เ้าบ่าวสกุลฉือคนนั้นมีลูกติด ได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นอายุเพียงหนึ่งขวบกว่าเท่านั้นเอง ถ้าเช่นนั้นเธอก็จะกลายเป็พี่เลี้ยงเด็กฟรี และจะต้องกลายเป็พี่เลี้ยงมืออาชีพดูแลเด็กงั้นหรือ?
แม้ว่าจะนั่งอยู่บนเกวียนลา แต่หลินกู๋หยู่ก็ยังรู้สึกได้ว่าร่างกายเริ่มมีหยาดเหงื่อซึมออกมาแล้ว
ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว อากาศก็เริ่มร้อนขึ้น
เกวียนลาเคลื่อนไปและแกว่งไกวไปมาในเวลาเดียวกัน คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วยามก่อนที่เกวียนลาจะหยุด
เกวียนลาถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มคน ขาของหลินกู๋หยู่รู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย เมื่อมองลงไปที่เสื้อผ้าของตนเอง นางก็รู้สึกว่ามันสกปรกเล็กน้อย
การแต่งงานนี่มันยากลำบากกว่าการทำงานเยอะเลย
หลินกู๋หยู่ถูกคนพยุงเข้าไปในห้อง ก้มศีรษะลงมองดูสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างระมัดระวัง และก้าวข้ามเตาอั้งโล่อย่างตัวสั่น ก่อนที่จะก้าวไปสองก้าว ฝ่าเท้าของนางก็ถูกพรมด้วยน้ำ
นางเองก็ไม่รู้เหมือนว่านี่มันเป็ธรรมเนียมอะไรกัน ตอนนี้หลินกู๋หยู่รู้สึกว่าตัวเองเป็เหมือนหุ่นเชิดตัวหนึ่งที่คนอื่นบอกให้ทำอะไร นางก็จะต้องทำตามที่คนอื่นบอก
หลังจากเสร็จพิธีการที่แสนจะน่าเบื่อตามธรรมเนียมมากมายเ่าั้ หลินกู๋หยู่ก็ถูกพยุงเดินเข้าไปในบ้าน
ชายที่อยู่ตรงหน้ารูปร่างสูง หลินกู๋หยู่รู้สึกว่าตนเองสูงไม่ถึงไหล่ของบุรุษผู้นั้นด้วยซ้ำ
ถ้าวัดตามความสูงในยุคปัจจุบันแล้ว นางสูงราวหนึ่งร้อยห้าสิบเิเ ส่วนผู้ชายที่อยู่ด้านหน้านางดูเหมือนว่าจะสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเิเ
ต่อไปคือการกราบไหว้ฟ้าดิน
ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว หลินกู๋หยู่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตาม
แม้ว่าใจจริงของหลินกู๋หยู่จะ้าที่จะต่อต้านมากเพียงใดก็ตาม แต่นางก็ไม่สามารถทำได้
มือของสตรีคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ นั้นดูจะมีเรี่ยวแรงมากเป็พิเศษ นางใช้มือกดร่างของหลินกู๋หยู่ลงเต็มแรง
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว หลินกู๋หยู่ก็ถูกนำตัวออกจากพิธีการพร้อมเหงื่อโชกทั้งตัว
"เ้านั่งรอที่นี่ก่อน" เสียงของสตรีคนหนึ่งดังจากด้านหน้าของนาง "ข้าจะเฝ้าเ้าอยู่ที่หน้าประตู!"
มันไม่ใช่การเปลี่ยนวิธีคุมตัวหรอกหรือ!
เมื่อได้ยินเสียงประตูปิด หลินกู๋หยู่พลันคว้าผ้าคลุมศีรษะไปวางไว้ข้างๆ พลางกลอกตามองรอบๆ ห้อง
สภาพแวดล้อมภายในห้องนี้ดูเป็ระเบียบเรียบร้อย แม้ว่าขนาดห้องจะไม่ใหญ่มาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านของสกุลหลินที่นางอาศัยอยู่แล้ว ห้องนี้ย่อมดีกว่ามาก
หน้าต่างด้านข้างเปิดออกเล็กน้อย หลินกู๋หยู่ทอดมองผ่านช่องว่าง นางเห็นสวนผักสีเขียวด้านนอก
หลังจากปัดฝุ่นออกจากเท้า หลินกู๋หยู่ก็เดินมองดูสภาพแวดล้อมรอบๆ ห้อง
ห้องนี้อยู่ทางทิศเหนือประตูหันไปทางทิศใต้ ขนาดห้องนั้นไม่ใหญ่มากนัก เตียงอยู่ทางทิศตะวันออก หน้าต่างอยู่ทางทิศตะวันตก และมีโต๊ะสี่เหลี่ยมอยู่ใต้หน้าต่าง มีเทียนไขหนึ่งแท่งวางอยู่บนโต๊ะ และยังมีถ้วยเล็กๆ สองสามใบวางไว้ข้างๆ กาน้ำชา
หลินกู๋หยู่เดินไปแตะถ้วย เป็ถ้วยที่สมบูรณ์ปราศจากรอยร้าวหรือรอยแตกเสียหาย แปลกจริง สกุลหลินไม่มีถ้วยหรือชามที่ปราศจากรอยร้าวเลยสักชิ้น จากมุมมองนี้ สกุลฉือนับว่าเป็สกุลที่ค่อนข้างมีฐานะอยู่บ้าง
หลินกู๋หยู่วางถ้วยลงบนโต๊ะ แล้วหันศีรษะทอดมองออกไป นางเห็นกล่องขนาดใหญ่หนึ่งกล่องวางอยู่บนพื้น
ดูเหมือนจะเป็สินสอดที่สกุลหลินมอบให้นางสินะ หรือนี่จะเป็สินสอดของจ้าวซื่อ ตอนนี้มันกลายเป็สินสอดของนางแล้ว
เมื่อเดินไปทางทิศตะวันตกก็เห็นข้าวสารธัญพืชวางกองอยู่มากมาย
หรือที่นี่เดิมเป็ห้องเก็บของงั้นหรือ?
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าลอดดังมาจากข้างนอก หลินกู๋หยู่รีบไปที่ด้านข้างเตียง มือคว้าผ้าผืนแดงเพื่อคลุมศีรษะ
นางไม่้าให้คนอื่นพูดถึงนางในทางลบหรอกนะ
หลังจากนั่งลงได้ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงความมืดเบื้องหน้า
ทันใดนั้นผ้าสีแดงบนศีรษะของนางก็หายไปในพริบตา
ด้านหน้าของนางเป็สีแดง นางเห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อสีแดงยืนอยู่ตรงหน้า
ในยุคปัจจุบันนางไม่เคยมีแฟน ทว่าตอนนี้กลับต้องมาแต่งงาน เมื่อคิดถึงเื่นี้ หลินกู๋หยู่มักจะรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่หลายส่วน
หลินกู๋หยู่ขยับตัวไปด้านข้าง เห็นชายคนนั้นถูกพยุงให้นั่งลงด้านข้างเตียง
หลินกู๋หยู่ลอบเงยหน้าขึ้นมอง ผิวของชายคนนั้นเป็สีเหลือง ดวงตาของเขาหมองคล้ำไม่สดใส สภาพเหมือนคนนอนป่วยด้วยโรคร้ายบนเตียงเป็เวลานานอย่างไรอย่างนั้น
การเคลื่อนไหวง่ายๆ อย่างการนั่งลง เขากลับต้องให้คนคอยช่วยพยุงให้ ใบหน้าของเขามีเหงื่อซึมจากความเ็ป
เขาป่วยจริงๆ ด้วย แต่อย่างไรก็ตามนางคิดว่ามันก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นป่วยหนักเช่นคนเล่าลือเช่นนั้น
ทันทีที่หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้น นางเห็นคนสองคนที่พยุงเขา ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคลุมด้วยผ้า มือของพวกเขาก็ห่อผ้าด้วยเช่นกัน เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ก็เป็เสื้อคลุมทั้งตัว
เมื่อชายทั้งสองประคองเ้าบ่าวให้นอนลง พวกเขาก็ยืนขึ้น
“น้องสะใภ้ ออกมาก่อน ข้าจะบอกวิธีการดูแลน้องสาม!” ชายที่ตัวเตี้ยกว่าผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงถอดผ้าโพกหน้าออกพูดเสียงเบาก่อนจะฉีกยิ้มให้หลินกู๋หยู่
หลังจากเดินตามสองคนนั้นออกไป หลินกู๋หยู่ก็ได้รู้ว่าคนที่เตี้ยกว่าและอ้วนกว่าเล็กน้อยคือฉือซู่ มีศักดิ์เป็พี่ชายคนโตของฉือหาง
ส่วนชายที่มีรูปร่างผอมคล้ายลิงแต่สูงกว่าเล็กน้อยคนนั้นคือฉือเทา มีศักดิ์เป็พี่ชายคนรองของฉือหาง
การจัดลำดับนี้เป็การจัดลำดับของสกุลฉือที่เป็ตระกูลใหญ่ทั้งหมด สำหรับบ้านนี้ฉือซู่เป็พี่ชายคนโต ลูกชายคนรองคือฉือเทา ฉือหางเป็ลูกชายคนที่สาม ได้ยินมาว่ายังมีน้องชายคนสุดท้องอีกคนหนึ่งที่กำลังเรียกหนังสือ มีชื่อว่าฉือเย่
“น้องสะใภ้ เดิมทีเ้าสามออกไปล่าสัตว์บนูเา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงกลิ้งตกลงจากูเา หมอบอกว่าเขาอาจจะต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต” ฉือซู่พูดพลางทอดถอนหายใจ “เดิมทีข้าคิดว่าเป็เช่นนี้ก็ไม่เป็ไร พวกเราพี่น้องผลัดกันดูแล เพียงแต่...”
เอ่อ...
หลินกู๋หยู่ก้มศีรษะลง มือทั้งสองข้างไพล่หลัง จากที่ฉือซู่พูด ดูเหมือนว่าส่วนไหนสักแห่งของร่างกายของเ้าสามจะโดนกระแทกอย่างรุนแรง นั่นเป็สาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเขาขยับเขยื้อนไม่ได้
“ไม่รู้ว่าเขาเป็โรคอะไรกันแน่ ผิวของเ้าสามมีตุ่มสิวผุดขึ้นเยอะมาก หมอบอกว่ามันจะแพร่เชื้อไปติดคนรอบข้าง ต่อไปถ้าเ้าดูแลเขา เ้าก็อย่าใช้มือแตะต้องตัวเขาโดยตรง รู้หรือไม่?” พี่ชายคนรองฉือเทาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“พวกเ้าสองคนทำธุระตรงนั้นเสร็จแล้วยังรีบไม่ออกมาอีก พวกเ้าก็ไม่รู้จักสังเกตบ้างเลย ทางนี้งานเยอะเสียจนหมุนตัวแทบไม่ทันแล้ว ทางนั้นมีอะไรให้ต้องพูดให้มากหรือไง!”
ในขณะที่หลินกู๋หยู่กำลังคิดฟุ้งซ่าน นางก็ได้ยินเสียงดังลอดมาจากระยะไกล
ประตูทางมุมตะวันออกเฉียงเหนือเปิดกว้าง ดูเหมือนจะสามารถไปยังลานเรือนหลักได้
จากนั้นก็มีสตรีร่างอ้วนโผล่มา บนศีรษะปักด้วยปิ่น มือเท้าสะเอว ปากะโเสียงดัง
“นั่นคือพี่สะใภ้ใหญ่ของเ้า นางแค่พูดเสียงดังไปหน่อย” ฉือซู่พี่ใหญ่ยิ้มอย่างเขินอาย เขารีบเดินไปทางที่มาของเสียงนั้น
“พี่สะใภ้ใหญ่ สวัสดีเ้าค่ะ!” หลินกู๋หยู่ที่ยืนอยู่ที่เดิมเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ
เมื่อได้ยินคำทักทายของหลินกู๋หยู่ ซ่งซื่อชะงักงันเล็กน้อย นางพยักหน้าด้วยใบหน้าแข็งเกร็ง ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับและเดินจากไป
นางน่ากลัวมากขนาดนั้นเลยเหรอ? น่ากลัวถึงขนาดซ่งซื่อก็ยังกลัวจนเดินจากไป
หลินกู๋หยู่ชำเลืองมองที่ประตู จากนั้นก็ย้อนมองกลับมาที่กำแพงนี้ มันสูงมาก แม้ว่านางอยากจะปีนออกไปก็คงยากมากอยู่ดี
กลิ้งตกลงมาจากูเา เขากระดูกหัก?
เดิมหลินกู๋หยู่เรียนแพทย์ เมื่อได้ฟังสิ่งที่พี่ใหญ่พูด นางพอจะคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว
เด็กสาวเดินไปที่เตียงโดยสัญชาตญาณ ยื่นมือเพื่อจะถอดเสื้อผ้าของฉือหาง
มือที่ยื่นออกไปหยุดอยู่กลางอากาศด้วยความงุนงง
สายตาสบเข้ากับดวงตาครึ่งหลับครึ่งตื่นเนื่องจากความเหนื่อยล้าของบุรุษผู้นั้น
“อย่าแตะต้องตัวข้า” เสียงของเขาทุ้มต่ำ มีพลังดึงดูดที่ไม่เหมือนใคร “มันจะติดต่อไปยังเ้าได้”
หลินกู๋หยู่เปิดริมฝีปากเล็กน้อย นางนั่งลงข้างเตียงของบุรุษคนนั้นอย่างเป็ธรรมชาติ นางลดศีรษะลงมองอีกฝ่าย "เ้าตกลงมาจากูเาได้อย่างไร?"
ร่างกายของเขาเหนื่อยล้าสุดจะทน มองดูใบหน้าเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือของเขา หญิงตรงหน้าดูผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง นางดูเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
พี่สาวของนางหนีไปแล้ว ทำไมนางถึงยังอยู่ที่นี่?
ชายหนุ่มหันศีรษะมองไปทางอื่น เขาไม่อยากคุยกับหลินกู๋หยู่
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เห็นว่าเขาเป็ผู้ป่วยหรอกนะ นางจึงพูดซ้ำด้วยความอดทน "เ้าตกลงมาจากูเาได้อย่างไรหรือ?"
รออยู่เนิ่นนาน กระนั้นภายในห้องก็ยังคงเงียบสงัด
ท้องของหลินกู๋หยู่ร้องโครกครากอย่างไม่รู้เวลา นางไม่ได้กินอะไรมาเลยั้แ่เช้า จึงลุกขึ้นไปหยิบของว่างบนโต๊ะ
ขณะที่เอาขนมยัดใส่เข้าปาก หลินกู๋หยู่ก็ได้ยินเสียงทุ้มและแหบห้าวของชายหนุ่ม "อยู่ให้ห่างจากข้า เ้าจะได้มีชีวิตอยู่ได้นานกว่านี้!"
หลินกู๋หยู่ที่กำลังจะลุกขึ้นเป็ต้องหยุดชะงักชั่วคราว จากนั้นก็ค่อยๆ นั่งลงที่เดิม มองไปที่ใบหน้าด้านข้างที่แสดงออกถึงความดื้อรั้น นางตระหนักได้ว่าชายคนนั้นไม่อยากให้นางติดเชื้อจากเขา ดังนั้นเขาจึงไม่้าให้นางเข้าใกล้
หลังจากทานของว่างเสร็จแล้ว หลินกู๋หยู่ก็เดินไปที่กล่องด้านข้าง ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่ทั้งขาดและเก่าของตัวเองออกจากข้างใน จากนั้นพันมือตัวเองด้วยผ้า แล้วเดินกลับไปที่ข้างเตียง
เด็กสาวเอื้อมมือไปปลดที่คาดเอวของบุรุษที่นอนอยู่
"อย่า อย่า!" ชายหนุ่มใช้แรงที่มีอยู่น้อยนิดยื่นมือไปจับที่คาดเอวของตัวเอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าของเขาแดงก่ำ หว่างคิ้วปรากฏรอยย่นเล็กน้อย สุดท้ายจึงไออย่างไม่อาจควบคุมได้
หลินกู๋หยู่มองไปที่ชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ว่านี่คือยุคโบราณ ไม่ใช่ยุคปัจจุบันของนาง
“ข้าก็แค่อยากจะดูว่าสิวบนตัวเ้าเป็อย่างไร” หลินกู๋หยู่พูดอย่างใจเย็น “เ้าอย่าคิดมาก”
“ไม่มีทางหายแล้ว” น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบแห้ง “หมอบอกข้าแล้ว”
หลินกู๋หยู่เอื้อมมือไปจับมือของชายหนุ่มออกไปแล้วนั่งลงข้างเตียง นางปลดที่คาดเอวเขาออกโดยไม่ลังเล
บางทีอาจจะเป็เพราะอากาศร้อน เสื้อผ้าที่ชายหนุ่มใส่จึงมีไม่มาก การต่อต้านที่รุนแรงของเขาไม่ได้ส่งผลอะไรเลยในสายตาของหลินกู๋หยู่
หลินกู๋หยู่ถอดเสื้อผ้าส่วนบนของเขาออกแล้ว
ร่างกายของชายหนุ่มขาวมาก แตกต่างกับผิวสีเหลืองบนใบหน้าอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่กําลังจะเปิดปากถามก็ได้ยินเสียงเปิดประตู หลินกู๋หยู่หันไปมอง นางเห็นสตรีนางหนึ่ง อายุประมาณสี่สิบปีกำลังยืนอยู่ที่ประตู
เป็โจวซื่อ หลินกู๋หยู่เคยเจอแล้วเมื่อวันก่อน
โจวซื่อเบิกตากว้าง อ้าปากค้างขณะมองไปที่หลินกู๋หยู่ และหลังจากสบกับสายตาของเด็กสาว นางก็ปิดประตูและเดินจากไป
สีหน้าของเด็กสาวปรากฏความกระดากอายเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปที่ฉือหางปราดหนึ่ง
"นางคือแม่ของข้า"
ใบหน้าของฉือหางแปรเปลี่ยนเป็สีแดงอย่างไม่อาจควบคุมได้ ใบหน้าของเขาเป็สีแดงเมื่อเขาไอในคราวก่อน และเป็สีแดงด้วยความเขินอายในคราวนี้ หลินกู๋หยู่ไม่ได้สังเกตเห็นแต่อย่างใด
"ข้ารู้" หลินกู๋หยู่ตอบโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก จากนั้นมือของนางก็ทำงานต่อไป
ฉือหางมองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างตกตะลึง เขาขยับร่างกายอย่างไม่สบายใจเจือความอายเล็กน้อยภายใต้สายตาของนาง
ทันทีที่ขยับตัว เขาก็เ็ปเสียจนต้องกัดริมฝีปากล่างเพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมา
บริเวณลำคอ ร่างกายส่วนบนและ่แขนเกิดผื่นแดงจํานวนมาก และยังมีรอยของแมลงกัดต่อยทั่วไปอยู่ด้วย
หลินกู๋หยู่ม้วนแขนเสื้อของฉือหางขึ้น นางถามด้วยความจริงจังว่า "มันเริ่มจากส่วนของร่างกายที่เปิดเผยเช่นแขนและลําคอก่อนหรือไม่?"
ร่องรอยของความประหลาดใจแวบเข้ามาในดวงตาของฉือหาง เขาพยักหน้าอย่างลังเลเล็กน้อย "อืม”
หลินกู๋หยู่ไม่พูดอะไรต่อ ตอนนี้นางเกือบจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
"ฟังที่พี่ใหญ่พูด เ้าตกจากูเา ตกลงมาอย่างรุนแรงหรือไม่?" หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วมอง ถามฉือหางอย่างจริงจัง
"เอว" ดวงตาของฉือหางที่มองไปที่หลินกู๋หยู่แปรเปลี่ยนเป็สีแดง เขาไม่้าพูดคุยกับนางแม้แต่น้อย เพราะนั่นจะไปสะกิดอาการาเ็ของเขา แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจทนที่จะเพิกเฉยต่อนางได้ "ขยับไม่ได้แล้ว!”
หลินกู๋หยู่เอื้อมมือเปิดเสื้อผ้าบนร่างกายส่วนบนของฉือหางให้กว้างขึ้น
"เ้าพลิกตัวไปมาได้หรือไม่?" หลินกู๋หยู่ถามอย่างไม่แน่ใจ
แม้ว่าฉือหางจะผอมลง แต่กระนั้นเขาก็ตัวใหญ่มากกว่านาง การที่นางจะพลิกตัวให้อีกฝ่ายด้วยตัวนางเองจะต้องใช้แรงมาก
ฉือหางส่ายศีรษะ ลดศีรษะลงด้วยความผิดหวัง ความเศร้าเสียใจในสายตานั้นปรากฏให้เห็นชัดเจน "อย่าพยายามให้มากเลย ข้าเหนื่อยแล้ว"
"ข้าจะช่วย เ้าอดทนต่อความเ็ปหน่อยนะ" หลินกู๋หยู่พูดพลางยืนขึ้นช่วยฉือหางพลิกตัวกลับ "ระวัง เมื่อเ้าพลิกตัว ศีรษะ คอของเ้าไม่พลิกตามไปด้วย เ้ามองไปทางด้านข้างเช่นเดิมก็เพียงพอแล้ว"
เมื่อฟังหลินกู๋หยู่พูดดังนั้น ฉือหางก็ขมวดคิ้วอย่างทําอะไรไม่ถูก เหมือนกับที่หมอคนนั้นพูดไม่มีผิด
ทว่าการเคลื่อนไหวง่ายๆ สําหรับฉือหางนั้นกลับกลายเป็การเคลื่อนไหวที่ยากลำบากมาก เขายังต้องพยายามพลิกตัวอย่างยากลำบากในขณะที่ต้องอดทนต่อความเ็ปในเวลาเดียวกัน
หลินกู๋หยู่พยายามพลิกตัวของฉือหาง จากนั้นเอื้อมมือออกไปถอดเสื้อผ้าที่เปิดครึ่งหนึ่งของฉือหางถอดออกทั้งหมดโดยไม่ลังเล
เมื่อเห็นแผลพุพองวงใหญ่บนแผ่นหลัง คิ้วของหลินกู๋หยู่ก็ขมวดแน่น
ฉือหางนอนตะแคงบนเตียง เขารู้สึกไม่สบายใจและทำตัวไม่ถูก
หลินกู๋หยู่เหยียดนิ้วมือออก วางมือลงบนลำคอของฉือหางเบาๆ
แผ่นหลังที่น่าหวาดผวาของเขาถูกเปิดออก เดิมเขาตัวร้อนมีไข้เล็กน้อยอยู่แล้ว เมื่อรู้สึกถึงการััของหลินกู๋หยู่ ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยอย่างไม่สามารถควบคุมได้