อนใจเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำได้! “
“ซีเอ๋อร์ เ้าไปทำสิ่งใดผิดกันแน่ ถึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้? แม้ว่าในอดีตเ้าจะค่อนข้างเอาแต่ใจ แต่เ้าย่อมรู้ว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญ ไม่มีทางทำเื่ที่นอกลู่นอกทางเด็ดขาด”
คำพูดของพวกเขา ทำให้ลิ่วซีเข้าใจ ดูเหมือนว่าตระกูลเจินจะไม่ใช่สถานที่ที่นางจะอยู่นานๆ ได้ ต้องหนีไปให้เร็วที่สุด นางไม่นึกว่าอวิ๋นซู่จะเกลียดชังนางถึงเพียงนี้
การมาของนาง ไม่้าให้บรรดาบ่าวไพร่รับรู้มากนัก ดังนั้นบิดามารดาของนางจึงจัดที่ให้นางไปนอนเร็วๆ แต่ยังคงเป็ห้องนอนเก่าของนาง ในเรือนนั้นเปิดหน้าต่างไว้ ด้านนอกเป็สวนดอกไม้ มีแมลงส่งเสียงร้องดังระงม บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว นางนั่งริมหน้าต่าง ลมเย็นๆ พัดโชยมา จนกระทั่งถึงยามนี้นางก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง
ตอนนี้นางกำลังฝันอยู่หรือเปล่า หรือชีวิตยี่สิบกว่าปีในยุคปัจจุบันของนางเป็ความฝัน? ระหว่างสิ่งที่เหมือนกับความจริงและฝันนี้ นางยังรู้สึกเหลือเชื่อ คนเรามีชาติก่อนจริงๆ หรือว่านางจะย้อนกลับมายังชาติที่แล้วของนางจริงๆ
นางนั่งอยู่ชั้นบนของอาคาร ความทรงจำมากมายไหลทะลักเข้ามาในหัวของนาง อวิ๋นซู่เคยนั่งตรงนี้ นางเคยแอบพาเขามาที่นี่ และเป็เวลากลางคืนเช่นนี้ ที่เขาสัญญาว่าจะใช้ชีวิตกับนาง
ยามนั้นเขายังเป็องค์ชายสาม ฉลาดและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ กล้าหาญและดุดัน ติดตามอดีตฮ่องเต้ไปโจมตีเมืองยึดแคว้นทั่วสารทิศ อายุยังน้อยแต่กล้าหาญและมีแผนการ ทว่าเพราะชาติกำเนิดนั้นเทียบไม่ได้กับองค์ชายองค์อื่นๆ และยิ่งไม่มีทางที่จะเทียบกับองค์ชายใหญ่ได้ เพราะมารดาของเขาเป็เพียงนางกำนัลในวัง ก่อนจะสิ้นใจก็ไร้ชื่อไร้ฐานะ ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่เคยให้ความสำคัญเขา
ลิ่วซีจำวันสารทจีนปีนั้นได้ อวิ๋นซู่ขี่ม้าพานางไปที่ชานเมือง ทิ้งกระดาษเงินลงบนแม่น้ำ เขาชี้ไปที่แม่น้ำแล้วกล่าวกับนาง
“สักวัน ข้าจะสร้างสุสานราชวงศ์ให้กับนาง ให้ใต้หล้านี้มาคำนับต่อนาง”
ตอนนั้นมารดาของเขาเป็แค่นางกำนัล หลังจากสิ้นใจแม้แต่ที่ฝังศพก็ไม่มี ยามนั้นที่อวิ๋นซู่กล่าวเช่นนี้ ลิ่วซีไม่เข้าใจสายตาของเขา ชีวิตของเขาถูกบงการด้วยความเกลียดชัง ทะเยอทะยาน ทั้งหมดนี้ล้วนฝังลึกไว้ในใจของเขา
หรือลิ่วซีอาจจะเข้าใจ แต่ไม่กล้ายอมรับ
ดังนั้น ต่อมาขณะที่เขา้าแต่งงานกับองค์หญิงแคว้นเป่ยเจวี๋ย ชางรั่วอวี้ เป็พระชายา นางไม่กินไม่ดื่ม ใช้ความตายมาข่มขู่
“เ้าจำได้หรือไม่ ตอนที่เ้าพาข้าเข้าวังมา เ้าสัญญากับข้าว่าอย่างไร จะมอบชีวิตที่สุขสบายกับข้า”
เขาพูด
“อาซี นี่เป็เพียงแผนการเฉพาะหน้า ข้าอยากให้เ้ามีชีวิตที่มีความสุขและสบาย แต่ข้าจำเป็ต้องแย่งชิงสิ่งที่ควรแย่งชิง แม้ว่าในราชสำนักจะมีขุนนางใหญ่แอบให้การสนับสนุนข้า แต่เสด็จพ่อไม่มีทางยกบัลลังก์แก่ข้า องค์ชายคนอื่นๆ ต่างจับตามองดูข้า มีดวงตากี่คู่ที่จ้องมาที่ข้า หวังให้ข้าทำผิดพลาด เพื่อที่ข้าจะไม่มีทางฟื้นคืนมาได้ตลอดไป ข้าต้องแต่งงานกับแคว้นเป่ยเจวี๋ย ข้าจำเป็ต้องได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังทหารของพวกเขา อาซี เ้าให้เวลาข้านะ”
ตอนนั้น ลิ่วซีเข้าใจแล้ว ความทะเยอทะยานของเขา ยิ่งรู้จักเขายิ่งรู้ว่าในใจของเขานั้นแผ่นดินสำคัญกว่าหญิงงาม และชางรั่วอวี้นั่นก็เป็หญิงงามที่ล่มเมือง
เขาบอกว่า
“อาซี ชีวิตข้าเกิดในราชวงศ์ ั้แ่เกิดมา วิชาที่ได้ร่ำเรียนนั้นคือการแย่งชิง จะทำอย่างไรให้ตัวเองได้มาซึ่งอำนาจในราชสำนัก”
จากการตัดสินใจของเขา นางเองก็ไร้หนทาง
สุดท้ายเขาก็แต่งงานกับชางรั่วอวี้ แผนการที่พาไปสู่ความสำเร็จนั้นยังคงเป็เหตุผลหลัก กระทั่งชางรั่วอวี้ตั้งครรภ์
ลิ่วซีในตอนนั้น นางมีนิสัยแข็งกระด้างและเอาแต่ใจตัวเอง นางจะยอมปล่อยชางรั่วอวี้ไปได้อย่างไร เป็ที่ทราบกันดีว่านางสร้างความลำบากให้กับชางรั่วอวี้ไปทุกหนแห่ง
ในตอนแรก อวิ๋นซู่ยังตามใจนางมาก ไม่ว่านางจะทำอย่างไรกับชางรั่วอวี้ เขาก็ไม่เคยสนใจ จนกระทั่งชางรั่วอวี้แท้งโดยบังเอิญ และปิ่นปักผมดอกโบตั๋นหยกสีขาวของนางปักลงไปที่อกของชางรั่วอวี้ เขากลับกลายเป็คนโเี้ บ้าคลั่ง ไม่เลือกปฏิบัติ กระทั่งเหตุผลใดๆ เขาก็ไม่เอ่ยถาม กักขังนางไว้ในตำหนักลิ่วฉือ
นางร้องไห้และโวยวาย
“ข้าไม่ได้ทำร้ายนาง นางหกล้มไปเอง ปิ่นหยกนั่นก็เป็นางที่ปักอกตัวเอง นางเป็สตรีร้ายกาจ”
แต่ทั้งหมดก็ไร้ประโยชน์ สายตาที่อวิ๋นซู่มองมาที่นางในคือสายตาไร้ซึ่งความอ่อนโยนและความรัก เขามองนางอย่างเ็า ไม่ว่านางจะร้องไห้อย่างไร ก็ไม่ช่วยบรรเทาเลยแม้สักนิด
ท่าทางที่น่าสงสารของชางรั่วอวี้นั้นกลับได้รับการทะนุถนอมจากบุรุษมากกว่า เมื่อเทียบกับการร้องไห้โวยวายของนาง นอกจากนี้เื้ันางยังมีอ๋องจากแคว้นเป่ยเจวี๋ยมาเรียกร้องหาความยุติธรรมแทนนาง
ไม่มีใครสนใจความเป็ความตายของลิ่วซี ในตำหนักลิ่วฉือ มีเพียงตะเกียงไฟคอยอยู่เป็สหาย และในที่สุดนางก็สูญเสียเืเนื้อของอวิ๋นซู่ไป จากนั้นนางะโลงจากหน้าผาและเสียชีวิต
พอคิดถึงวันเ่าั้ นางยังคงหนาวสั่น ยิ่งกว่านั้นตอนนี้นางสุขุมและควบคุมตนเองได้มากกว่าเมื่อก่อน และนางก็มีประสบการณ์ชีวิตมากมาย นางไม่ยกบุรุษเป็ศูนย์กลางอีกต่อไป และไม่้าใช้ชีวิตร่วมกับใครอีก
นาง้าอยู่ด้วยตัวเอง
นางอยู่ในตระกูลเจินได้ไม่นานนักและไม่อาจลากครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องได้ ให้อวิ๋นซู่คิดต่อไปว่านางตายไปแล้ว และให้ทุกคนคิดว่านางยังอยู่ในตำหนักลิ่วฉือต่อไป
สองวันต่อมา นางคุยกับบิดามารดาและพี่ชายของนาง พูดถึงเื่ต่างๆ ในอดีต แต่นางยังคงปิดปากเงียบไม่พูดถึงเื่อวิ๋นซู่
อยู่ๆ นางก็นึกถึงคนคนหนึ่ง จึงเอ่ยถาม
“ท่านพ่อ ท่านทำากับแคว้นเสวียนมาหลายปี เคยเห็นองค์รัชทายาทแคว้นเสวียนหรือไม่?”
สิ่งที่ลิ่วซีคิดก็คือ ถ้าหากนางไม่มีที่ไปจริงๆ บางทีนางอาจจะหนีไปหาเหย่เลี่ยได้ เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา ตราบใดที่นางตกอยู่ในอันตราย เหย่เลี่ยมักจะปรากฏตัวขึ้น
เหย่เลี่ย เหย่เลี่ย ดูเหมือนว่าเื่สำคัญเื่หนึ่งจะถูกลืมไปแล้ว คล้ายจะนึกออก แต่ก็ลืมไปจนนึกไม่ออก เลือนรางนัก และใบหน้าของเหย่เลี่ยก็ทับซ้อนกับใบหน้าของไต้ซืออู๋เสวียน
แคว้นเสวียนเป็แคว้นที่ลึกลับแต่มีสีสัน เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ยาพิษ คาถา และราษฎรพวกเขาเคารพผู้ปกครองแคว้นของของพวกเขามาก
หลังจากฟังคำถามของลิ่วซีแล้ว แม่ทัพเจินก็ครุ่นคิดก่อนจะพูด
“ตอนที่ไปแคว้นเสวียนเมื่อสองปีก่อน ข้าเห็นเขาอยู่หลายครั้งจากที่ไกลๆ ตอนแรกคิดว่าเขาเป็เพียงบัณฑิตที่เจียมเนื้อเจียมตัว จึงไม่เห็นเขาในสายตา แต่หลังจากรบสองสามครั้ง กลับทำให้พวกเราใมาก กลุ่มของเขามีระเบียบวินัยและจิติญญาของทหารสูงนัก ไม่ว่าทหารหรือผู้นำทัพ ต่างเชื่อฟังคำสั่งการของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรามีคนในราชสำนักมากกว่า ด้วยความสามารถของข้าเกรงว่าคงพ่ายแพ้กับเขาไปแล้ว ข้าชื่นชมคนอย่างเขามาก หากแคว้นเสวียนได้เขาเป็ผู้นำทัพ เกรงว่าแคว้นและราชวงศ์พวกเราคงถูกกดดันเป็แน่?”
แม่ทัพเจินไม่กระดากอายที่จะเอ่ยชมคู่ต่อสู้อย่างเปิดเผย และลิ่วซีก็มีความสุขที่ได้ยินเื่นี้ ไม่ว่าฐานะของนางกับเหย่เลี่ยจะเป็อย่างไร แต่ในใจของนาง เขาถือว่าเป็สหายสนิทของนาง
“แต่เสียดายที่เหย่เลี่ยไม่สนใจในอำนาจ เขารักอิสระและรักการท่องใต้หล้า”
แม่ทัพเจินมองลิ่วซีก่อนจะพูดต่อ
“ซีเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าพวกเ้ามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ตอนเด็กๆ เ้าติดตามข้าทำาจนถึงแคว้นเสวียน และถูกจับเป็ตัวประกัน ดังนั้นเ้าถึงได้รู้จักเขาและได้รับการปกป้องจากเขา ทำให้ไม่ได้รับความลำบากอะไร พ่อเองก็รู้สึกขอบคุณเขามาก แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแคว้นของเราเป็ศัตรูกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เ้าอยู่ในวังหลวง จะต้องระวังให้มาก”
“ข้ารู้”
ตอนนั้นที่นางยังอยู่ในวัง ลิ่วซีปิดบังเื่นี้มาตลอด และอวิ๋นซู่ก็ไม่รู้ว่านางมีมิตรภาพที่ดีกับเหย่เลี่ย หลังจากที่เข้าไปในตำหนักลิ่วฉือ เวลากลางคืนเหย่เลี่ยมักจะหลีกเลี่ยงอุทยานหลวงเพื่อมาเยี่ยมนางพร้อมสุราข้าวอุ่นๆ ดื่มสุราและพูดคุยกับเขา เป็ชีวิตที่มีความสุขมาก
พอนึกขึ้นมาตอนนี้แล้ว หัวใจนางพลันมีกระแสอบอุ่นไหลเวียนในโลหิต ลิ่วซีตอนนั้น เหย่เลี่ยในตอนนี้ ช่างดีเหลือเกิน
แต่ตอนนี้ หลังจากที่บิดาของนางเอ่ยเตือนขึ้นมา แคว้นเสวียนนางก็ไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นนางจะถูกตั้งข้อหาฏอย่างแน่นอน ซึ่งย่อมจะได้รับโทษปะาชีวิตเก้าชั่วโคตร!
การกลับมายังยุคนี้อย่างกะทันหัน นางไม่คิดว่าจะกลับไปยังยุคปัจจุบันไม่ได้อีก
เพื่อครอบครัว ทำได้เพียงต้องโกหก
“พรุ่งนี้ข้าจะกลับวังแล้ว ครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร!”
“เ้ากลับไป รอพ่อหาหนทางช่วยเ้าออกมา แม้ว่าฮ่องเต้ประสงค์จะปะาข้า ข้าก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเ้า!”
“อย่าทำเยี่ยงนั้นเลย! แม้ว่าตำหนักลิ่วฉือจะเงียบเหงาไปสักหน่อย แต่ชีวิตของข้าก็สงบสุข ข้าไม่้าต่อสู้กับใคร ชีวิตข้ามีความสุขมากกว่าเมื่อก่อน แค่เราได้พบกันน้อยลงเท่านั้น ไม่เป็ไร …ข้ารู้ว่าพวกท่านมีชีวิตที่ดีก็พอแล้ว!”
ลิ่วซีหยุดบิดาและพี่ชายของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อไม่ให้พวกเขาหาทางช่วยเหลือนาง มิฉะนั้นความลับจะถูกเปิดเผย
มารดาของนางฟังแล้วก็น้ำตาซึม
“ซีเอ๋อร์ ลำบากเ้าแล้ว!”
แค่ประโยคนี้ ลิ่วซีก็เกือบควบคุมน้ำตาไม่ได้ เมื่อปีนั้นพวกเขาเคยเกลี้ยกล่อมนาง วังหลังนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก ด้วยนิสัยของนางไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดเื่ ทว่าตอนนั้นนางก็ยึดถือความรักเล็กๆ ที่อวิ๋นซู่มีต่อนาง ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก้าวเข้าไปในตำหนักลึกหลังกำแพงสีแดงอย่างมั่นใจ แต่สุดท้ายก็ยังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
พี่ชายดื่มสุราไปด้วยใบหน้าโศกเศร้า
“ถ้าปีนั้นเป็องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ บางทีน้องพี่อาจไม่ต้องทนทุกข์แบบนี้ก็ได้ องค์รัชทายาทอ่อนโยนและอ่อนน้อมถ่อมตน ใช้คุณธรรมโน้มน้าวใจผู้คน...”
แม่ทัพเจินเอ่ยห้ามปรามเขาอย่างเข้มงวด
“อย่าพูดไร้สาระ!”
หัวใจของลิ่วซีกระจ่างขึ้นทันที ต้องมีขุนนางผู้ซื่อสัตย์หลายคนที่ยังคงสนับสนุนองค์ชายใหญ่ในราชสำนัก ดูเหมือนว่าสถานะของอวิ๋นซู่จะยังไม่มั่นคง