หนิงมู่ฉือก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง แววตาคลอไปด้วยหยาดน้ำตา นางพยายามทำตัวให้เข้มแข็ง ฝืนไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ในขณะที่ตัวสั่นเทา ไม่เอ่ยปากกล่าวว่าจาใดออกมา
ท่านอ๋องเห็นท่าทางเช่นนี้ของหนิงมู่ฉือก็ถอนหายใจเบาๆ ออกมาอีกครา “นางหนูหนิง บางเื่เราก็ต้องปลงกับมัน ทำตามความ้าของหัวใจ” ท่านอ๋องชี้นิ้วไปที่หัวใจพร้อมกับเอ่ยว่า “ตรงนี้ต่างหากคือเ้านายของตัวเราที่แท้จริง”
หนิงมู่ฉือรีบเช็ดน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา ส่งยิ้มให้ท่านอ๋อง “ขอบคุณท่านอ๋องมากเ้าค่ะที่เป็ห่วง ฉือเอ๋อร์มิได้เป็อันใด ข้าเพียงอยากออกไปเที่ยวพักผ่อนจิตใจเท่านั้น”
ท่านอ๋องพยักหน้ารับรู้ “ก็ดี ออกไปผ่อนคลายจิตใจบ้างก็ดีเหมือนกัน ข้าอนุญาตให้เ้าลาหยุดได้หลายๆ วัน”
หนิงมู่ฉือพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะกลับห้องไปเก็บของ แล้วออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกให้สบายใจสี่ห้าวัน
เพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตูตำหนัก หลินมู่พลันเดินตามหลังมา นางหันไปมองด้วยความโมโห เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดถึงตามข้ามา”
“ข้าน้อยคือผู้คุ้มกันของคุณหนู” หลินมู่ประสานมือตอบด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม
นางมองหลินมู่แล้วเอ่ยว่า “คุณหนู? เ้าดูท่าทางของข้าตอนนี้ มีตรงไหนบ้างที่เหมือนคุณหนู? ข้ารู้ว่าเ้าอยากแก้แค้นให้สกุลหนิง แต่เ้าควรจะได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้”
“ข้าน้อยไม่เสียดายชีวิตของตัวเองขอรับ” น้ำเสียงแข็งกร้าวของหลินมู่เจือแววสั่นสะท้าน “ข้าน้อยไม่เคยลืมบุญคุณของท่านแม่ทัพที่มีต่อข้าน้อย”
นางหันหน้ากลับไป สีหน้าเรียบเฉย “กลับไปเถิด ไม่ต้องตามข้ามา ถือเสียว่าเห็นแก่ข้าก็แล้วกัน” นางเดินต่อไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง
ได้เห็นผู้คนเดินขวักไขว่ในตลาด และได้เห็นของหน้าตาแปลกประหลาดมากมาย หนิงมู่ฉือรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
องค์ชายเอ่อร์ตั้นก้าวเดินอย่างลับๆ ล่อๆ อยู่ในพระราชวัง เพื่อไปยังตำหนักที่องค์หญิงซีเยวี่ยพักอยู่
องค์หญิงซีเยวี่ยใเล็กน้อยเมื่อเห็นองค์ชายเอ่อร์ตั้น ใบหน้าขององค์ชายเอ่อร์ตั้นประดับด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ “องค์หญิงน้อยของพี่ ภารกิจที่พี่มอบหมายให้เ้า เ้าทำสำเร็จแล้วหรือยัง”
องค์หญิงซีเยวี่ยลุกขึ้นยืน หลุบตาลงต่ำเพื่อหลบสายตา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “น้องเข้าใจความร้อนพระทัยของเสด็จพี่ดี รับรองว่าน้องจะทำภารกิจให้สำเร็จให้ได้เพคะ”
องค์ชายเอ่อร์ตั้นแค่นเสียงฮึอย่างดูแคลน ก่อนจะหันหลังไป แล้วกล่าวข่มขู่ “อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะว่าใจเ้าคิดอันใดอยู่”
องค์หญิงซีเยวี่ยมีท่าทีร้อนใจขึ้นมาทันใด “เสด็จพี่ น้องรู้ดีเพคะว่าต้องทำเพื่อเกียรติยศของราชวงศ์ แต่ว่าฝ่าาไม่ทรงโปรดน้องนะเพคะ”
“เ้ายังทุ่มเทไม่พอมากกว่า จำไว้ นี่คือภารกิจของเ้า” องค์ชายเอ่อร์ตั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามข้างหูองค์หญิงซีเยวี่ย
“จำเอาไว้ ยังมีเวลาอีกสามวันก่อนจะเดินทางกลับ เ้าต้องคิดหาวิธีให้ตัวเ้าอยู่ที่นี่ต่อให้ได้” เอ่ยจบองค์ชายเอ่อร์ตั้นก็เดินออกจากตำหนัก ทิ้งองค์หญิงซีเยวี่ยที่กำลังทุกข์ทรมานใจไว้ข้างหลัง
องค์หญิงซีเยวี่ยร่ำไห้ออกมา “เหตุใดข้าต้องอยู่ที่นี่ด้วย ข้าชอบทุ่งหญ้า ข้ารักแคว้นของข้า เหตุใดต้องเป็ข้าที่ถูกเลือก เสด็จพ่อ ท่านทรงลำเอียงเหลือเกิน!”
นางนึกย้อนถึงคำพูดของท่านข่านที่เคยพูดกับนาง ภายในส่วนลึกของทุ่งหญ้า ท่านข่านรับสั่งกระซิบข้างหูนาง “จงทำเพื่อเกียรติยศของแคว้นเรา ลูกต้องพยายามทำให้ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินหลงรักลูกให้ได้”
เวลานี้เองนางได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา นางล้างหน้าหวีผมจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพื่อปิดบังดวงตาที่แดงก่ำ
“อ้าว น้องซีเยวี่ย” คือซูเฟยผู้มีรูปร่างบอบบางผู้ชอบสร้างเื่นั่นเอง
นางยิ้ม ใช้ภาษาจีนที่ไม่ค่อยจะคล่องแคล่วเท่าใดนักทักทายออกไป “ซูเฟยเหนียงเหนียง[1]”
“เหตุใดใบหน้าถึงได้ซีดขาวเช่นนี้ น้องเป็อันใดหรือไม่” ซูเฟยมององค์หญิงซีเยวี่ยด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม ทว่ากลับเป็รอยยิ้มที่ทำให้องค์หญิงซีเยวี่ยรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
“หม่อมฉันมิได้เป็อันใดเพคะ แค่ยังไม่ชินกับการใช้ชีวิตในวังเท่านั้น” องค์หญิงซีเยวี่ยมองผู้ไม่หวังดีอย่างซูเฟยอย่างหวาดระแวง
ซูเฟยค่อยๆ เยื้องย่างไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ “เฮ้อ ตอนนี้ในใจข้ารู้สึกเศร้าเหลือเกิน”
องค์หญิงซีเยวี่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย จึงถามออกไป “ซูเฟยทรงมีฐานะสูงส่งในวังหลวงแห่งนี้ บิดาเป็ถึงอัครมหาเสนาบดี รูปโฉมงดงาม เพียบพร้อมทั้งความรู้ เหตุใดถึงได้รู้สึกเศร้าหรือเพคะ”
ซูเฟยได้ฟังก็ยิ้มอย่างโศกศัลย์ รู้สึกถูกชะตากับองค์หญิงซีเยวี่ยมากขึ้นอีกอักโข ก้าวเดินตรงไปหาองค์หญิงซีเยวี่ยอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล หากก็แฝงด้วยแววข่มขู่อยู่ในที “น้องสาวคงไม่รู้ ใจข้าตอนนี้เป็ทุกข์เหลือเกิน”
“นับั้แ่ข้าเสียหน้าภายในงานเลี้ยงคืนนั้น ฝ่าาก็ไม่เคยเสด็จมาหาข้าอีกเลย กลับเสด็จไปหาเสียนเฟยที่ปกติไม่ค่อยจะได้รับความโปรดปรานหลายคืนติดต่อกัน” ซูเฟยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ตัดพ้อถึงความทุกข์ที่อยู่ในใจของตัวเองออกมา
“ไม่ทราบว่าหม่อมฉันพอจะช่วยเหลือพระองค์ได้บ้างหรือไม่เพคะ”องค์หญิงซีเยวี่ยถามด้วยใบหน้าสงสัย
ซูเฟยหัวเราะออกมา “ข้าต่างหากที่อยากช่วยองค์หญิง บิดาเล่าให้ข้าฟังว่า ท่านรักใคร่ชื่นชอบฮ่องเต้มานานมากแล้ว ข้าจึงอยากจะช่วยทำให้ท่านได้สมปรารถนา องค์หญิงแค่ช่วยข้ากำจัดนางสนมพวกนั้นเท่านั้นก็พอ”
ครั้นองค์หญิงซีเยวี่ยได้ฟังประโยคนี้ของซูเฟย รู้สึกว่าจิตใจของสตรีเบื้องหน้าช่างลึกล้ำเหลือเกิน ดูท่าเสด็จพี่ของนางจะสนิทสนมกับอัครมหาเสนาบดีไม่น้อย นางยิ้มมองซูเฟยอย่างเ้าเล่ห์ “ประโยคนี้ของพระองค์ตรงใจหม่อมฉันมากเพคะ หากภายในสามวันนี้พระองค์ช่วยให้หม่อมฉันได้อยู่ที่นี่ต่อ หม่อมฉันก็จะช่วยพระองค์ให้ได้ตำแหน่งฮองเฮา”
ซูเฟยพยักหน้าอย่างชื่นชม ยกมือจับผมเล็กน้อย “ข้ารับคำองค์หญิง”
องค์หญิงซีเยวี่ยยิ้มกว้าง มองตามส่งซูเฟยจนเดินออกไป
หนิงมู่ฉือเดินอย่างเบื่อหน่ายอยู่บนถนน คิดถึงความอยุติธรรมที่จ้าวซีเหอทำกับนาง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็ไม่ค่อยดีนัก ทันใดนั้นสายตาเหลือบไปเห็นร้านบะหมี่ร้านหนึ่งซึ่งกิจการเป็ไปได้ดีมาก นางเดินตรงไปที่ร้านอย่างสนอกสนใจ อยากจะเข้าไปสืบความลับของเคล็ดลับในร้านบะหมี่แห่งนี้
เมื่อนางเดินเข้าไปในร้าน เสี่ยวเอ้อร์[2] รีบเดินเข้ามาต้อนรับนางทันที “แม่นาง สั่งอะไรดีขอรับ”
“เอาบะหมี่ที่ขายดีที่สุดของที่นี่มาหนึ่งชามก็พอ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มหวาน
“เช่นนั้นแม่นางคงต้องรอนานสักหน่อย ตามข้ามาเลยขอรับ ข้าจะพาไปที่นั่ง” เสี่ยวเอ้อร์ต้อนรับนางอย่างกระตือรือร้น นำนางไปยังที่นั่งที่ดีที่สุดซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์บนถนนได้
นางนั่งอย่างสงบนิ่ง มองผู้คนในร้านอย่างพินิจพิเคราะห์ เนื่องจากเื่ที่ผู้คนในร้านกำลังกล่าวถึงในตอนนี้คือเื่ที่นางให้ความสนใจเป็อย่างมาก
[1] เหนียงเหนียง คำที่ใช้เรียกนางสนมของฮ่องเต้
[2] เสี่ยวเอ้อร์ คำเรียกพนักงานภายในร้านอาหารหรือในโรงเตี๊ยมในสมัยก่อนของจีน