ทั้งสองสบตากัน ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงชะงักเล็กน้อย นางละสายตาออก ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงถือไม้เท้าก้าวเดินกลับเข้าจวน เดินพลางเอ่ยถามไปพลาง "ได้ยินทั้งหมดแล้วหรือ?"
“ได้ยิน ย่อมได้ยินอย่างแน่นอน” หนานกงฉี่เลิกคิ้ว รอจนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเดินเข้าประตูใหญ่ เขาจึงรีบก้าวเดินตามหลังฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงทันที “คาดไม่ถึงเลยว่า ท่านอ๋องหลีผู้ไม่แยแสสิ่งใด เรียบง่ายเฉกเช่นเทพเซียนของพวกเราจะมีความทะเยอทะยานแอบซ่อนอยู่อย่างคาดไม่ถึง มองไม่ออกเลยจริงๆ”
หากเมื่อครู่เขาไม่ได้ยินกับหูตัวเอง ทว่าได้ยินมาจากผู้อื่น เขาคงไม่เชื่อเื่นี้อย่างแน่นอน
หลีอ๋องจ้าวเยี่ยน ไม่ว่าแต่ไหนแต่ไรมามิเคยสนใจการเมืองเลยสักครา มิแยแสเื่ทางโลก ทว่าความจริงแล้วนั้น...
หึ แม่ลูกคู่นี้ผู้มีท่าทีละทางโลก ไม่สนใจแก่งแย่ง่ชิงสิ่งใด แท้จริงแล้วกลับกำลังตบตาหลอกผู้คนทั้งใต้หล้าเป่ยฉี!
“เขาเป็คนทะเยอทะยานอย่างแน่นอน หากไม่มีความทะเยอทะยาน ข้าจะมอบกำไลัหงส์ให้เขาไปทำไม?” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเอ่ยพลางเดินพลาง เสียงไม้เท้าดังกระทบพื้น ครั้งแล้วครั้งเล่าในลานอันกว้างขวาง ช่างดูแปลกประหลาด
กำไลัหงส์?
หนานกงฉี่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้ยิน รอยยิ้มบนมุมปากยิ่งฉายชัดถึงความนัยที่แฝงไว้อย่างลึกซึ้ง “ท่านย่า ท่านจะยกอีหลานให้หลีอ๋อง ยามนี้ในใจของหลีอ๋อง้าขึ้นแทนตำแหน่งของฉู่ชิง เพียงแค่เขาได้กุมอำนาจ แผ่นดินเป่ยฉีแห่งนี้ ท้ายที่สุดจะตกอยู่ในมือผู้ใด ก็ยากจะคาดเดาได้จริงๆ ทว่าท่านย่า ท่าน้าให้ท่านพ่อไปทูลเสนอให้หลีอ๋องรับตำแหน่งแม่ทัพหลวงต่อจากฉู่ชิงจริงหรือ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงฝีเท้าหยุดชะงัก ั์ตาผ่านโลกมากมายของนางพลันเบิกกว้าง “ถึงแม้นการที่ท่านอ๋องหลีได้รับตำแหน่งแม่ทัพหลวงจะดีก็ตาม ทว่าผู้ที่ครองราชย์บัลลังก์ในยามนี้คือฮ่องเต้หยวนเต๋อ ยามนี้ฝ่าามีพระโอรสสามคน แม้นจะไม่มีท่านอ๋องมู่ ทว่าก็ยังมีพระโอรสองค์โต พระโอรสองค์รอง ซึ่งเป็สายเืที่เหมาะสมน่าไว้วางใจ แม้นท่านอ๋องหลีจะมีความทะเยอทะยาน ทว่าสำหรับฮ่องเต้หยวนเต๋อ ท้ายที่สุดแล้วก็มิใช่ผู้ที่พระองค์ให้กำเนิด เื่ในภายภาคหน้า ผู้ใดจะกล่าวได้แม่นยำบ้างเล่า?”
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเอ่ยชัดตรงประเด็น หนานกงฉี่ที่ฟังอยู่ด้านข้าง เข้าใจความหมายของนางในทันที
สุดท้ายอำนาจก็อยู่ในมือของตนเอง และผลประโยชน์สำหรับตระกูลหนานกงนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด
และหลีอ๋องจ้าวเยี่ยน...
“ท่านย่า หากเป็เช่นนั้น อีหลานเล่า...” ดวงตาเฉียบคมของหนานกงฉี่หรี่ลงเล็กน้อย พลางเอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง
“ฉางไทเฮา้าช่วยอีหลานก็ได้จังหวะพอดี หากช่วยอีหลานไม่ได้ คำมั่นสัญญาเื่กระดุมคล้องใจ คงจะต้องเป็โมฆะเท่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงทอดถอนหายใจ ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูไม่เสียใจ ครั้นคิดอะไรได้ ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงจึงหันไปมองหนานกงฉี่ “เ้ามั่นใจเื่ที่เ้าจัดการหรือไม่? ยามนี้อีหลานถูกขังอยู่ในสวนร้อยสัตว์ เป็อาณาบริเวณของฮองเฮาอวี่เหวิน มิใช่ที่อื่นที่ใด เกรงว่าคงจะลงมือมิง่ายดายเพียงนั้น”
“หลานทราบดี ท่านย่าโปรดวางใจ หลานจะจัดการเื่นี้ให้เรียบร้อย จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดแต่อย่างใด เพียงแต่ช่างน่าเสียดายยิ่ง อีหลานกำลังอยู่ในวัยแรกแย้ม หากนางเสียชีวิตไป ท่านป้าก็คง...”
หนานกงฉี่กล่าว พลางจ้องมองฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ใบหน้าแก่ชราทำเพียงขมวดคิ้ว ทว่าเพียงพริบตาพลันคลายออก ครู่หนึ่ง น้ำเสียงสงบนิ่งไร้อารมณ์จึงกล่าวว่า “เพื่อตระกูลหนานกง ในฐานะลูกหลานตระกูลหนานกง การเสียสละเล็กน้อยเป็สิ่งจำเป็ คิดดูแล้ว เยวี่ยเอ๋อร์เองก็คงจะเข้าใจ อีหลานตกอยู่ในเงื้อมมือของฮองเฮาอวี่เหวิน ทั้งยังเกือบทำร้ายฮองเฮาอวี่เหวิน จำต้องหักล้างด้วยชีวิต นั่นเป็เื่ที่เข้าใจได้ โชคดีที่ตระกูลหนานกง นอกจากมีเหนียนอีหลานแล้ว ยังมีเย่เอ๋อร์อีกคน”
หากตามแผนของพวกเขา ต้องเสียสละอีหลานเพื่อแลกกับแต้มต่อที่จะได้แย่งชิงตำแหน่งแม่ทัพหลวง ภาระหน้าที่อันหนักอึ้งที่เหนียนอีหลานแบกรับเพื่อตระกูลหนานกงก่อนหน้านี้ จำต้องมีคนอื่นเข้ามาแทน
แม้ว่าหนานกงเย่จะดื้อรั้นและใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่บ้าง ทว่าหากอบรมสั่งสอนสุดกำลัง ก็มิใช่ว่าจะไม่เหมาะสมโดยสิ้นเชิง
“่นี้เย่เอ๋อร์กำลังทำสิ่งใดอยู่?” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเอ่ยถาม “นานมากแล้วที่ไม่เห็นเงานางเลย”
สำหรับหนานกงเย่ นางเป็คนที่ตระกูลหนานกงปล่อยให้ทำตัวไม่ดีโดยไม่ขัดขวางห้ามปรามมากที่สุด แม้จะมาคารวะยามเช้าทุกวัน ทว่าก็ปล่อยให้นางทำตามอารมณ์ของตัวเองตลอด
“เด็กสาวผู้นั้นนิสัยดุร้ายจนเคยชิน ่นี้ได้ยินว่า นางกำลังติดงานเลี้ยงชุมนุมแต่งกวีอะไรสักอย่าง ดูสงบนิ่งลงมาบ้าง เพียงแต่มักจะวิ่งออกไปข้างนอก ไปที่ใดก็ไม่บอก” หนานกงฉี่ขมวดคิ้ว เมื่อเอ่ยถึงหนานกงเย่ ก็รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง แม้ทั่วทั้งเมืองจะมีพระราชโองการสั่งห้ามไม่ให้ออกข้างนอก ตระกูลหนานกงเองก็ออกคำสั่งห้าม ไม่อนุญาตให้ผู้ใดออกนอกจวน ทว่าหนานกงเย่กลับยังคงแอบวิ่งออกไปข้างนอก
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ออกไปข้างนอก? มันเคยเป็นิสัยของนางมาก่อน ทว่าหากแผนของเราสำเร็จ ความสำคัญของเย่เอ๋อร์ต่อตระกูลหนานกงจะมิเหมือนเดิมอีกต่อไป วันนี้รอนางกลับมา ให้นางมาหาข้าที่ห้อง”
“ขอรับ หลานรับคำสั่ง” หนานกงฉี่กล่าวอย่างสุภาพ ประคองฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงพานางกลับไปที่ห้อง ระหว่างทาง ย่าและหลานชาย ทั้งสองต่างนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ทว่าในใจกลับครุ่นคิดถึงสถานการณ์ในยามนี้
พวกเขาล้วนกำลังรอข่าวการเสียชีวิตของฉู่ชิง รอจนฉู่ชิงเสียชีวิต ตำแหน่งแม่ทัพหลวงนั้น ตระกูลหนานกงของเขาจะต้อง่ชิงมาให้ได้!
ในสวนร้อยสัตว์ ตำหนักชีอู๋
เหนียนอีหลานรูปร่างผอมแห้งซูบซีด กลิ่นเหม็นแสบจมูกในกระโจม ดูเหมือนนางจะเคยชินกับมันแล้ว ทว่าความเ็ปบนร่างกายนางกลับยังคงยากจะทานทน ในสภาพอากาศอันร้อนจัด แม้าแบนหลังจะมีหมอหลวงมาดูแลทุกวัน ทว่ายังคงมีบางส่วนที่เริ่มเน่าเปื่อย
เหนียนอีหลานมองไม่เห็น ทว่ารู้สึกได้ จะทำอย่างไร หากแผลที่หลังทิ้งรอยแผลเป็?
ครั้นคิดเช่นนี้... ความกังวลและหวาดกลัวในใจหลอกหลอนติดตามนางอยู่ตลอดเวลา จนแทบจะไม่กล้าคิดถึงผลที่ตามมา
ั้แ่วันนั้นที่เหนียนยวี่มาหา ล่วงเลยผ่านไปหลายวัน กลับยังไร้ข่าวคราว
เหนียนยวี่ นางบอกต่อถ้อยคำของข้าจริงหรือ?
เหนียนอีหลานไม่แน่ใจ และไร้หนทางพิสูจน์ ในเวลานี้ นางเองก็ทำได้เพียงเฝ้ารอเท่านั้น ท่ามกลางการรอคอยอันยาวนาน นางค่อยๆ สูญเสียความหวังไปอย่างช้าๆ พร้อมกับแบกรับความทุกข์ทรมาน
นอกเมืองชุ่นเทียน สถานที่ที่ห่างจากค่ายเสินเช่อไปห้าลี้
เหล่าราชองครักษ์ที่แม่ทัพเอกฉู่เพ่ยนำทัพมา รอคำสั่งจากแม่ทัพเอกอยู่ตลอดเวลาอย่างใจจดใจจ่อ เตรียมพร้อมเผาค่าย
ทว่าเวลาผ่านไปหลายชั่วยาม แม่ทัพเอกกลับยังไม่ออกคำสั่ง
กองทหารเพิ่งออกจากเมืองไม่นานนัก ก็ได้บังเอิญพบกับฮูหยินแม่ทัพเอก รวมถึงคุณหนูใหญ่ของจวนแม่ทัพเอก ในยามนี้ พวกนางสองคนถูกจัดแจงให้พักในกระโจมค่ายที่ประจำการชั่วคราว ั้แ่เจอจนยามนี้ ฮูหยินแม่ทัพเอกไม่กล่าวอะไรสักประโยคกับฉู่เพ่ยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่า ฉู่เพ่ยจะสามารถนำทหารมาจัดการค่ายเสินเช่อได้
เขาคิดจะสั่งเผาค่ายเสินเช่อจริงหรือ?
ในกระโจมค่าย ฉู่เพ่ย มู่อ๋องจ้าวอี้ ฮูหยินแม่ทัพเอก รวมถึงฉู่เซียงจวิน ต่างคนต่างนิ่งเงียบ พวกเขาล้วนไม่อยากเห็นค่ายเสินเช่อถูกไฟแผดเผา ทว่า...
“ท่านแม่ทัพเอก...” เสียงหนึ่งดังเข้ามาจากนอกกระโจมค่าย
ฉู่เพ่ยขานรับ คนผู้นั้นเข้ามา เขาคือรองเ้ากรมพระคลังที่ติดตามมาพร้อมกับกลุ่มราชองครักษ์ในครานี้
ฉู่เพ่ยขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนที่มา คิ้วแต่เดิมที่ดูเคร่งเครียด พลันขมวดแน่นยิ่งขึ้น ร่วมประชุมในท้องพระโรง เขาย่อมรู้ว่ารองเ้ากรมพระคลังคือผู้ใด
“ใต้เท้าหลี่ มีเื่อันใดหรือ?” ฉู่เพ่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม
รองเ้ากรมพระคลังคารวะให้ฉู่เพ่ยคราหนึ่ง “ท่านแม่ทัพเอก ยามนี้ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว ฝ่าาทรงมีพระบัญชาให้เผาแหล่งต้นตอของโรคระบาด ผู้น้อยกังวลว่า หากไม่รีบจัดการให้ทันเวลา เมื่อโรคระบาดลุกลามแพร่กระจาย ท่านกับข้าจะประสบหายนะไปตามๆ กัน ขอให้ท่านแม่ทัพเอกเห็นแก่สถานการณ์โดยรวม ออกคำสั่งให้เผาค่ายโดยเร็วที่สุด”