กำแพงลานบ้านสร้างจากหินและดินเหนียวสูงเพียงสามฉื่อ สภาพทั้งเก่าและทรุดโทรม เมื่อลมพัดมา วัชพืชสองสามต้นบนกำแพงพลอยแกว่งไกวไปตามแรงลม
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางระแนงหน้าต่างเก่าสภาพโทรม เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับห้องหับที่มืดมนแห่งนี้อยู่หลายส่วน
เสียงทะเลาะโหวกเหวกโวยวาย เจือด้วยเสียงร้องไห้เสียดแทงทรวงในดังมาจากระยะใกล้และไกล หลินหรูซือรู้สึกปวดศีรษะจนแทบจะะเิ
“ขอร้องละ พวกเ้าอย่าทำเช่นนี้เลย!”
“หลีกไป ถ้าไม่มีคนพี่ แต่งงานกับคนน้องก็ไม่ต่างกัน!”
“ข้าไม่อนุญาตให้เ้าเอาตัวลูกสาวของข้าไป ไม่!”
หลินหรูซือรู้สึกว่าตนเองถูกกอดแน่น หยดเหงื่ออุ่นๆ อาบลงบนใบหน้าของนางทีละหยด
“อย่าเอาตัวพี่สาวของข้าไป อย่า!”
เสียงทะเลาะโหวกเหวกโวยวายเจือด้วยเสียงร้องไห้ดังขึ้นอื้ออึง
มีทั้งเสียงของบุรุษ สตรีและเด็ก
เสียงฆ้องและกลองดังก้องสนั่นฟ้า
ด้วยเสียงดังของผู้คน รวมถึงเสียงของเครื่องดนตรีเ่าั้ดังสาละวนปะปนรวมกันทำให้เด็กสาวรู้สึกปวดศีรษะ
ทั้งแขนและขาถูกดึงอย่างตามอำเภอใจ ราวกับว่าร่างกายของนางกำลังจะถูกแยกออกเป็ชิ้นๆอย่างไรอย่างนั้น หลินหรูซือถึงกับขมวดคิ้วด้วยความเ็ป
ทันใดนั้นดูเหมือนนางจะถูกใครบางคนอุ้มขึ้น ความเ็ปของร่างกายค่อยๆ หายไป และดูเหมือนตัวนางจะอยู่กลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น
ชายผู้นั้นอุ้มเด็กสาวด้วยความว่องไวพลางเดินไปยังห้องด้านข้าง พร้อมเรียกคนแถวนั้น "ยังไม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางอีก!"
เสียงนั้นดังอื้ออึง ดังเสียจนแก้วหูของหลินหรูซือคล้ายกับว่าจะแตกเป็เสี่ยงๆ
ราวกับมีมือมากมายััที่ร่างกายของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิ้วของหลินหรูซือขมวดแน่นมากขึ้น
นางเกลียดคนแตะต้องตัวนางที่สุด
หลังจากนั้นไม่นาน รอบด้านก็เงียบสงบลง
นิ้วมือของหลินหรูซือขยับเล็กน้อย และค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ั์ตาของนางจับจ้องมุ้งสีดำ ซึ่งเต็มไปด้วยใยแมงมุมด้วยสายตาเลื่อนลอย ร่างของนางนอนราบอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง ริมฝีปากเปิดเล็กน้อย ลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากเบาๆ เนื่องจากกระหายน้ำ รสคาวเจือหวานแผ่ซ่านในปาก
นางอยู่ที่ไหนกัน
ทันใดนั้นก็มีสตรีสวมชุดสีแดงเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู สตรีนางนั้นรูปร่างอวบอ้วน พวงแก้มทั้งสองข้างของนางแดงมากเป็พิเศษ บนศีรษะประดับด้วยดอกไม้สีแดงสด ราวกับว่านางจะมาแสดงละครเพลงโอเปร่าอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อแม่สื่อเห็นว่าหลินหรูซือตื่นแล้ว นางก็หมุนตัวหันกลับไปและแผดเสียงะโบอกคนด้านนอกห้อง "เ้าสาวตื่นแล้ว ทำไมพวกเ้ายังไม่รีบเข้ามาอีก"
เ้าสาวเหรอ?
พูดถึงใครกัน?
พูดถึงนางงั้นเหรอ?
หลินกู๋หยู่มองไปที่แม่สื่อตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ นางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งช้าๆ ก่อนจะลดศีรษะลงมองตนเองซึ่งอยู่ในชุดแต่งงานสีแดง สมองของนางยังคงอยู่ในสภาพปิดตายไม่ทำงานใดๆ
ให้ตายเถอะ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางมาที่นี่ได้ยังไง?
นางเป็นักศึกษาแพทย์ เดิมทีนางไปว่ายน้ำริมทะเลกับเพื่อนร่วมห้อง แต่แล้วก็รู้สึกว่าขาเป็ตะคริวและจมลง หลังจากนั้นนางก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
หรือนางอาจจะกำลังฝันอยู่?
ถ้าเกิดหลับไปแล้ว ตื่นอีกครั้ง ทุกอย่างก็เป็เพียงความฝันเท่านั้นแหละ
แม่สื่อหรี่ตา พร้อมบิดร่างอ้วนๆ เดินเข้ามายังตรงหน้าหลินหรูซือ พูดอย่างประจบประแจงว่า "เ้าสาว ตื่นแล้วรึ?"
หลินหรูซือแสร้งทำเป็สงบนิ่งมองดูแม่สื่อที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางรู้สึกปั่นป่วนใจ
"เ้าก็นะ ถ้าแต่งเข้าบ้านสกุลฉือไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เ้าก็ไม่ต้องกังวลเื่อาหารและเสื้อผ้าแล้ว ยังมีอะไรที่เ้ายังคิดไม่ตกอีกหรือ?" แม่สื่อพูดพร้อมก้าวเท้าไปข้างหน้าและแหวกปอยผมของหลินหรูซือขึ้นจากหน้าผาก
เมื่อเห็นรอยแดงขนาดใหญ่บนหน้าผากของนาง แม่สื่อขมวดคิ้วแน่น เปล่งเสียงจุ๊ๆ "เ้านี้ก็ช่างคิดไม่ตกจริงๆ ถ้าเ้ายินยอมที่จะแต่งงานแต่โดยดีเสียั้แ่แรก ก็คงไม่มีปัญหามากมายขนาดนี้"
ความทรงจำมากมายเ่าั้ทะลักออกมาอย่างท่วมท้นในทันที
สาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเริ่มจากหลินลี่เซี่ย ซึ่งมีศักดิ์เป็พี่สาวของหลินกู๋หยู่
หลินลี่เซี่ย พี่สาวของหลินกู๋หยู่เป็เด็กสาวหน้าตาสะสวยงดงามและขยันขันแข็งที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งตามหลักของเหตุผลแล้ว เหล่าบุรุษล้วนอยากแต่งงานกับสตรีเช่นนี้ อยากให้นางมาเป็ภรรยา
แต่อนิจจัง สกุลหลินนั้นมีฐานะยากจนเกินไปจริงๆ
จ้าวซื่อเลี้ยงลูกสามคนด้วยตัวคนเดียว ได้แก่ หลินลี่เซี่ย หลินกู๋หยู่ และหลินเสี่ยวหานคนสุดท้อง
เดิมทีพื้นเพสกุลหลินนั้นไม่แย่ เมื่อห้าปีก่อน หลินชานบิดาของหลินกู๋หยู่ถูกเกณฑ์ไปเป็ทหาร ท่านย่าของนางเห็นว่าจำนวนคนในครอบครัวของหลินกู๋หยู่มีหลายคน แต่มีเพียงจ้าวซื่อคนเดียวที่สามารถทำงานได้ ด้วยสาเหตุนี้ท่านย่าของหลินกู๋หยู่จึงหาเื่ทะเลาะ บังคับให้ครอบครัวของหลินกู๋หยู่แยกบ้านออกจากวงศ์สกุลหลิน
เมื่อสองปีที่แล้วหลินลี่เซี่ยได้เข้าพิธีปักปิ่น แม้ว่าชายหนุ่มเกือบครึ่งหนึ่งในหมู่บ้านจะชื่นชอบหลินลี่เซี่ย แต่กระนั้นก็ไม่มีใครมาขอนางแต่งงาน
สำหรับที่นี่ การที่ผู้ชายจะแต่งภรรยาเข้าบ้าน อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังคงให้ความสำคัญกับฐานะและสินสอดทองหมั้นของฝ่ายหญิง
หากสินสอดทองหมั้นของฝ่ายหญิงมากหน่อย การแต่งงานเข้าบ้านฝ่ายชายย่อมมีเกียรติมากกว่า แต่ถ้าสินสอดทองหมั้นน้อยก็ไม่ค่อยมีคนอยากจะแต่งงานด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครอยากเลี้ยงปากท้องคนเพิ่มอีกคน
เมื่อสองเดือนก่อน ฉืออู่หลางจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาสู่ขอแต่งงาน และคนที่ฉืออู่หลางมาสู่ขอคือหลินลี่เซี่ย ซึ่งมีศักดิ์เป็พี่สาวของหลินกู๋หยู่
ได้ยินมาว่าอู่หลางสกุลฉือเป็คนดี ไม่นานมานี้เขาเลิกกับภรรยาคนก่อน ไม่ใช่เพราะสาเหตุใดอื่น แต่เป็เพราะหลังจากภรรยาคลอดบุตร นางก็ไม่พอใจแม่สามี ถึงขั้นใช้กำลังทุบตีแม่สามีของตน
ทางด้านแม่สามีก็ไม่ใช่คนธรรมดา นางมักจะหาเื่ทะเลาะและเป็คนไม่ยอมใครเช่นกัน ทะเลาะกันไปมาจนเพื่อนบ้านต่างรู้ไปทั่ว
คนบ้านสกุลฉือจะทนลูกสะใภ้ที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร
ด้วยสาเหตุนี้ ฉืออู่หลางได้รับคำแนะนำและโน้มน้าวจากคนจำนวนมาก เขาจึงหย่ากับภรรยาป่าเถื่อนผู้นั้น
สกุลฉือเป็ครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างร่ำรวย ทว่าฉือหาง ฉืออู่หลางของสกุลฉือเคยแต่งงานมาก่อนแล้ว นอกจากนี้เขายังมีลูกที่ต้องเลี้ยงอีกหนึ่งคน หากเขายัง้าแต่งงานกับหญิงสาวบริสุทธิ์อีกครั้ง ทางฝ่ายเ้าสาวย่อมเรียกสินสอดทองหมั้นจำนวนมากอย่างแน่นอน
แต่หากแต่งงานกับหญิงม่าย ย่อมรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นต้องมีบางอย่างผิดปกติไม่มากก็น้อย
โจวซื่อผู้เป็มารดาของฉืออู่หลางคิดพิจารณาเกี่ยวกับเื่นี้เป็เวลานาน ก่อนที่จะตัดสินใจสั่งให้คนไปที่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อสอบถาม
ใช่แล้ว นางพบว่าหลินลี่เซี่ยเหมาะสมที่จะแต่งงานกับบุตรชายของตน
หลินลี่เซี่ยเป็สตรีที่ดีมีคุณธรรมอีกทั้งหน้าตาสะสวย เพียงแต่อายุของนางมากกว่าเล็กน้อย หากเทียบกับบรรทัดฐานด้านอายุที่เหมาะสมของหญิงสาวออกเรือนในยุคนั้น
โจวซื่อสอบถามอย่างชัดเจนแล้ว ได้ความมาว่าสาเหตุที่หลินลี่เซี่ยยังไม่ได้ออกเรือนเสียที นั่นเป็เพราะฐานะทางบ้านของนางยากจน
โจวซื่อจึงตัดสินใจรวบรวมสินสอดทองหมั้น โดยยึดตามจำนวนสินสอดที่ใช้แต่งงานกับฝ่ายหญิงจากครอบครัวธรรมดาในการสู่ขอหลินลี่เซี่ย สกุลหลินย่อมไม่มีการคัดค้านใดๆ เป็แน่
เช่นนั้นสกุลหลินนอกจากจะมีเกียรติแล้ว ลูกชายของนางก็มีเกียรติด้วยเช่นกัน
การแต่งงานจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้
หลินลี่เซี่ยได้พบกับอู่หลางหลายครั้ง และนางก็พอใจในตัวอู่หลางมาก
หลังจากหมั้นหมายแล้ว อู่หลางมักจะนำเนื้อสัตว์บางส่วนที่เขาล่ามาได้ มาแบ่งปันให้ครอบครัวของพวกนางเป็ครั้งคราว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้สกุลหลินได้มีโอกาสกินอาหารมื้ออร่อยบ้าง
เดิมทีนี่เป็การแต่งงานที่สวยงาม แต่เมื่อเดือนก่อนอู่หลางออกไปล่าสัตว์บนูเา ทว่าขากลับ เขาถูกหามกลับมาในสภาพที่โชกไปด้วยเื
หมอชาวบ้านไปดูอาการมาแล้ว บอกว่าอู่หลางกำลังจะตาย ถึงมีชีวิตรอดก็จะต้องอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต
เมื่อหลินลี่เซี่ยได้ยินเื่นี้ นางก็ร้องไห้และปฏิเสธที่จะแต่งงานกับอู่หลาง
ลองคิดดูสิ ใครจะอยากดูแลผู้ชายที่เป็อัมพาตไปตลอดชีวิตกัน ซ้ำยังต้องเลี้ยงลูกให้ชายคนนั้นอีก?
อย่างไรก็ตาม สินสอดทองหมั้นก็รับไว้หมดแล้ว รอก็แต่วันแต่งงานมาถึง
ทางฝ่ายจ้าวซื่อซึ่งมีศักดิ์เป็แม่ของหลินกู๋หยู่ก็ไม่้าให้ลูกสาวของนางต้องเป็หญิงดูแลคนป่วยหลังจากแต่งงานเช่นกัน ดังนั้นนางจึงไปที่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อหารือกับโจวซื่อเพื่อยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้
ไม่คาดคิดเลยว่า ครอบครัวฝ่ายเขยที่เดิมทีคุยง่าย จู่ๆ จะมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเสียอย่างนั้น
โจวซื่อร่ำไห้ ชี้นิ้วมือไปที่ปลายจมูกของจ้าวซื่อทั้งก่นด่าและสาปแช่ง สุดท้ายก็สบถถ้อยคำที่รุนแรงออกมา
อยากยกเลิกงานแต่งงาน ก็ได้! แต่ต้องคืนสินสอดทองหมั้นที่ให้ไว้เป็สองเท่าตัว!
จ้าวซื่อก็โกรธมากเช่นกัน นางจึงไปหาผู้าุโของสกุลฉือ เพราะท้ายที่สุดแล้วความแค้นเคืองพึงละมิพึงผูก
ทางด้านโจวซื่อก็สุดฤทธิ์สุดเดชราวกับว่านางกำลังจะไม่เหลืออะไร นั่งร้องห่มร้องไห้บนพื้นพร้อมก่นด่าประหนึ่งแม่ค้าริมถนน ซ้ำร้ายยังข่มขู่ว่าจะฆ่าตัวตายอีกด้วย
ในเวลานั้น โจวซื่อได้ส่งเงินกว่าแปดตำลึงเป็ของขวัญหมั้น แม้ว่าจ้าวซื่อจะขายบ้านของครอบครัวหลิน นางก็ไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น
นาง้าขายที่ดิน แต่โฉนดที่ดินอยู่ในมือของแม่สามี ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับบ้านด้วยความเศร้าใจ และบอกกับหลินลี่เซี่ยทั้งน้ำตาให้รีบตัดชุดแต่งงานโดยเร็วที่สุด เตรียมตัวแต่งเข้าบ้านสกุลฉือในเดือนหน้า
วันนั้นหลินลี่เซี่ยร้องไห้จนดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ จะเป็จะตายอย่างไรนางก็จะไม่ยอมแต่งงาน
แต่ใครจะคาดคิดว่าหลินลี่เซี่ยจะหนีไปอย่างเงียบๆ ในวันรุ่งขึ้น
วันแต่งงานกำลังจะมาถึงในอีกสิบวันข้างหน้า แต่เ้าสาวกลับหายตัวไป ด้วยความสิ้นหวัง จ้าวซื่อจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอร้องให้ญาติๆ ช่วยกันออกตามหาบุตรสาว เื่นี้หากสกุลฉือรู้เข้า จะต้องเกิดเื่ใหญ่เป็แน่
หลังจากตามหาหลินลี่เซี่ยเป็เวลาหลายวัน แต่กระนั้นก็ยังคงไม่พบตัว จ้าวซื่อกังวลอย่างมาก จึงขอร้องให้คนในหมู่บ้านช่วยกันตามหาหลินลี่เซี่ยอีกแรง
วันแต่งงานใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็ยังคงตามหาเ้าสาวไม่เจอ สุดท้ายเื่นี้ก็ไปถึงหูของสกุลฉือ
สมาชิกในครอบครัวสกุลฉือมาที่บ้านสกุลหลินหนึ่งวันก่อนถึงวันแต่งงาน และพบว่าหลินลี่เซี่ยได้หายตัวไปตามข่าวลือจริงๆ
ก่อนมาที่บ้านสกุลหลิน โจวซื่อได้ตัดสินใจแล้วว่า หากหลินลี่เซี่ยไม่อยู่ นางจะให้หลินกู๋หยู่แต่งงานเข้าบ้านแทน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครสามารถดูแลลูกชายของนางได้
หลังจากโจวซื่อพูดคุยกับจ้าวซื่อไม่มากนัก นางก็กลับไป
เดิมทีจ้าวซื่อคิดว่าเื่นี้จะจบลงแล้ว แต่นางไม่คาดคิดเลยว่าเื่นี้จะไม่มีวันจบสิ้น
ก่อนรุ่งสาง คนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปที่บ้านทรุดโทรมที่กำลังจะพังอย่างมีเป้าหมาย ชายที่เป็ผู้นำดูดุร้าย จู่ๆ ประตูที่กำลังจะพังแหล่ไม่พังแหล่ถูกชายที่เป็ผู้นำเตะเปิดเข้ามา
หลินกู๋หยู่ที่กำลังหลับอยู่เป็ต้องเบิกตามองด้วยความสะลึมสะลือ เมื่อเงยหน้าขึ้น นางเห็นชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
“ท่านแม่!” หลินกู๋หยู่ะโด้วยความตื่นตระหนก เอื้อมมือไปดึงผ้านวมขึ้น
เมื่อจ้าวซื่อเห็นคนเ่าั้มุ่งตรงเข้าไปในห้องของหลินกู๋หยู่ นางก็วิ่งไปที่ห้องของบุตรสาวทันที แม้แต่รองเท้าก็ยังไม่ทันได้สวม
หลินกู๋หยู่นั่งอยู่บนเตียงด้วยความตื่นตระหนก สายตามองชายผู้นั้นที่เดินเข้ามาอย่างอุกอาจ ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้
“ปล่อยให้แม่สื่อเข้าไป เ้าออกมาเถอะ” โจวซื่อยืนอยู่อีกด้านหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ
ในระหว่างที่ชายคนนั้นเดินออกไป หลินกู๋หยู่รีบลุกจากเตียงและวิ่งออกไปข้างนอก นางพยายามซ่อนตัวด้วยการไปหาจ้าวซื่อ
ด้วยความตื่นตระหนกจึงไม่ได้สังเกตเห็นธรณีประตู นางล้มลงกับพื้น หน้าผากกระแทกกับหินบนพื้น และหมดสติลง
ความเ็ปนั้นมาจากหน้าผากของนาง และหลินหรูซือก็กลับมามีสติอีกครั้ง
“เ้าสาวควรแต่งตัวให้สวยงาม เช่นนี้จะได้ดูดีหน่อย” แม่สื่อพึมพำพลางถูแป้งและสิ่งที่คล้ายกันทั้งหมดบนใบหน้าของหลินหรูซือไปพลาง
ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไรที่ในห้องเต็มไปด้วยผู้คน แน่นขนัดเสียจนไม่มีที่ว่างเลยแม้แต่น้อย
ิญญาของนางทะลุมิติมาที่นี่งั้นหรือ?
เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ หลินหรูซือก็ลดศีรษะลงและชำเลืองมองที่ข้อมือของตน ฝ่ามือของนางมีขนาดที่เล็กลง เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ร่างเดิมของนาง
หลินหรูซือ ไม่สิ! ตอนนี้ควรเรียกนางว่าหลินกู๋หยู่
"เสร็จแล้ว" แม่สื่อพูดพลางหยิบผ้าคลุมศีรษะที่วางอยู่ด้านข้างมาคลุมให้หลินกู๋หยู่
ผ้าคลุมศีรษะไม่หนามาก ยังพอมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้รางๆ
เวลานี้แม้หลินกู๋หยู่อยากจะหนีมากเท่าไร อย่างไรก็ไม่สามารถหลบหนีได้
ไม่รู้ว่าบริเวณรอบบ้านมีคนยืนเฝ้าอยู่มากเท่าไร ในขณะที่ในห้องมีคนยืนเฝ้าดูตลอดเวลา ดังนั้นนางทำได้เพียงนั่งลงที่เดิมเงียบๆ
“ถึงเวลาแล้ว ได้เวลาเ้าสาวขึ้นเกี้ยว!”
แม่สื่อร้องเสียงแหลม ก่อนที่จะได้ยินเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของบานประตู ทันใดนั้นหลินกู๋หยู่เห็นคนสองคนเข้ามาจากด้านนอกอย่างเลือนราง
นางถูกสองคนนั้นพยุงตัวเดินออกไป
"กู๋หยู่... " เสียงสำลักสะอึกสะอื้นของจ้าวซื่อดังก้องเข้าหู
เดิมทีหลินกู๋หยู่ไม่อยากจะปริปากพูด แต่เมื่อคิดไตร่ตรองแล้ว นางเห็นว่าจ้าวซื่อเป็คนที่น่าเวทนาคนหนึ่ง นางจึงพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า "ข้าไม่เป็ไร"
ในชนบท โดยปกติแล้วบ้านที่มีฐานะร่ำรวยมักจะใช้เกี้ยวหามเ้าสาวกลับบ้าน บ้านที่มีฐานะธรรมดาทั่วไปจะใช้เกวียนลา ส่วนบ้านที่มีฐานะยากจนนั้นจะใช้วิธีเดินไปยังบ้านของฝ่ายชาย
ก่อนที่หลินกู๋หยู่จะทันได้ตอบสนอง เกวียนลาก็เริ่มขยับเคลื่อนไป หลินกู๋หยู่รีบจับแผงไม้เกวียนลาด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อนางก้มศีรษะลงมอง แผงเกวียนเก่าทรุดโทรมนี้มีช่องว่างขนาดใหญ่ มือของนางสามารถลอดช่องและจับแผ่นไม้กระดานไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
เกวียนเคลื่อนไปอย่างโคลงเคลง บางเวลาก็กระตุก บางเวลาก็กระแทก ก้นของนางรู้สึกเ็ปมาก ระหว่างนี้หลินกู๋หยู่กำลังคิดว่าให้นางเดินเท้าไปบ้านฝ่ายชายจะไม่ดีกว่าหรือ
แตรด้านนอกเป่าไม่หยุดไม่หย่อนเป็ท่วงทำนองที่รื่นเริงอย่างมาก
ทว่าในระหว่างนั้นนางได้ยินเสียงคนเดินข้างเกวียนพูดอย่างชัดแจ๋ว
“โชคร้ายจริงๆ เดิมทีเื่นี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง แต่พี่สาวของนางดันหนีงานแต่ง นางทำได้เพียงมาแต่งแทนพี่สาวของตัวเอง!”
“อย่าพูดถึงเลย โชคชะตาของเด็กสาวสองคนนี้ไม่ดีพอกัน เดิมทีถ้าชายคนนั้นไม่ไปล่าสัตว์บนูเาั้แ่แรก เขาก็คงไม่สูญเสียชีวิตครึ่งหนึ่งเช่นนี้หรอก”
“ข้าได้ยินมาว่าร่างกายของเขามีแผลพุพองขนาดใหญ่มาก หมอที่ไปดูอาการบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันแล้ว”
…
เป็ม่าย!
จู่ๆ คำพูดเหล่านี้ก็ปรากฏในสมองของหลินกู๋หยู่