จุนอี้เจินสังเกตจุนห่าวอย่างพินิจพิจารณา ในความคิดของเขา จุนห่าวจะพูดน้อย ไม่ค่อยทำตัวเด่น ขี้ขลาด ดูมีปมด้อย และมักจะก้มหน้าก้มตาอยู่เสมอ แต่ในวันนี้เขาพบว่าจุนห่าวเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนเขาแทบจะจำลูกชายคนนี้ไม่ได้ ความสูงเกือบ 190 เิเ สูงกว่าเขาประมาณครึ่งศีรษะ ร่างกายผึ่งผ่าย ดวงตาคม มีความมั่นใจ ดูสุขุม และสง่างาม ไม่ได้ดูด้อยไปกว่าบุตรชายคนโตที่เขาเลี้ยงมาด้วยตัวเอง และใบหน้าของเขาเหมือนแม่ซวงเอ๋อร์ที่ตายไปแล้วนัก ใบหน้าที่งดงามของแม่ซวงเอ๋อร์อยู่บนหน้าของจุนห่าวในตอนนี้ ทำให้จุนห่าวดูรูปงาม และไม่มีเงาของเขาบนตัวของจุนห่าวเลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึก แต่วันนี้พอเห็นเ้าเด็กนี่ ก็รู้สึกว่ารูปงามเกินไปเสียแล้ว นึกเสียดายที่ต้องแต่งงานกับภรรยาซวงเอ๋อร์ที่ขี้เหร่เช่นนั้น
จุนอี้เจินคิดในใจ บุตรชายที่ไม่ได้ข่าวคราวมานาน ยามนี้เติบโตขึ้นแล้ว น่าเสียดายที่พลังปราณดันแย่เหลือเกิน บำเพ็ญเพียรมา 10 ปี เพิ่งจะฝึกถึงลมปราณขั้นที่หนึ่งระดับปลาย อีกทั้งพื้นฐานของพลังปราณอยู่สุดทางแล้ว ไม่มีที่ว่างให้เพิ่มพูนอะไร บนแผ่นดินชางหลานที่พลังลมปราณบางเบาเช่นนี้ ห้ารากิญญานั้นก็ยากที่จะบุกทะลวงเข้าสู่ลมปราณขั้นที่สอง นอกเสียจากจะมีโอกาสและโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของจุนอี้เฉินจึงสั่นคลอนและกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง บุตรชายที่ไม่มีพร์ในการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ ไม่จำเป็จะต้องปลูกฝังอะไร
ในใจของจุนอี้เจิน ความรักของพ่อและลูกนั้น ไม่สำคัญเท่ากับบุตรที่มีความสามารถ และพร้อมนำเขาสู่ความรุ่งโรจน์ ความมั่งคั่ง และอำนาจ บุตรชายที่เป็ดั่งสวะ มีแต่จะนำความอับอายมาให้เขา อย่างจุนห่าวที่ไม่เพียงแต่สร้างความอับอายให้เขาเท่านั้น ยังทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสียด้วย
เหตุผลที่จุนอี้เจินลำเอียงรักจุนอี้ จุนหรู และจุนเสวี่ย สามพี่น้องมากกว่า ก็เพราะว่าพร์ในการบำเพ็ญเพียรของจุนอี้ดียิ่ง คุณสมบัติของรากิญญาคู่ ธาตุไม้และน้ำ ในแผ่นดินชางหลานยากที่จะให้กำเนิดบุตรที่มีรากิญญารากเดียว รากิญญาคู่จึงถือว่าเป็อัจฉริยะแล้ว จุนอี้ยามนี้มีพลังปราณอยู่ที่ลมปราณระดับสี่ กำลังศึกษาอยู่ที่ราชวิทยาลัยสุ่ยเย่ว์... ซึ่งเป็สถาบันที่มีชื่อเสียงของอาณาจักรสุ่ยเย่ว์ จุนอี้ไม่เพียงมีคุณสมบัติของรากิญญาที่ดี แต่ยังได้แต่งงานกับลูกสาวของเ้าเมืองหลิงจวง ซึ่งเป็เมืองรอง ทุกปีจุนอี้จะนำเอาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรจำนวนมากมามอบให้จุนอี้เจิน ที่จุนอี้เจินเข้าสู่ลมปราณขั้นที่หกได้เร็วปานฉะนี้ ก็เพราะทรัพยากรที่จุนอี้นำมาให้ สิ่งที่จุนอี้ให้กับเขาไม่อาจทดแทนได้ บุตรชายที่นำมาซึ่งอำนาจและผลประโยชน์เช่นนี้ เขาจะไม่รักได้อย่างไร จุนอี้เจินเป็คนยึดถือในความจริงและเืเย็น ส่วนเหตุผลที่จุนอี้เจินเอ็นดูจุนหรู ก็เพราะจุนหรูคือน้องชายแม่เดียวกันของจุนอี้ อีกทั้งจุนอี้ก็เอ็นดูน้องชายคนนี้มาก
“ได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้เ้ามีเื่ขัดแย้งกับจุนหรู และเ้าหยิ่งยโสยิ่งนัก ซ้ำยังใส่ร้ายป้ายสีแม่ผู้บริสุทธิ์ของเ้าด้วย? (ในแผ่นดินชางหลาน บุตรทุกคนจะเรียกภรรยาเอกของพ่อว่าแม่)” จุนอี้เจินต่อว่าจุนห่าว ท่าทีของเขาเหมือนกับจุนหรูไม่มีผิด ไม่ถามแม้กระทั่งสาเหตุ
“ท่านพ่อ ท่านไปฟังใครมา?” จุนห่าวกล่าวพร้อมจ้องมองจุนอี้เจิน บัดนี้จุนห่าวไม่อยากแสร้งทำตัวเป็ลูกกตัญญูของจุนอี้เจินแล้ว แต่เดิมก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน หากเขาเป็คนดี เขาจะให้เกียรติเขาแทนร่างเดิม แต่ดูจากทีท่าของเขาในตอนนี้ จุนห่าวตัดสินใจว่าจากนี้ไปคงเป็แค่คนแปลกหน้า
จุนอี้เจินคิดไม่ถึงว่าจะถูกจุนห่าวถามย้อนกลับมา เขารู้สึกว่าลูกคนนี้กล้าหาญชาญชัยเหลือเกิน ถึงกับกล้าที่จะไม่ตอบคำถามเขา เหมือนที่จุนหรูพูดไม่ผิดเพี้ยน จุนห่าวไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยใบหน้าผิดหวังว่า “ไม่ว่าใครเป็คนพูด ก็บอกข้ามาว่าเ้าพูดหรือไม่!”
“ข้าไม่ได้พูด ข้ารู้ว่าจุนหรูเป็คนพูด ในเมื่อท่านพ่อเชื่อจุนหรู แล้วจะมาถามข้าทำไม ลงโทษข้าไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ข้ารอรับโทษอยู่ เหตุใดถึงยังแสร้งมาถามข้า? ท่านไม่จริงใจเสียเลย”
“ไอ้ลูกนอกสมรส ดูท่าทางเ้าสิ จุนหรูพูดแล้วจะทำไม หากเ้าไม่ได้ทำ เขาก็ใส่ร้ายเ้าไม่ได้ ลูกที่ข้าเลี้ยงดูมาข้ารู้ เขาไม่ได้ป่าเถื่อนอย่างเ้าที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนสักนิด” จุนอี้เจินกล่าวพร้อมปลดปล่อยลมปราณขั้นที่หกออกมา จุนอี้เจินโมโหเกรี้ยวกราด คิดไม่ถึงว่าจุนห่าวจะกล้าหือใส่เขา
จุนห่าวเอ่ยขึ้นอย่างต่อต้านกับจุนอี้เจินว่า “ลูกที่ท่านพ่อไม่เคยสั่งสอน แล้วท่านเคยสั่งสอนข้าหรือ? ดูเหมือนว่าตระกูลท่านก็สั่งสอนได้ไม่ดีเท่าไหร่? มิเช่นนั้นคงไม่สอนให้จุนหรูดูถูกพี่ชายในที่สาธารณะเช่นนี้หรอก” ครึ่งประโยคแรกคือพูดแทนร่างเดิม ส่วนครึ่งประโยคหลังคือหมายถึงตัวเอง จุนห่าวต้านแรงปลดปล่อยของจุนอี้เฉิน เขาไม่้าก้มหัวให้จุนอี้เจิน ไม่ว่าเหงื่อเย็น ๆ จะไหลท่วมร่างกาย แต่เขาก็ยังยืนตัวตรง แรงปลดปล่อยอันทรงพลังก็ไม่อาจทำให้กระดูกสันหลังโค้งงอลงได้
จุนหรูยืนดูจุนห่าวกำกำปั้นของเขาแน่น ใบหน้าซีดเผือด หน้าผากมีเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลดิ่ง เมื่อรู้ว่าท่านพ่อกำลังสั่งสอนจุนห่าว จุนหรูก็สะใจและคิดในใจ เพราะเ้ามายั่วยุข้า นี่ก็คือจุดจบที่เ้ายั่วยุข้า ต่อหน้าท่านพ่อยังกล้าหยิ่งยโสโอหังอีก ช่างไร้ความอดทนเสียจริง
เมื่อเห็นสิ่งที่จุนห่าวแสดงออกมา จุนอี้เจินตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าจุนห่าวจะเพียรพยายามอย่างแกร่งกร้าวนี้ได้ถึงเพียงนี้ เขาได้ปลดปล่อยพลังปราณขั้นที่หกออกมาแล้ว แต่จุนห่าวก็ยังคงยืนหยัดอยู่ตรงนั้น นี่ไม่ใช่เื่ที่ผู้ฝึกลมปราณขั้นที่หนึ่งทั่วไปจะทำได้ หากเขามีพร์ในการบำเพ็ญเพียรที่ดี ด้วยความเพียรที่แข็งแกร่งนี้ ในอนาคตเขาจะต้องบินขึ้นสู่์ได้แน่ แต่น่าเสียดาย... พอได้เห็นจุนห่าวที่เป็แบบนี้ จุนอี้เจินก็ไม่อยากคิดหยุมหยิมอีก คนอย่างนี้จะไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยง่าย ยอมยืนจนตายมากกว่ายอมคุกเข่าร้องขอชีวิต ยิ่งลูกหยิ่งในศักดิ์ศรีเท่าไหร่ เขาก็ไม่อยากอึดอัดใจอีกแล้ว
“ข้าไม่มีลูกชายนอกสมรสอย่างเ้า ทั้งล่วงเกินพ่อ ใส่ร้ายแม่ มิหนำซ้ำยังรังแกน้องชาย นับั้แ่นี้ไปเ้าไม่ใช่คนของตระกูลจุน ชื่อของเ้าจะถูกลบออกจากลำดับวงศ์ตระกูล แล้วเ้าก็พาภรรยาซวงเอ๋อร์ของเ้าออกจากตระกูลไปด้วย เมื่อออกจากประตูบ้านตระกูลจุน เ้าก็ไม่ใช่คนของตระกูลจุนอีกแล้ว จากนี้ไปเ้าไม่อาจใช้ชื่อตระกูลจุนประกาศให้ใครรู้ จะเป็ตายร้ายดีอย่างไร ก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง ข้าจะแจ้งให้ทุกคนในตระกูลทราบ เ้าไปซะ” จุนอี้เจินรวบรวมพลังกลับคืน กล่าวพลางโบกมือ สำหรับจุนห่าวลูกคนนี้ เขาไม่มีอะไรจะพูดแล้ว แม้ว่าตอนนี้เขาจะโกรธในท่าทีของจุนห่าว แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะขับไล่เขาออกจากตระกูลไปจริง ๆ แต่เพราะนี่เป็คำร้องขอของจุนหรู ผู้เป็น้องชายที่จุนอี้รักที่สุด เขาไม่อยากให้เกิดช่องว่างระหว่างเขากับจุนอี้เพียงเพราะจุนห่าว
หลังจากที่จุนอี้เจินรวบรวมพลังกลับคืน จุนห่าวถอนหายใจยกใหญ่ด้วยความโล่งอก เขารู้สึกได้ว่าร่างกายผ่อนคลายขึ้น หลังผ่านการปลดปล่อยพลังของจุนอี้เจินครั้งนี้ จุนห่าวรู้สึกว่าป้อมปราการที่คั่นกลางระหว่างลมปราณขั้นที่หนึ่งไปยังขั้นที่สองได้ถูกทำลายแล้ว เขาจะทะลวงเข้าสู่ลมปราณขั้นที่สองเมื่อใดก็ได้
“ข้า จุนห่าว ขอสาบาน ณ ที่แห่งนี้ในวันนี้ว่า นับั้แ่นี้ไปข้าไม่ใช่คนของตระกูลจุนและข้าไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับตระกูลจุนอีกต่อไป หากข้าละเมิดคำสาบาน ขอให้พลังปราณของข้าไม่มีวันก้าวหน้าตลอดชีวิต” เมื่อกล่าวตามกฏของฟ้าดินจบ จุนห่าวก็ออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก