ในขณะที่ทุกคนกำลังเศร้าเสียใจอยู่นั้น ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินขึ้นไปบนเวทีการแข่งขันแล้วเอ่ยกับทุกคนว่า “การแข่งขันรอบสุดท้ายเราจะประกาศเอง ทุกคนรู้ดีว่าการแข่งขันที่ผ่านมาผู้ที่ได้ฉายาว่าเทพล้วนเป็คนของต่างแคว้น ทว่าวันนี้พวกเราต้องแย่งฉายาเทพมาให้ได้! การแข่งขันสี่รอบก่อนหน้านี้จะคิดเป็คะแนนเพียงส่วนเดียวของการแข่งขันทั้งหมด ส่วนรอบนี้จะคิดเป็คะแนนสามส่วน ผู้ใดชนะรอบนี้ได้จะเป็ผู้ชนะที่แท้จริง!”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินเว้นวรรคครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “การแข่งขันรอบที่สามนี้คือการแข่งทำอาหารจากวัตถุดิบที่กำหนดให้ วิธีการตัดสินคือ ให้ทุกคนลงคะแนนว่าชอบของผู้ใดมากที่สุด ผู้นั้นก็จะคือผู้ชนะ”
ทุกคนได้ยินดังนั้นร้องะโชอบอกชอบใจกันอย่างบ้าคลั่ง ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินตบไหล่หนิงมู่ฉืออย่างให้ความสำคัญ
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทุกคนรอคอยผลการแข่งขันอย่างลุ้นระทึก
หนิงมู่ฉือและพ่อครัวต่างแคว้นเดินไปหยุดตรงกลางเวที มองจานที่มีที่ครอบอย่างใช้ความคิด หนิงมู่ฉืออาศัยการดมกลิ่นและโชค เลือกจานไปห้าจาน ส่วนที่เหลืออีกห้าจานให้พ่อครัวต่างแคว้น
นางเปิดที่ครอบออกด้วยมืออันสั่นเทา พบว่าในจานมีต้นหอม ขิง กระเทียม เนื้อหมู ผักกาดขาวที่พบเห็นได้บ่อย และกระดูกหมู ซึ่งของที่ขาดคือน้ำมัน
นางไม่มีท่าทีเคร่งเครียดแต่อย่างใด มองพ่อครัวต่างแคว้นที่ยิ้มมองนางอย่างมีเลศนัย ในใจเริ่มมีน้ำโห นางคิดว่าจะใช้น้ำมันจากเนื้อหมูแทน แล้วใช้กระดูกหมูต้มเป็น้ำแกง
นางล้างทำความสะอาดเนื้อหมู หันเป็ชิ้นอย่างระมัดระวัง ใส่ลงไปในหม้อ เจียวจนได้น้ำมันหมูมา
จ้าวซีเหอเห็นหนิงมู่ฉือทำเช่นนั้นก็เอ่ยกับท่านอ๋องด้วยน้ำเสียงเป็ห่วง “แย่แล้ว หนิงมู่ฉือไม่มีน้ำมัน”
ท่านอ๋องมองการกระทำของหนิงมู่ฉือจึงเอ่ยตอบว่า “เด็กคนนี้ฉลาดมาก รู้ว่าเนื้อหมูสามารถทำน้ำมันหมูออกมาได้ เ้าไม่ต้องเป็ห่วงไปหรอก”
จ้าวซีเหอได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าอย่างโล่งอก ทว่าสีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความเป็ห่วง
เมื่อได้น้ำมันมา หนิงมู่ฉือมองน้ำแกงที่เคี่ยวได้ที่แล้ว ทันใดนั้นพ่อครัวต่างแคว้นโยนพริกมาทางนาง จนเกือบตกลงไปในหม้อ นางหันไปถลึงตาใส่พ่อครัวผู้นั้นทันควัน
นางยิ้มเยาะเย้ยอีกฝ่าย อีกฝ่ายเห็นดังนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที
นางมีแผนอยู่ในใจอยู่แล้ว นางนำต้นหอม ขิง และกระเทียมลงไปผัด หั่นหมูที่เหลือเป็ชิ้นใหญ่ๆ มองน้ำแกงที่เคี่ยวจนได้ที่ ใช้กระบวยตักขึ้นมา
นำผักกาดขาวลงไปผัดในหม้อ ใส่น้ำแกงที่เคี่ยวจนได้ที่ลงไป นางหันไปยิ้มท้าทายให้แก่พ่อครัวต่างแคว้นที่กำลังยุ่ง จนพ่อครัวต้องหันมาถลึงตาใส่นาง
เสียงฆ้องจบการแข่งขันดังขึ้น ขันทีน้อยตักอาหารของหนิงมู่ฉือและของพ่อครัวต่างแคว้นใส่ถ้วย ทุกคนที่มองดูอยู่ทั้งเครียด ตื่นเต้น และลุ้นกับผลการแข่งขัน
องค์ชายเอ่อร์ตั้นลอบมองพ่อครัว ทว่าพ่อครัวต่างแคว้นกลับก้มหน้านิ่ง ในใจจึงพลันรู้สึกใ
เห็นขันทีผู้รับผิดชอบการแข่งขันกำลังจะประกาศผล ใจหนิงมู่ฉือเต้นรัวและแรง
ขันทีผู้รับผิดชอบการแข่งขันใช้เสียงเล็กแหลมของตนเองประกาศว่า “ผลการแข่งขันออกมาแล้ว หมายเลขหนึ่ง สี่สิบเก้าคะแนน หมายเลขสอง ห้าสิบเอ็ดคะแนน ทั้งสองหมายเลขมีคะแนนห่างกันหนึ่งคะแนน หมายเลขหนึ่งคือผัดหูวัวของพ่อครัวต่างแคว้น ส่วนหมายเลขที่สองคือหมูผัดผักกาดขาวของที่ราบภาคกลาง”
ทุกคนปรบมือด้วยความยินดีหลังจากผลการตัดสินออกมา แม้แต่จ้าวซีเหอยังยิ้มกว้างจนหุบไม่ลง จ้าวซีเหอและท่านอ๋องส่งยิ้มให้หนิงมู่ฉือที่ยืนอยู่บนเวที
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินเดินขึ้นไปตรงกลางเวที กลิ่นอายอันน่าเกรงขามทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผลการตัดสินออกมาแล้ว ที่ราบภาคกลางเอาชนะต่างแคว้นไปได้หนึ่งคะแนน ฉายาเทพตกมาอยู่ที่แม่ครัวของที่ราบภาคกลางได้ในที่สุด นี่เป็ครั้งแรกที่ที่ราบภาคกลางได้ฉายานี้มาครอง ควรค่าแก่การฉลองเป็อย่างยิ่ง!”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินมององค์ชายเอ่อร์ตั้น ยิ้มในความพ่ายแพ้ของอีกฝ่าย เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีสะกดกลั้นโทสะเต็มที่ ในใจยิ่งรู้สึกยินดีมากขึ้น
องค์ชายเอ่อร์ตั้นมองหนิงมู่ฉือด้วยแววตาโกรธแค้น กัดฟันกรอด สองมือกำแน่น อยากจะฆ่าหนิงมู่ฉือเสียเดี๋ยวนั้น
หนิงมู่ฉือรับรู้ได้ถึงสายตาขององค์ชายเอ่อร์ตั้นที่มองมา คิดในใจว่า การแข่งขันนี้ทำให้นางได้ทั้งโชคดีและโชคร้ายกลับไป หลังจากนี้ต้องมีคนอีกมากมายที่รู้สึกอิจฉานางเป็แน่
ขันทีน้อยถือช้อนทองขึ้นมาบนเวที แล้วยื่นให้นาง ในใจนางรับรู้ได้ถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
พระอาทิตย์ตกดิน การแข่งขันก็จบลง ชมการแข่งขันกันมาทั้งวัน ทุกคนต่างก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจึงพากันกลับไปพักผ่อน
หนิงมู่ฉือและจ้าวซีเหอนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน เห็นจ้าวซีเหอมีสีหน้าราบเรียบ นางรู้สึกแปลกใจจึงพยายามส่งยิ้มกว้างไปให้
จ้าวซีเหอเห็นหนิงมู่ฉือยิ้มกว้างให้ตัวเอง เขาเอ่ยอย่างเป็ห่วง “ข้าไม่รู้ว่าการแข่งขันนี้จะทำให้มีเื่ดีหรือเื่ร้ายตามมา”
หนิงมู่ฉือได้ฟังดังนั้นรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ลอบถอนหายใจ นางมองขันทีหลายคนที่เดินตามหลังรถม้า พยายามทำน้ำเสียงให้ดูดีใจเข้าไว้ “ไม่เห็นต้องไปสนใจเลยเ้าค่ะ วันนี้ข้าทำให้ที่ราบภาคกลางเป็ฝ่ายชนะ ฝ่าาทรงตบรางวัลให้ข้ามากมาย ตอนนี้ข้ารวยแล้ว”
จ้าวซีเหอมองรอยยิ้มกว้างของหนิงมู่ฉือนิ่งดังตกอยู่ในภวังค์ เขาเม้มปากแน่น ใจเต้นรัว เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็อันใดไป เหตุใดถึงได้หวั่นไหวกับแม่ครัวผู้หนึ่งได้
หนิงมู่ฉือหันกลับมามองจ้าวซีเหอ จ้าวซีเหอรีบหันไปมองทางอื่นทันที นางเห็นเขาเขินอาย อดไม่ได้ที่จะพูดล้อ “เป็ครั้งแรกที่ข้าเห็นท่านมีท่าทีเขินอาย ท่านกำลังดูสิ่งใดอยู่หรือ เหตุใดถึงทำได้สีหน้าเช่นนี้”
จ้าวซีเหอได้ยินประโยคหยอกล้อยิ่งรู้สึกเขินอายมากยิ่งกว่าเดิม พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “พูดเหลวไหลอันใดของเ้า วันนี้ข้าแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่านั้น”
หนิงมู่ฉือนึกว่าจ้าวซีเหอพูดความจริง จึงเอ่ยถามอย่างเป็ห่วง “ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหน หรือว่าโดนลมมากเกินไปจึงทำให้ไม่สบาย เช่นนั้นกลับไปถึงตำหนัก ข้าจะต้มน้ำขิงให้ดีหรือไม่”
จ้าวซีเหอพยักหน้า ใบหน้ากลับมามีรอยยิ้มเ้าชู้ดังเดิม “เหตุใดเ้าถึงเป็ห่วงข้าถึงเพียงนี้ หรือว่าคิดอันใดกับข้า”
แม้หนิงมู่ฉือจะรู้สึกเขินอาย ทว่าสีหน้ายังคงราบเรียบ “เพราะท่านคือผู้มีพระคุณของข้าต่างหาก ข้าจึงเป็ห่วงท่าน”
จ้าวซีเหอไม่อยากฟังคำตอบเช่นนี้ ในใจรู้สึกผิดหวังเหลือคณา ที่แท้ที่นางทำดีกับเขา เป็เพราะเห็นเขาเป็เพียงผู้มีพระคุณหรอกหรือ เขาคิดด้วยความกรุ่นโกรธ “นานแล้วที่ข้าไม่ได้ไปหาฉู่เมิ่งเอ๋อร์ ข้าเริ่มคิดถึงนางขึ้นมาบ้างแล้ว”
หนิงมู่ฉือเอ่ยพลางยิ้ม “ท่านชอบนางถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่รับนางเข้าตำหนักล่ะเ้าคะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้