จุนห่าวเพิ่งออกจากจวนของจุนอี้เจิน ข่าวที่ว่าจุนห่าวถูกไล่ออกจากคฤหาสน์ของตระกูลจุนก็ได้แพร่กระจายออกไปทันที จุนห่าวถูกล้อมรอบไปด้วยคนจำนวนหนึ่งตลอดเวลา คนเหล่านี้มีทั้งเห็นอกเห็นใจ ทั้งสงสาร ทั้งเกลียดชัง ทั้งดูถูก ไม่ว่าสายตาแบบไหนล้วนมีหมด
“จุนห่าว เ้าถูกเขี่ยออกจากบ้านหรือ เ้าช่างน่าสงสารเสียจริง” เสี่ยวไป๋พูดพร้อมหัวเราะคิกคัก
จุนห่าว: ....... เขาถูกไล่ออกจากตระกูล มีอะไรให้สงสาร เสี่ยวไป๋ก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเขาไม่ใช่ร่างเดิม แต่เดิมที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของเขา เขาหวังจะถูกลบชื่อออกจากตระกูลจุนมานานแล้ว ั้แ่นี้ไปเขาก็คือจุนห่าว ผู้เป็อิสระที่รอดพ้นจากพันธนาการของตระกูล
“จุนห่าว เหตุใดเมื่อกี้เ้าถึงต้องสาบาน คำสาบานที่นี่เป็กฏที่ถูกควบคุมโดยฟ้าดิน หากเ้าละเมิดคำสาบาน เ้าจะหยุดอยู่ที่ลมปราณขั้นที่หนึ่งตลอดชีวิต ไม่เหมือนที่บ้านเกิดของเ้านะ ที่จะสาบานอะไรได้ตามใจ เพราะอย่างไรก็ไม่มีทางเป็จริงน่ะ” เสี่ยวไป๋เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ในเมื่อจุนห่าวถูกขับไล่ออกไปแล้ว ทำไมยังสาบานในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์นั้นอีก สร้างข้อจำกัดให้ตัวเองเสียเปล่า
จุนห่าวยิ้มและพูดว่า “นั่นเป็เพราะข้ากลัวว่าหลังจากที่ข้าก้าวหน้าแล้ว พวกเขาจะมาตามข้าให้กลับตระกูลน่ะสิ คนที่ตัดสินใจอะไรไปแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ข้าจะไม่กลับมาอีก และพวกเขาได้ทำลายหนทางที่จะทำให้ข้ากลับมาแล้ว” จุนห่าวคิดไปไกล ตอนนี้เขาพร้อมที่จะปลูกหญ้าไหมเงินเปลวไฟโลหิตแล้ว และเขาก็มั่นใจว่าเขาจะปลูกได้สำเร็จ ถึงตอนนั้นถ้าได้ประโยชน์ แม้แต่ตระกูลจุนก็คงจะจ้องตาเป็มันและอยากได้ซุปสักถ้วยจากเขาแน่ เขาสาบานเพื่อตัดหนทางของตระกูล หากตระกูลจุนบังคับให้เขากลับไป พฤติกรรมที่ตัดหนทางบำเพ็ญเพียรของคนในตระกูลก็คือการล้างแค้นอันยิ่งใหญ่ ต่อให้ตระกูลจุนจะหันมาสนใจเขาก็ตาม
เสี่ยวไป๋: เ้าคิดมากไปแล้ว คุณสมบัติห้ารากิญญาเช่นสวะอย่างเ้า ในแดนเซียนนั้นยากที่จะบำเพ็ญเพียรได้สำเร็จนัก และยิ่งอยู่ในแผ่นดินแห่งนี้ ข้าได้ยินมาว่าคุณสมบัติของเ้าคงอยู่ได้แค่ลมปราณขั้นที่หนึ่งระดับปลาย เว้นแต่เ้าจะมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นคำสาบานของเ้าคงไร้ประโยชน์ ในหมู่ผู้คนบนโลกนี้ พลังปราณสูงสุดของเ้าคงจะหยุดอยู่ที่ระดับหนึ่ง ต่อให้สาบานก็ไม่เป็ไร ไม่ว่าอย่างไรหนทางในการฝึกตนของเ้าถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว
จุนห่าว: ยังจะมาพูดเช่นนี้อีก ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ถ้าเป็อย่างที่เสี่ยวไป๋พูดนั้น จากนี้เขาก็ยังต้องเชื่อมโยงกับตระกูลจุนอีก ในสายตาของคนพวกนั้น เห็นแต่ผลประโยชน์ หาได้สนใจความรู้สึกของคนในครอบครัวไม่
เสี่ยวไป๋: เ้าไม่รักในการเรียนรู้ เ้าอยู่ที่นี่มานานกว่าสองเดือนแล้ว แม้แต่เื่พื้นฐานของที่นี่ก็ยังไม่รู้ มัวแต่สนใจแต่เื่รัก ๆ ใคร่ ๆ เอาแต่ดูแลหานรุ่ย ข้าขอแนะนำเ้านะ แม้เ้าจะมีความรัก แต่เ้าก็ยังต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ความรู้คือพลังที่ยิ่งใหญ่ ความรู้สามารถแปรเปลี่ยนโชคชะตาของเ้าได้ ไม่ว่าเ้าจะอุดอู้อยู่แห่งใด เ้าไม่อาจปราศจากความรู้ เ้าจักต้องร่ำเรียนให้เก่ง และอย่าเป็คนไม่รู้หนังสือ
จุนห่าว: ....... เสี่ยวไป๋เสียงดังและเริ่มเทศนาเขาอีกครั้ง หากเป็สัตว์อสูร ย่อมต้องเป็สัตว์อสูรที่มีประโยชน์ ตราบใดที่อ่านตำราที่สืบทอดและให้ปรากฏในสมองของเ้าให้ได้เอง เ้าก็แค่ซึมซับมา
“แต่ว่าข้าใกล้จะบุกทะลวงขั้นได้แล้ว หากข้าไม่กดพลังปราณไว้ บัดนี้คงได้เข้าสู่ขั้นที่สองแล้ว เห็นไหมล่ะว่าที่เ้าร่ำเรียนมาก็ไม่ได้ดีอะไร” จุนห่าวกล่าว ไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์ และสามัญสำนึกก็อาจถูกทำลายได้ เขากำลังจะทำลายสามัญสำนึกอยู่ไม่ใช่หรือ?
“เ้าใกล้จะทะลวงขั้นแล้ว รากิญญาที่ซับซ้อนเช่นเ้าจะบุกทะลวงอย่างง่ายดายได้อย่างไร! มันไม่สมเหตุสมผลตามหลักความเป็จริง” เสี่ยวไป๋กล่าวบ่นพึมพำกับตัวเอง เหตุผลที่ห้ารากิญญานั้น ยากที่จะทำลาย ก็เพราะว่าพลังิญญาที่ซับซ้อนจำเป็ต้องใช้พลังิญญาห้าเท่าของรากิญญาเดี่ยว
“ไม่ตามหลักความเป็จริงอย่างไร นี่คือโลกที่ไม่มีอะไรตามหลักความเป็จริงอยู่แล้ว ว่าแต่ข้าคงไม่บุกทะลวงขั้นได้เร็วเยี่ยงนี้ หากข้าไม่ถูกตาแก่จุนอี้เจินนั่น ปลดปล่อยพลังใส่เมื่อครู่นั้น ก็คงใกล้จะบุกทะลวงแล้ว” จุนห่าวกล่าว ตอนนี้เขาไม่เรียกท่านพ่อแล้ว เรียกเพียงชื่อและนามสกุลไปเสียเลย
“ไม่ใช่ รากิญญาของเ้ามีปัญหา ถ้าให้ข้าเดา.......” เสี่ยวไป๋พูดจบ พลางเริ่มใช้สมองของเขาคิดทบทวน
หลังได้ฟังเสี่ยวไป๋แล้ว จุนห่าวพลันรู้สึกว่ารากิญญาของเขามีปัญหา ตอนที่เขารับ่ต่อจากร่างนี้ เขาเคยลองบำเพ็ญเพียร ครานั้นเขาดูดซับพลังปราณได้ช้ามาก อีกทั้งยังซับซ้อน ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน รากวิญญาญห้าชนิดที่พันกันราวกับลูกบอลที่ยุ่งเหยิง แต่ั้แ่เขาฝึกเคล็ดวิชาห้ารากิญญาฮุ่นตุ้นแล้ว ไม่เพียงแต่ดูดซับพลังปราณได้อย่างรวดเร็ว แต่พลังปราณที่ดูดซับยังบริสุทธิ์อีกด้วย ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน รากิญญาทั้งห้าชนิดแยกออกจากกันและปักอยู่ในจุดตันเถียนแต่ละมุม ไม่ยุ่งเกี่ยวพันกัน
เสี่ยวไป๋พลิกตำราที่ตกทอดมา จนในที่สุดก็ค้นเจอในสิ่งที่เขา้า เมื่ออ่านตำราจบ เสี่ยวไป๋จึงกล่าวกับจุนห่าวอย่างตื่นเต้นว่า “จุนห่าว ข้าเจอแล้ว นี่เป็โอกาสอันยิ่งใหญ่ของเ้า เ้าอาจจะไม่ใช่สวะ แต่เป็อัจฉริยะ เป็อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ”
จุนห่าวคิดในใจ เขาก็ไม่เคยคิดว่าเขาเป็สวะ เขาคิดว่าเขาเป็อัจฉริยะมาตลอด ต่อให้คนอื่นจะบอกว่าเขาเป็สวะและเย้ยหยันเขาเพียงใด อัจฉริยะกับเศษสวะไม่ได้เกิดจากการที่คนอื่นพูดแล้วจะเป็เช่นนั้น ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเอง
เมื่อฟังเสียงที่ตื่นเต้นของเสี่ยวไป๋ ในใจจุนห่าวเองก็รู้สึกตุบตับและกล่าวขึ้นว่า “เ้าพูดต่อสิ โอกาสอันยิ่งใหญ่อะไร ที่ทำให้เ้าตื่นเต้นถึงเพียงนี้”
เสี่ยวไป๋กล่าวต่อว่า “เ้าไม่ใช่รากิญญาซับซ้อน แต่เ้าอาจจะเป็รากิญญาฮุ่นตุ้น ในตำราที่ตกทอดมาของข้ากล่าวว่า สมัยา มีพลังิญญามากมายบนโลก นักพรตจำนวนไม่น้อยที่มีห้ารากิญญา จึงถูกเรียกว่า ‘รากิญญาฮุ่นตุ้น’ นั่นคือบุคคลมีรากิญญาห้าชนิด ได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ประกอบกับห้ารากิญญานั้น มีขนาดและความหนาเท่ากัน นักพรตที่มีห้ารากิญญาฮุ่นตุ้น จะบำเพ็ญเพียรได้รวดเร็วเป็พิเศษ และยังมีพลังการด้านการต่อสู้ที่น่าอัศจรรย์ ในเวลานั้นนักพรตที่มีห้ารากิญญาฮุ่นตุ้นต่างเป็ผู้ที่น่าทึ่ง และวิชาฝึกของพวกเขา คือเคล็ดวิชาห้ารากิญญาฮุ่นตุ้น เคล็ดวิชาห้ารากิญญาฮุ่นตุ้นกับห้ารากิญญาฮุ่นตุ้น คือ สิ่งอยู่คู่กันอย่างสมบูรณ์และขาดจากกันไม่ได้ ในเวลานั้น ที่ผู้คนบนโลกเซียนไม่อาจฝึกฝนได้ เพราะพวกเขาไม่ใช่ห้ารากิญญาฮุ่นตุ้น ถึงแม้จุนห่าวในร่างเดิมจะมีห้ารากิญญาฮุ่นตุ้น แต่เขาไม่มีเคล็ดวิชาห้ารากิญญาฮุ่นตุ้น เพราะฉะนั้นผู้ที่มีพร์ในการบำเพ็ญเพียรจึงกลายเป็เพียงสวะ ณ บัดนี้ความได้เปรียบอยู่ที่เ้าแล้ว
หลังได้ฟังเสี่ยวไป๋แล้ว จุนห่าวก็ตื่นเต้นเช่นกัน ตำนานของห้ารากิญญาฮุ่นตุ้น แค่ได้ฟังชื่อก็รู้ว่าสูงส่งเพียงใด
เสี่ยวไป๋ยังคงพูดต่ออย่างตื่นเต้นว่า “อา... ข้านึกออกแล้ว เ้ายังมีพลังิญญาสูงส่ง อา... ยอดเยี่ยมไปเลย น้องชายข้า ตอนนี้เ้ามีพร์ล้ำเลิศ แถมยังมีพลังิญญาที่แข็งแกร่ง หากเ้าไปทำอะไรที่สวนทางกับ์ ก็จะต้องระวังการอิจฉาริษยา ปองร้าย ถ้าเกิดเื่ไม่ดีอันใดขึ้น เ้าอาจถูกรัดคอจนตายได้ ยามนี้เ้ามุ่งเน้นไปที่การฝึกร่างกายเถอะ เพื่อป้องกันการตายก่อนวัยอันควรของเ้า”
จุนห่าว: ....... เสี่ยวไป๋คงจะสับสนไปแล้ว เขาเพิ่งจะอายุ 16 ปี ซึงเป็่วัยที่กำลังรุ่งโรจน์ ไม่มีทางตายก่อนวัยอันควรเป็แน่ แต่ทว่าการฝึกร่างกายก็ยังคงต้องทำต่อไป