เมื่อเดินไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลที่อยู่หน้าเคาเตอร์ต่างพากันมุงดูเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่จิงซิงอี้ถอยไปหลบอยู่ข้างหลังลั่วเยี่ยน เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ใกล้ๆ
“เดี๋ยวๆทุกคน ใจเย็นๆ เ้าหนูกลัวแล้ว”
ลั่วเยี่ยนเตือนสาวๆ และเล่าให้พวกเธอฟังว่าไปพบเด็กชายที่ไหน และขอให้พวกเธอช่วยประกาศหาพ่อแม่ในโรงพยาบาล และถ้าไม่พบ เขาจะโทรไปแจ้งตำรวจให้ช่วยตามหาอีกที
ในระหว่างที่ชายหนุ่มอธิบาย จิงซิงอี้ก็ยืนฟังเงียบๆด้วยความสนใจ แม้ว่าใครๆ จะพยายามถามชื่อและที่อยู่ เขากลับนิ่งทำหูทวนลมเหมือนไม่เข้าใจ จนลั่วเยี่ยนอดหัวเราะไม่ได้
ชายหนุ่มจะต้องออกตรวจคนไข้ตอนเช้า เขาจึงคิดจะฝากให้เด็กชายอยู่กับเ้าหน้าที่ แต่จิงซิงอี้ไม่ยอม เด็กน้อยวิ่งตามลั่วเยี่ยน ทำให้เขาต้องพาเด็กชายไปที่ห้องตรวจด้วย
เขาย่อตัวลงสบตากับเด็กน้อยและพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่รู้ว่านาย้าอะไร แต่ฉันรู้ว่านายเข้าใจทุกสิ่งที่ฉันพูด ถ้านายไม่อยากไปไหน ก็อยู่กับฉันไปก่อน ถ้าเปลี่ยนใจอยากพูด ก็พูดมาก็แล้วกันนะเ้าหนู”
จากนั้นชายหนุ่มก็ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู พวกเขาเดินไปห้องตรวจด้วยกัน ลั่วเยี่ยนให้เด็กชายนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ กับโต๊ะตรวจ และส่งแก้วน้ำดื่มให้
ก่อนจะให้นางพยาบาลเรียกคนไข้คนแรกเข้ามา เข้าหันมาบอกกับจิงซิงอี้ว่า
“นั่งดีๆนะ ถ้าหิวหรือจะเข้าห้องน้ำก็บอกด้วย จะพาไป”
จิงซิงอี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ และหันไปมองดูอุปกรณ์การแพทย์ในห้องด้วยความสนใจ
คนไข้คนแรกที่เดินเข้ามา เป็ชายหนุ่มอายุประมาณ 35 ปี มีรูปร่างผอม ใบหน้าซีด ดูเหนื่อยล้าอ่อนแรง ลั่วเยี่ยนอ่านข้อมูลคนไข้ที่นางพยาบาลเตรียมให้ ตรวจร่างกายเบื้องต้น พร้อมซักถามอาการ
คนไข้ให้ข้อมูลว่า เขาปวดหัวมาก และเป็มาประมาณ 2-3 เดือนแล้ว ตอนแรกคิดว่า เขาคงทำงานหนักและมีเวลาพักผ่อนน้อย จึงพยายามนอนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวยังคงมีอยู่ จนทำให้เขานอนไม่หลับ และอ่อนเพลียมากยิ่งขึ้น
คนไข้เล่าอาการว่า “ผมปวดหัวแถวๆ ท้ายทอย บางครั้งก็ปวดไปหมดทั้งศีรษะ ่หลังๆมา ก็ย้ายมาปวดข้างซ้ายด้วยครับ”
ลั่วเยี่ยนถามต่อว่า “ปวดแบบแน่นๆ ตุบๆ ที่ข้างซ้ายหรือข้างขวาโดยเฉพาะหรือเปล่าครับ”
คนไข้พยักหน้า ลั่วเยี่ยนจึงถาม พร้อมกับจดบันทึกในประวัติการรักษาไปด้วยว่า
“จะเป็มากเวลาเจอแสงแรงๆ เสียงดังๆ ด้วยมั้ยครับ”
“ใช่ครับ”
“ตอนนี้มีปัญหาการมองมั้ยครับ อย่างเช่น ตาลาย มองเห็นแสงแปลกๆ ภาพแปลกๆ เบี้ยวๆ”
“ใช่ครับหมอ หลับตาก็ยังมองเห็นเลย”
“มีคลื่นไส้ อาเจียนบ้างมั้ยครับ”
“มีครับ”
ลั่วเยี่ยนพยักหน้าและอธิบายว่า “หมอคิดว่าคุณเป็ไมเกรน จากอาการปวดหัวข้างเดียว และมองเห็นภาพแปลกๆ และเป็มากขึ้นเมื่อเจอแสงจ้า และเสียงดัง เดี๋ยวผมจะสั่งยาให้นะครับ”
จากนั้นหมอหนุ่มก็อธิบายวิธีการปฏิบัติตัว เช่น นอนให้เพียงพอ พยายามหลีกเลี่ยงการกระตุ้นต่างๆ และนัดให้มาพบอีกครั้งในอีกหนึ่งเดือนถัดมา
เมื่อคนไข้กำลังจะขยับตัวลุกออกไป จิงซิงอี้ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆและคอยสังเกตสีหน้าของคนไข้ ก็พูดขึ้นมาเป็ครั้งแรกด้วยเสียงเล็กๆของเด็กน้อย 5 ขวบว่า
“คนไข้มีอาการหายใจแบบสั้นๆ มีเหงื่อออกง่าย และเพลียด้วยใช่มั้ย”
ทั้งลั่วเยี่ยน คนไข้ และนางพยาบาลชะงัก หันไปมองเด็กชายพร้อมกัน จิงซิงอี้ถามย้ำว่า
“ใช่มั้ย”
คนไข้มองหน้าลั่วเยี่ยน เหมือนจะถามว่าเด็กคนนี้เป็ใคร แต่หมอหนุ่มพยักหน้าให้คนไข้ตอบ คนไข้จึงตอบว่าใช่ จิงซิงอี้พูดต่อว่า
“ขอดูลิ้นหน่อยได้มั้ย”
คนไข้ลังเล ลั่วเยี่ยนชะงัก แต่ก็ขอให้คนไข้แลบลิ้นออกมา
เด็กชายลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ และเดินมาเงยหน้ามองลิ้นของคนไข้สักพัก จากนั้นก็เอื้อมมือมาจับชีพจรของคนไข้ ก่อนพูดว่า
“ขอจับชีพจรหน่อยนะ”
คนไข้ทำสีหน้าแปลกๆ แต่ก็ยอมให้เด็กชายจับชีพจร เพราะเขาเห็นลั่วเยี่ยนพยักหน้าให้ทำตาม
ความนิ่งและวิธีการพูดที่เหมือนผู้ใหญ่ ทำให้เขารู้สึกว่า เด็กคนนี้ไม่ได้ล้อเล่น หรือกำลังเล่นเกมหมอกับคนไข้เหมือนเด็กทั่วไป
จิงซิงอี้จับชีพจรอยู่ประมาณหนึ่งนาที จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งดูทั้งน่าเชื่อถือและน่าเอ็นดูไปพร้อมๆ กันว่า
“น่าจะเป็อาการชี่พร่องกับเืพร่อง เพราะลิ้นสีซีด มีฝ้าขาวๆ มีอาการเหนื่อย หายใจได้สั้นๆ แล้วก็เหงื่อออกง่าย ชีพจรอ่อนด้วย”
ทุกคนมองไปที่คนไข้ และพบว่าเขามีเหงื่อซึมออกมา ทั้งๆที่ในห้องมีเครื่องปรับอากาศทำงานอยู่ และมีอาการเหนื่อย หายใจหอบนิดๆ
จิงซิงอี้พูดต่อว่า คนไข้น่าจะฝันบ่อยและนอนหลับยากด้วย คนไข้มีสีหน้าประหลาดใจมากยิ่งขึ้น ก่อนจะยอมรับว่ามีอาการดังกล่าว ลั่วเยี่ยนจึงถามเด็กชายว่า “แล้วต้องรักษายังไง”
จิงซิงอี้ตอบหน้าตาเฉยว่า “ก็ต้องให้คุณตารักษา”
ลั่วเยี่ยนถามต่ออย่างใจเย็นว่า “แล้วคุณตาอยู่ไหน”
เด็กน้อยใช้หางตามองเขา และตอบด้วยสีหน้ากวนๆว่า
“อยู่แถวๆนี้แหละ”
ลั่วเยี่ยนหัวเราะก๊ากออกมา เขาลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันไปบอกคนไข้ให้ไปรับยาตามที่เขาแนะนำ คนไข้ทำท่าลังเลก่อนจะถามว่า
“แล้วที่เด็กคนนี้บอกล่ะครับ”
ลั่วเยี่ยนตอบยิ้มๆว่า
“สิ่งที่เขาพูด คือ การรักษาแบบแพทย์แผนจีนครับ ถ้าคุณสนใจลองไปรักษาได้ครับ แต่เราไม่มีแผนกนี้ที่นี่”
คนไข้มีสีหน้าเสียดาย ก่อนจะเดินตามนางพยาบาลออกไป
ตลอด่เช้าของการรักษา บางครั้งจิงซิงอี้จะพูดถึงอาการคนไข้และบอกชื่อของโรคออกมา เมื่อลั่วเยี่ยนถามว่าทำไมไม่อธิบายอาการของคนไข้ทุกคนล่ะ เด็กชายก็พูดหน้าตาเฉยว่า
“เพิ่งเรียนมาแค่นี้”
เมื่อถามว่าเรียนกับใคร เด็กชายก็ตอบด้วยความภูมิใจว่า คุณตาสอน เมื่อพยายามถามว่าคุณตาเป็ใคร และอยู่ที่ไหน เด็กชายจะตอบแค่ว่า เป็หมอ และไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
เมื่อลั่วเยี่ยนถามว่า แล้วจะติดต่อคุณตายังไง ใครจะมารับเขากลับล่ะ เพราะสมัยยี่สิบกว่าปีนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือแพร่หลาย
จิงซิงอี้นิ่งคิดก่อนตอบว่า ตอนเที่ยงต้องไปหาคุณตา และคุณตาจะพาไปกินข้าว เมื่อสอบถามจนรู้ว่าคุณตาที่ว่าอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ และเด็กชายรู้ว่าจะติดต่อได้ที่ไหน ลั่วเยี่ยนจึงวางใจ
