ท่ามกลางผู้คนมากมายเหล่านี้ ชายวัยกลางคนซึ่งมีนิสัยช่างเจรจาผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา “พวกเ้ารู้หรือไม่ แขกต่างแคว้นมาเยือนที่ราบภาคกลางครั้งนี้ถึงกับต้องเสียหายครั้งใหญ่!”
ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจผู้คนได้เป็อย่างดี ทุกคนเอ่ยถาม “เกิดอันใดขึ้น เล่าให้คนไม่รู้เื่อย่างพวกเราฟังหน่อยได้หรือไม่”
ชายวัยช่างเจรจามองทุกคนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตนเองเหลือจะกล่าว สีหน้าเต็มไปด้วยความย่ามใจ “พวกเ้าก็รู้ว่าทุกครั้งที่แขกต่างแคว้นมาเยือนจะได้รับฉายาเทพตลอด ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา!”
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก บางคนถึงกับทนไม่ไหวเขย่าแขนเสื้อเร่งให้รีบพูด “เกิดอันใดขึ้น รีบเล่ามาเร็ว!”
“ครั้งนี้ฉายาเทพตกเป็ของพวกเราที่ราบภาคกลาง! ในที่สุดพวกเราก็ได้เอาคืนพวกนั้นเสียที!” ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าถือดี ทุกคนส่งเสียงฮือฮากันระงม
ได้ยินผู้คนพูดคุยถึงเื่นี้ไม่หยุด หนิงมู่ฉือดีใจยิ้มออกมา
ทุกคนกล่าวว่า “ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน กล่าวกันว่า เทพแม่ครัวผู้นี้คือเ้าแม่อาหารบูชากลับชาติมาเกิด อาหารที่นางทำส่งกินหอมไปไกลหลายสิบลี้เชียวนะ”
ชายวัยกลางคนช่างเจรจายิ้มพลางถามคนผู้นั้น “แล้วเ้ารู้หรือไม่ว่าแม่ครัวผู้นี้คือใคร”
คนผู้นั้นส่ายหน้า มองชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าสงสัย ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วถึงค่อยเอ่ย “ข้าเคยชิมอาหารฝีมือแม่ครัวผู้นั้นมาแล้ว น้ำแกงที่นางทำรสชาติล้ำเลิศมาก กระทั่งน้ำแกงหมดแล้วข้าถึงกับต้องเลียถ้วยจนสะอาดเอี่ยมถึงจะพอใจ แม่ครัวผู้นี้เป็แม่ครัวในตำหนักอ๋อง!”
หนิงมู่ฉือยิ้มไม่ใส่ใจกับคำกล่าวโม้ของชายวัยกลางคน ครั้นเสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารมาวางให้บนโต๊ะ นางเอ่ยขอบคุณเบาๆ
นางมองบะหมี่ที่วางอยู่ตรงหน้า เส้นดูเหนียวนุ่ม น้ำแกงทำจากไก่ที่เคี่ยวจนได้ที่ บนน้ำแกงมีน้ำมันลอยอยู่เล็กน้อย ทั้งยังมีกลิ่นต้นหอมโชยขึ้นมา ดูแล้วหน้าตาน่าทานใช้ได้ เพียงแต่เนื้อไก่ นางเห็นแล้วต้องส่ายหน้า ส่วนของเนื้อไก่ที่ใช้เป็ส่วนที่ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
หลังจากทานหมด นางจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน ได้ยินผู้คนตามทางพูดคุยกันถึงเื่เทพแม่ครัว นางรู้สึกภาคภูมิใจยิ่ง
นางเดินไปเรื่อยเปื่อย เวลานี้เองที่นางได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินตามมาด้านหลัง นางระแวดระวังตัวขึ้นมาทันควัน ใช้หางตาเหลือบมองด้านหลังของตัวเอง
เดินผ่านซอยที่ค่อนข้างเงียบไร้ผู้คน นางเปลี่ยนจากเดินเป็ออกวิ่ง แม้นางจะเคยเรียนการต่อสู้กับบิดามาบ้าง แต่ถ้าต้องสู้กับบุรุษสามสี่คน นางไม่สามารถเอาชนะได้เลย
หนิงมู่ฉือล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อ กำผงพริกไทยและผงพริกเอาไว้ ซอยมืดมิดจนมองไม่เห็นทาง ในใจนางรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง นางจึงรีบเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น
พวกผู้ชายที่ตามมาด้านหลังเห็นดังนั้นรีบเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นอีก คนผู้หนึ่งะโขึ้นมา “พวกเรา รีบตามไปจับนางไว้ ข้างหน้าเป็ซอยตัน แม่ครัวผู้นี้ไม่มีทางหนีไปได้แน่ คุณชายสั่งว่า ให้จับเป็ ผู้ใดจับได้จะตบรางวัลให้อย่างงาม!”
พวกผู้ชายที่ตามมาด้านหลังได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งทุ่มเทมากขึ้น วิ่งไล่ตามหนิงมู่ฉืออย่างไม่ลดละ หนิงมู่ฉือใจเต้นแรงด้วยความกลัว อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา พร้อมกับร้องเรียกหามารดาไปด้วย
ครั้นเห็นว่าข้างหน้าเป็ทางตัน ข้างหลังก็มีพวกคนร้ายที่วิ่งตามมาใกล้เรื่อยๆ มือข้างหนึ่งกำผงพริกไทยกับผงพริกเอาไว้ หันไปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “บอกมา! พวกเ้าจะทำอันใด! ในเสื้อข้ามีอาวุธลับซ่อนอยู่! ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวไป!” กล่าวพลางทำท่าจะควักของที่อยู่ในอกเสื้อออกมา
พวกผู้ชายที่ตามมามีท่าทีระวังตัวขึ้นมาทันที มองหนิงมู่ฉือที่ก้าวมาข้างหน้าใกล้พวกตนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นยังจ้องมองมือที่อยู่ในสาบเสื้อไม่ละสายตา พลางก้าวถอยหลัง
หนิงมู่ฉือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือแววสะอื้น “พวกเ้า้าปล้นของมีค่าหรือ้าปล้นสวาท ถ้าอยากได้ของมีค่า ข้าไม่มีให้หรอก แต่ถ้าจะปล้นสวาท ถ้าไม่อยากตายออกไปให้ไกลๆ ข้า!” เห็นคนเหล่านี้มีสีหน้าในางยิ่งย่ามใจ
เด็กรับใช้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มเหล่านี้เห็นสถานการณ์เปลี่ยนไปเอ่ยะโอย่างกราดเกรี้ยว “รีบเข้าไปจับสิ นางเป็เพียงสตรีมีหรือจะสู้รบปรบมือกับพวกเ้าได้! คุณชายเลี้ยงพวกเ้าเสียข้าวสุกจริงๆ!”
บรรดาชายหนุ่มท่าทางแข็งแรงกำยำได้ฟังก็กำหมัดแน่น ตรงเข้าไปหาหนิงมู่ฉือด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด เด็กรับใช้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมองหนิงมู่ฉืออย่างถือดี “แม่นางหนิง หากเ้ายอมเชื่อฟัง คุณชายของพวกเราก็จะดูแลเ้าเป็อย่างดี”
หนิงมู่ฉือถลึงตาใส่เด็กรับใช้ มือที่กำผงพริกไทยและผงพริกสาดใส่บรรดาชายหนุ่มท่าทางแข็งแรงกำยำที่เดินเข้ามา ทว่า…
ผงพริกไทยและผงพริกกลับตกลงบนพื้น หนิงมู่ฉือมองเหล่าชายหนุ่มอย่างตกตะลึงแกมหวาดหวั่น เด็กรับใช้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมองถุงใส่ผงพริกไทยและผงพริกที่ตกอยู่บนพื้น ยิ้มพร้อมกับกล่าวเยาะเย้ยออกมา “ข้าก็นึกว่าแม่นางหนิงจะมีอาวุธลับร้ายกาจอันใดซ่อนอยู่ ที่แท้ก็คือผงพริกไทยกับผงพริกนี่เอง!”
สิ้นประโยคนี้ ทุกคนหัวเราะออกมา ทั้งมองหนิงมู่ฉืออย่างดูถูก
หนิงมู่ฉือใจเต้นแรง คิดจะใช้โอกาสนี้วิ่งหนี หากถูกชายรูปร่างกำยำผู้หนึ่งฟาดจนสลบ แล้วนำตัวใส่ถุงกระสอบ
น้ำเย็นจัดถูกสาดใส่หน้าหนิงมู่ฉือ นางลืมตาขึ้นมาโดยพลัน มองบรรดาคนแปลกหน้าทั้งหลาย ใจเต้นแรงด้วยความใ
นางมองคนที่ยิ้มพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งอยู่ด้านข้าง “แม่นางหนิง ในที่สุดเ้าก็ฟื้นแล้ว”
หนิงมู่ฉือมองชายที่อยู่ตรงหน้า เป็ชายไว้เคราแพะ ตาโตจนน่ากลัว ตาไร้แววดั่งตุ๊กตาไร้ชีวิต จมูกใหญ่ ริมฝีปากกว้าง หน้าตาดูน่าขบขันเป็ที่สุด
นางลองขยับตัว กลับพบว่าตัวเองถูกมัดไว้กับเก้าอี้ นางเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “พวกเ้าเป็ใคร เหตุใดถึงพาข้ามาที่นี่”
ชายผู้นั้นหัวเราะออกมา แม้แต่เสียงหัวเราะก็ยังดูน่าขบขัน กล่าวตอบหนิงมู่ฉือด้วยน้ำเสียงลำพองใจ “ข้าคือบุตรชายคนเดียวของเสนาบดีกรมพิธีการ ไซพานอัน”
“ไซพานอัน?” หนิงมู่ฉือรู้สึกคุ้นกับชื่อนี้เหลือเกิน ต่อมานางก็ต้องเหงื่อแตกพลั่ก นางได้ยินมานานแล้วว่าเสนาบดีกรมพิธีการรักบุตรชายที่มีร่างกายอ่อนแอของตนเองมาก นี่ถ้ารู้ว่าบุตรชายลักพาตัวแม่ครัวที่ฮ่องเต้พระราชทานฉายาให้ว่าเทพแม่ครัวมา ไม่รู้ว่าจะโมโหมากเพียงใด
นางส่งยิ้มให้ไซพานอัน เอ่ยเสียงหวาน “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าคุณชายไซมีรูปโฉมหล่อเหลา วันนี้เมื่อได้เจอตัวจริง คิดว่าช่างสมคำร่ำลือเสียจริง ไม่ทราบว่าคุณชายไซมีธุระอันใดกับข้าหรือ ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ เชือกนี้มัดข้าจนเจ็บไปหมดแล้ว”
ไซพานอันได้ยินดังนั้น รีบเข้าไปแก้เชือกให้ทันที