จ้าวซีเหอคิดไม่ถึงว่าหนิงมู่ฉือจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ ในใจรู้สึกขมฝาดและเ็ป ฝืนยิ้มกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เ้าไม่ถือเลยหรือ”
จ้าวซีเหอจ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มของหนิงมู่ฉือนิ่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความปั่นป่วนชัดเจน
หนิงมู่ฉือกระพริบตาปริบๆ ยังคงส่งยิ้มให้จ้าวซีเหอ ทว่าในใจไม่รู้เหตุใดถึงรู้สึกเจ็บขึ้นมา “การที่ท่านมีสตรีที่ชอบถือเป็เื่ดี ฉือเอ๋อร์ควรดีใจด้วยถึงจะถูก”
จ้าวซีเหอถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง มองหนิงมู่ฉืออย่างจนปัญญา เขายิ้มอย่างขมขื่น “เช่นนั้นก็ดี ข้าจะทำตามที่เ้า้า ข้าจะใช้ชีวิตร่วมกับฉู่เมิ่งเอ๋อร์”
หนิงมู่ฉือยิ้มอ่อน มองออกไปนอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงตำหนักอ๋องแล้ว ในใจยิ่งรู้สึกเศร้ายิ่งขึ้นไปอีก
นางลงจากรถม้า ถือช้อนทองแล้วรีบเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
นางล้มตัวคว่ำหน้าลงบนเตียงด้วยใจห่อเหี่ยว นึกถึงภาพที่จ้าวซีเหอปฏิบัติกับนางอย่างอ่อนโยน ภาพเขาที่ส่งเสียงให้กำลังใจตอนแข่งขันอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด ภาพตอนที่เขาเป่าขลุ่ยใต้แสงจันทร์ ภาพตอนที่เขาหยอกเย้านาง และภาพตอนที่เขาฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปช่วยนางออกมา
ต่อมาในสมองปรากฏเสียงตอนที่เขาบอกว่าชอบฉู่เมิ่งเอ๋อร์ ในใจนางพลันเกิดความรู้สึกแปลกๆ
ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางนภา อากาศเริ่มเย็นลง หนิงมู่ฉือได้ยินเสียงขลุ่ยลอยมาจากที่ไกลๆ ทว่าครานี้ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ออกไปเด็ดขาด นางมองไปที่ศาลาผ่านทางหน้าต่าง เห็นคนผู้หนึ่งที่นางคุ้นเคยสวมชุดสีขาวกำลังเป่าขลุ่ยอยู่ด้านใน
จ้าวซีเหอเอามือลูบหน้าอกปลอบตัวเองด้วยสีหน้าเป็ทุกข์ ปากพึมพำว่า “นางคงไม่มา” กล่าวจบก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ลมหนาวพัดโชยมา เขาอดตัวสั่นไม่ได้
ท่านอ๋องรีบเร่งฝีเท้าตรงไปยังห้องของบุตรชาย เสียงเอะอะของคนรับใช้ปลุกให้หนิงมู่ฉือตื่นจากฝันหวาน
นางขยี้ตาที่ยังคงสะลึมสะลือลืมไม่ขึ้น มองแสงอาทิตย์ที่สองสว่างเจิดจ้านอกหน้าต่าง ขมวดคิ้วยกมือขึ้นมาบังแสงแดด
แม่บ้านรีบวิ่งเข้ามาในห้องของนางพลางเอ่ยอย่างร้อนใจ “หนิงมู่ฉือ เ้ารีบไปดูซื่อจื่อที่ห้องเร็ว ซื่อจื่อนอนสลบไสล ปากพึมพำแต่ชื่อเ้าไม่หยุด”
หนิงมู่ฉือได้ยินดังนั้น นางวิ่งตรงไปยังห้องของจ้าวซีเหอด้วยความตื่นตระหนก
เปิดประตูเข้าไป เห็นจ้าวซีเหอนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง และท่านอ๋องที่มีใบหน้าเป็กังวล นางรีบปรี่เข้าไปเอ่ยถามท่านอ๋องอย่างร้อนใจ “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อเป็อันใดไปหรือเ้าคะ”
ท่านอ๋องถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “เมื่อคืนแอบออกไปข้างนอกห้อง ต้องลมหนาวมากไปจึงไม่สบาย”
ครั้นหนิงมู่ฉือเห็นใบหน้าจ้าวซีเหอซีดขาว แม้แต่ริมฝีปากก็ยังไร้สีเื ในใจรู้สึกเป็ห่วงอย่างยิ่ง ค่อยๆ ยื่นมือไปอังที่หน้าผาก
จ้าวซีเหอรับรู้ได้ว่าหนิงมู่ฉืออยู่ในห้องนี้ด้วย ความที่อยากยั่วให้นางโกรธ จึงแกล้งจงใจละเมอชื่อหนึ่งออกมา “ฉู่เมิ่งเอ๋อร์...”
หนิงมู่ฉือชะงัก ในใจเต็มไปด้วยรสขมฝาด มือที่ยื่นออกไปค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลง นางเอ่ยกับท่านอ๋องด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ท่านอ๋อง ชื่อที่ซื่อจื่อเอ่ยออกมาคือชื่อนางโลมอันดับหนึ่งแห่งหอจุ้ยหงเ้าค่ะ”
สีหน้าท่านอ๋องเปลี่ยนไปโดยพลัน ก่นด่าออกมา “เ้าลูกไม่รักดีคนนี้นี่!”
หนิงมู่ฉือส่งยิ้มเจื่อนให้แก่ท่านอ๋อง “พอดีเลยเ้าค่ะท่านอ๋อง ฉือเอ๋อร์สามารถทำอาหารซึ่งมีสรรพคุณเป็ยาสำหรับอาการต้องลมหนาวได้ ข้าจะไปทำมาให้ซื่อจื่อดื่มประเดี๋ยวนี้”
หนิงมู่ฉือหันหลัง น้ำตาเม็ดโตไหลออกมา นางรีบวิ่งไปทางห้องครัวด้วยจิตใจหนักอึ้ง
นางหยิบขิงที่อยู่ในห้องครัวขึ้นมา สับให้เป็ชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปต้มจนกลายเป็โจ๊ก จากนั้นใส่ยาที่มีสรรพคุณช่วยป้องกันไข้หวัดจากลมหนาวลงไป เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปอีกนิดหน่อย เพื่อลดความขมของขิง ต้มอีกสักพักก็ตักใส่ถ้วย แล้วยกไปให้จ้าวซีเหอที่ห้อง
นางยื่นถ้วยโจ๊กขิงให้สาวรับใช้ มองจ้าวซีเหอทานโจ๊กลงไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้กล่าวว่าจาอันใดออกมา
จ้าวซีเหอใช้น้ำเสียงอ่อนแรงเอ่ยกับหนิงมู่ฉือด้วยรอยยิ้ม “โจ๊กนี้ได้ผลจริงหรือ ข้าต้องรีบหายไวๆ ใจข้าคิดถึงฉู่เมิ่งเอ๋อร์จะแย่อยู่แล้ว”
หนิงมู่ฉือส่งยิ้มบางๆ ให้จ้าวซีเหอแล้วกล่าวขอตัว “ซื่อจื่อชอบก็ดีแล้ว ฉือเอ๋อร์ยังมีเื่ที่ต้องไปทำ ขอตัวก่อนเ้าค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน! ความจริงแล้วข้า…” เห็นหนิงมู่ฉือกำลังจะออกไป ในใจจ้าวซีเหอรู้สึกร้อนรนอย่างน่าประหลาด ถึงกระนั้นประโยคที่เอ่ยไม่จบก็มิอาจเอ่ยต่อให้จบได้
“มีอันใดหรือเ้าคะ” หนิงมู่ฉือมองด้วยสีหน้าฉงนสงสัย “ซื่อจื่อ้าจะบอกสิ่งใดกับข้าหรือ”
“แหะๆ ไม่ดีอันใดหรอก เ้าไปทำธุระของเ้าต่อเถิด”
หนิงมู่ฉือหมุนตัวเดินออกจากห้อง ตรงไปยังห้องครัว
จ้าวซีเหอเห็นหนิงมู่ฉือเดินออกจากห้องไปแล้ว ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา “หนิงมู่ฉือเอ๋ยหนิงมู่ฉือ เ้าหลอกตัวเองได้ แต่เ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก โจ๊กของเ้าขมยิ่งกว่าสิ่งใด”
เขายิ้มพร้อมกับส่ายหน้า ก่อนจะทานโจ๊กลงไปจนหมด แล้วนอนหลับไป
หนิงมู่ฉือหั่นผักด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ทันใดนั้นนางร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บ มองนิ้วมือตัวเองที่มีเืไหล นางรีบเอาเข้าปากเพื่อห้ามเืทันที
แม่บ้านเห็นท่าทางของหนิงมู่ฉือพลันขมวดคิ้ว พร้อมกับเอ่ยถาม “เหตุใดเ้าถึงไม่ระวัง จะให้ห้องครัวเห็นเืไม่ได้!”
่นี้แม่บ้านมีท่าทีดีต่อหนิงมู่ฉือขึ้นไม่น้อย หากนั่นก็เพราะนางเพิ่งได้รับฉายาว่าเทพแม่ครัว ทั้งยังมีจ้าวซีเหอคอยปกป้อง
“ช่างเถิด เ้าอย่าทำอาหารอยู่ที่นี่เลย ห้องครัวเล็กๆ นี้ไม่มีที่พอให้เ้าหรอก” แม่บ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า
นางถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง วางมีดในมือลง เดินไปที่ศาลาริมน้ำ ให้อาหารปลาหลีฮื้อ[1] ที่อยู่ในบ่อแก้เบื่อ
ท่านอ๋องมองเห็นท่าทางเบื่อหน่ายของหนิงมู่ฉือมาแต่ไกล ด้วยความเป็ห่วงจึงเดินเข้ามาถามไถ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มขณะเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย
คนรับใช้ที่อยู่ข้างกายทำท่าจะเรียกหนิงมู่ฉือ แต่ถูกท่านอ๋องยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน
ท่านอ๋องเอ่ยปากเรียก “นางหนูหนิง เหตุใดถึงไม่ไปทำอาหารในห้องครัว มาให้อาหารปลาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด ในใจมีเื่ไม่สบายใจอันใดหรือ”
หนิงมู่ฉือรีบลุกขึ้นทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ หันไปก็พบกับใบหน้ายิ้มแย้มของท่านอ๋อง นางรีบเอามือที่ถูกมีดบาดซ่อนไว้ข้างหลัง “คารวะท่านอ๋องเ้าค่ะ เพียงแต่ในห้องครัวมีแม่บ้านคอยดูแลอยู่แล้ว ฉือเอ๋อร์ก็เลยมาให้อาหารปลาแทน”
ท่านอ๋องยกมือลูบเคราที่เริ่มจะเป็สีเทาพลางยิ้ม “นางหนูหนิง มีเื่ใดระบายให้ข้าฟังได้นะ ท่าทางของเ้าดูราวกับมีเื่ทุกข์ใจ”
หนิงมู่ฉือได้ฟัง กระบอกตาเริ่มร้อนผ่าว ส่ายหน้า กัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมเอ่ยคำใดอีก
ท่านอ๋องถอนหายใจคราหนึ่ง จากนั้นทรุดนั่งลงด้านข้างหนิงมู่ฉือ “นางหนูหนิง ข้ารู้ว่าเ้าร้องไห้ด้วยเหตุใด บางครั้งชีวิตคนเราก็ต้องเจอกับคลื่นลมมรสุมบ้าง”
[1] ปลาหลีฮื้อ ปลาไน หรือปลาคาร์ฟ เป็หนึ่งในสัญลักษณ์มงคลของจีน สื่อถึงความพยายามที่นำมาซึ่งความสำเร็จ